หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 98-1 แบไพ่ ตัวตนในอดีต
ตอนที่ 98-1 แบไพ่ ตัวตนในอดีต
หัวใจยิ่นอ๋องถูกทำร้ายอย่างสาหัส เขาท่านอ๋องแห่งแว่นแคว้นยังกินดีสู้หญิงสาวชาวบ้านคนหนึ่งไม่ได้!
แม้ลิ้นจี่จะดี แต่กินมากเข้าย่อมร้อนใน เฉียวเวยกินสามสี่สิบลูกให้หายอยากก็วางมือ หลังจากนั้นนางจึงไปลานก่อนสร้างเดินดู บรรดานายช่างล้วนถามนางว่าลิ้นจี่ซื้อมาจากที่ใด ครั้งหน้าเข้าเมืองนำกลับมาอีกสักหน่อยได้หรือไม่ ภรรยากับลูกๆ ล้วนชอบกินยิ่งนัก
เรื่องนี้ลำบากเฉียวเวยแล้ว หลัวหย่งจื้อบอกว่าในเมืองไม่มีขาย นางมักจะไปเดินตระเวนตลาดนัด ก็ไม่เคยเห็นลิ้นจี่จริงๆ ได้แต่รอครั้งหน้าจีหมิงซิวมาค่อยถามเขาดู
แต่เฉียวเวยไปที่ลานก่อสร้าง ยิ่นอ๋องกับสวี่ซื่อเจี๋ยกลับไม่ตามไปด้วย ฝั่งยิ่นอ๋องเพราะเมื่อคืนวานถ่ายท้องมากเกินไป หากไม่กลัวถูกเสด็จพ่อออกห่างเขาเพราะคิดว่าเป็นโรคติดต่อ เขาคงไม่มีทางลุกจากเตียงแน่ ส่วนสวี่ซื่อเจี๋ย เขามีแรงเดินแต่เขาไม่อยากเดิน
หลัวหย่งจื้อออกไปรับซื้อกุ้งแล้ว ชุ่ยอวิ๋นแบกทารกน้อยไปเด็ดผักในสวน ป้าหลัวอยู่ท้ายเรือนทำความสะอาดเล้าหมู ในห้องโถงเหลือเพียงเขากับยิ่นอ๋องสองคน
เขาปอกลิ้นจี่ลูกหนึ่ง พลางมองไปท้ายเรือนอย่างหลุกหลิก แล้วขยับมานั่งข้างตัวยิ่นอ๋อง
ยิ่นอ๋องมองเขาอย่างรังเกียจ “เจ้าคิดจะทำอันใด”
“เฮ้ พี่ชาย ท่านน่ะ…มาพราะสิ่งนั้นเหมือนกันใช่หรือไม่” สวี่ซื่อเจี๋ยคิดว่ายิ่นอ๋องเหมือนกับตนเอง นั่นคือมาเพื่อสินเดิมมหาศาลก้อนนั้น
ยิ่นอ๋องเอ่ยเสียงเย็นชา “ตอนที่องค์…คุณชายคนนี้เช่นข้ายังไม่โกรธ รีบเอาเอกสารปลอมของเจ้าไสหัวไปได้ไกลเท่าไรก็ไปให้ไกลเท่านั้น!”
“เฮ้ย พี่ชาย ท่านพูดเช่นนี้ไม่ถูกสิ ท่านเป็นบิดาที่แท้จริงของเด็กทั้งสองคนได้หรือ ก็คิดมาฉกฉวยสินค้าที่ทำสำเร็จแล้วเหมือนกันมิใช่หรือไร” หลินมามาบอกเขาแล้วว่าบิดาตัวจริงของเด็กๆ ตายแล้ว แต่เสี่ยวเฉียวเป็นโรคสูญวิญญาณจึงจดจำเรื่องราวก่อนหน้าไม่ได้ หลินมามาอยากมอบบ้านที่ดีให้เสี่ยวเฉียวจากใจจริงหรืองใจจะให้เสี่ยวเฉียวแต่งออกไป เขาก็สุดรู้ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ สิ่งที่เขาสนใจคือจะได้เงินก้อนนั้นมาอย่างไร แล้วจะเอาสามแม่ลูกมาไว้ในมือได้อย่างไร
ยิ่นอ๋องคร้านจะสนใจนักต้มตุ๋นในยุทธภพเช่นนี้
สวี่ซื่อเจี๋ยหัวเราะอย่างชั่วร้าย “ข้ารู้ว่าท่านคิดเช่นไร เสี่ยวเฉียวหน้าตาสะสวย แม้เป็นแม่ม่าย แต่สตรีที่ยังไม่ออกเรือนก็ยังงามสู้นางมิได้ แล้วยังทำงานเก่ง สตรีเช่นนี้แต่งเข้าบ้านย่อมส่งเสริมสามี! แล้วดูบุตรสองคนของนาง บุตรสาวเติบใหญ่ย่อมเป็นหญิงงามล่มเมือง บุตรชายน่ะหรือ…ท่านรู้เรื่องที่จิ่งอวิ๋นคว้าอันดับต้นๆ ในการสอบเสินถงมาหรือไม่ เพียงความสามารถเช่นนี้ อนาคตเขาจะสอบจ้วงหยวนกลับมามิได้หรือ พาเขากลับบ้านไปเป็นบุตรชาย วันหน้าท่านก็คือบิดาของจ้วงหยวน!”
ยิ่นอ๋องขมวดคิ้วเป็นปม “เจ้ามาแอบอ้างหลอกพวกเขาแม่ลูกเพียงเพราะเรื่องเท่านี้หรือ”
“แน่นอนว่ามิใช่” ยังมีสินเดิมมหาศาลที่หลินมามาสัญญาไว้อีก สวี่ซื่อเจี๋ยแววตาวาววับ ปากแข็งเอ่ยว่า “ข้าเป็นบิดาตัวจริงของเด็กๆ”
หากมิใช่ว่ายิ่นอ๋องอ่อนแรงจริงๆ ตอนนี้คงซัดหนึ่งฝ่ามือใส่แล้ว
สวี่ซื่อเจี๋ยกินลิ้นจี่อีกหนึ่งผล “ข้าจะบอกเรื่องหนึ่งกับท่าน ท่านอยากฟังหรือไม่”
ยิ่นอ๋องตอบอย่างเฉยชา “ข้าไม่สนใจ”
สวี่ซื่อเจี๋ยเหลือบไปทางท้ายเรือน แล้วกระซิบเสียงเบา “เรื่องของเสี่ยวเฉียว นางมีบุรุษซุกไว้ข้างนอก”
ยิ่นอ๋องแววตาชะงักวูบหนึ่ง
สวี่ซื่อเจี๋ยเล่าฉากที่ตนเห็นที่หรงจี้เมื่อวานพร้อมกับใส่สีตีไข่ให้ยิ่นอ๋องฟัง ถึงอย่างไรเขากับเสี่ยวเฉียวก็ไม่ใช่สามีภรรยากันจริงๆ เล่าเรื่องเช่นนี้ไม่ทำให้โกรธเคืองคับแค้นเท่าใดนัก เหมือนเล่าเรื่องของผู้อื่น แต่ยิ่นอ๋องไม่เหมือนกัน ในใจของยิ่นอ๋อง เขากับเฉียวเวยมีสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยากันแล้ว ไม่ว่าเขาจะยอมรับหรือไม่ยอมรับสตรีคนนั้น สตรีคนนั้นก็ต้องซื่อสัตย์กับเขาเท่านั้น
ยิ่นอ๋องมองสวี่ซื่อเจี๋ยด้วยแววตาเย็นยะเยือก “หากเจ้ากล้าพูดปด ข้าจะบีบศีรษะของเจ้าให้แหลก!”
สวี่ซื่อเจี๋ยขนหัวลุก “…ก็ได้ ความจริงพวกเขาไม่ได้…ถอดเสื้อผ้า ก็แค่กอดกันแล้วจุมพิต”
ยิ่นอ๋องกำหมัดจนเสียงดังกึก “ผู้หญิงคนนั้นเลี้ยงเด็กหนุ่มไว้ข้างนอกจริงหรือ”
เลี้ยงเด็กหนุ่ม…ดูแล้วไม่เหมือน บุรุษผู้นั้นสวมผ้าไหมน้ำแข็งอบกลิ่นสุคนธ์หนึ่งชุ่นราคาหนึ่งตำลึงทอง ผู้ใดจะเลี้ยงเด็กหนุ่มราคาแพงเช่นนี้ไหว! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบรรยากาศรอบตัวเขาก็ดูทรงอำนาจยิ่งนัก มองมาครั้งเดียวเหมือนจะบีบคนให้ตายได้ บอกว่าเสี่ยวเฉียวถูกเขาเลี้ยงไว้ยังจะเข้าเค้ากว่า
สวี่ซื่อเจี๋ยโบกผลไม้สีแดงในมือ “เจ้าฉงนว่าลิ้นจี่นี่มาจากที่ใดมิใช่หรือ เมื่อวานเสี่ยวเฉียวไปพบเขา วันนี้ก็มีลิ้นจี่มา เจ้าคิดว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกันหรือ”
กล่าวกันว่าศัตรูของศัตรูย่อมคือมิตร เทียบกับคุณชายหลี่ผู้นี้ บุรุษสวมหน้ากากลึกลับผู้นั้นน่ากลัวกว่ามากนัก เมื่อคิดเช่นนี้ สวี่ซื่อเจี๋ยก็อดมิได้รู้สึกว่าตนกับคุณชายหลี่เป็นคนหัวอกเดียวกัน
ใบหน้าซีดเผือดของยิ่นอ๋องถูกโทสะย้อมจนกลายเป็นสีตับหมู ไม่พบหน้ากันไม่กี่ปี กลายเป็นดอกหยางลอยน้ำ[1]เสียแล้ว เฉียวเวย อย่าให้ข้าจับชายชู้คนนั้นได้เชียว!
…
นับตั้งแต่ล่วงรู้ว่าเฉียวเวยเลี้ยงเด็กหนุ่มคนหนึ่งไว้ข้างนอก ยิ่นอ๋องก็ส่งคนไปสืบข้อมูลของเด็กหนุ่มคนนั้น แต่จนปัญญาด้วยไม่ว่าเขาจะลงมืออย่างไรก็สืบหาข้อมูลของอีกฝ่ายไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ยิ่นอ๋องจึงตัดสินใจไปดักรอเหยื่อที่หรงจี้ด้วยตนเอง เขาไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะจับเด็กหนุ่มคนนั้นมิได้
วันที่สิบห้าเดือนห้า เฉียวเวยมาทำงานที่หรงจี้เฉกเช่นปกติ เพื่อให้สะดวกนางคิดค้นอาหารจานใหม่ หรงจี้จึงมอบห้องครัวห้องเล็กให้นางใช้คนเดียว หลายวันนี้ถูกยิ่นอ๋องกับสวี่ซื่อเจี๋ยเกาะติด นางเกือบจะลืมแล้วว่าในห้องครัวห้องน้อย นางบ่มของสิ่งหนึ่งเอาไว้
ของสิ่งนี้เพิ่งจะบ่มได้หนึ่งเดือน ก็ไม่รู้ว่าบ่มได้ที่หรือยัง หากเป็นยุคปัจจุบันที่มีวัตถุดิบเพียงพอ สิบห้าถึงยี่สิบวันก็ทำเสร็จแล้ว น่าเสียดายยุคโบราณมีปัจจัยจำกัดจึงต้องเพิ่มเวลาสักหน่อย
เฉียวเวยเปิดโถออกมาชิมเล็กน้อย กลิ่นต่างจากชาติก่อนอยู่บ้างแต่ก็นับว่าบ่มได้หอมดี
เฉียวเวยแบกโถกลับไปที่ห้องบัญชี ไม่ผิดจากที่คาด เจ้าคนที่มาโดยไม่ได้รับเชิญบางคนมานั่งอยู่บนเก้าอี้ของนางอีกแล้ว แล้วยังมองพัดหญิงงามของนางอีก
จีหมิงซิวพิจดูหญิงงามบนภาพวาดแล้วยกมุมปากขึ้น “เจ้าทรวดทรงดีเท่านี้หรือไม่”
เฉียวเวยยืดแผ่นหลังเล็กจนเหยียดตรง “เหตุใดจะไม่เท่า”
จีหมิงซิว “อืม”
‘อืม’ น้ำเสียงเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร
ไม่เชื่อเช่นนั้นหรือ
ข้า…
เฉียวเวยกำลังจะเปิดปากพูดก็ตระหนักได้ว่าเจ้าหมอนี่กำลังใช้กลยุทธ์ยั่วยุแม่ทัพอยู่ นางจะไปติดกับเขามิได้
จีหมิงซิวยกมุมปากขึ้นอย่างอดไม่ไหว แล้วเลิกหยอกนาง “กินลิ้นจี่หมดหรือยัง”
เฉียวเวยตอบตามจริง “กินหมดแล้ว”
ส่วนที่แจกจ่ายก็แจกไปตั้งครึ่ง อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือส่วนใหญ่นางกับเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองก็แบ่งกันหมดแล้ว
สิ่งที่ต้องจ่ายเมื่อกินลิ้นจี่มากเกินไปก็คือนางร้อนในแล้วเรียบร้อย ในปากมีตุ่มผุดขึ้นมาหนึ่งตุ่ม
จีหมิงซิวส่งชาถ้วยหนึ่งมาถึงมือนาง
“อะไร” เฉียวเวยถาม
“ดีบัว” จีหมิงซิวตอบ
ดีบัวขมที่สุดแล้ว แล้วยังมีรสชาติประหลาดที่บอกไม่ถูกอีก นางไม่ดื่ม!
“ให้ข้าป้อนเจ้าหรือไม่” จีหมิงซิวมองนาง
เฉียวเวยตอบอย่างไม่ทันคิด “ปากประกบปากหรือ”
รอยยิ้มน้อยๆ แย้มพรายในดวงตาของจีหมิงซิวดุจแสงสายหนึ่งตกต้องดอกบัวหิมะที่แย้มกลีบบานบนยอดเขาหิมะ “หากเจ้าต้องการก็ได้”
เฉียวเวยไม่พูดพร่ำต่อ ยกชาดื่มอึกๆ ทันใด!
ฟู่ ขมจะตายแล้วจริงๆ!
จีหมิงซิวหยิบกล่องใบน้อยกล่องหนึ่งออกมาราวกับเล่นมายากล ด้านในมีผลไม้เชื่อมเต็มแน่น
เฉียวเวยเลิกคิ้วเรียว “ข้ามิใช่เด้กน้อยเสียหน่อย ถึงต้องเอารสหวานมากลบรสชาติ”
จีหมิงซิวเอ่ยตอบ “ไม่ได้ให้เจ้า ให้วั่งซูกับจิ่งอวิ๋น”
เฉียวเวยรับมาอย่างกระดากอาย
จีหมิงซิวมองโถที่นางถือเข้ามา “นี่คือสิ่งใด”
เมื่อเอ่ยถึงสิ่งนี้เฉียวเวยก็กระตือรือร้น ดวงตาเป็นประกายวาววับ “ของดี อยากลองหรือไม่”
จีหมิงซิวยิ้มจางๆ “หากเป็นของค้างคืนก็อย่าเลย”
เฉียวเวยเบ้ปาก “ผ่านไปตั้งนานนมแล้ว เหตุใดยังคิดแค้นอยู่อีก ข้าขอบอกท่าน นี่เป็นของดีนัก ทั้งต้าเหลียงมีแต่ร้านข้าเท่านั้น ท่านหาดื่มข้างนอกไม่ได้เด็ดขาด!”
จีหมิงซิวมองนางเหมือนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
เฉียวเวยรินออกมาสองถ้วย ตนเองลองชิมก่อน เมื่อแน่ใจว่าตนเองไม่ได้บ่มจนเสียจึงส่งอีกถ้วยให้เขา “ดื่มครั้งแรกท่านอาจไม่คุ้นนัก”
จีหมิงซิวมองของเหลวสีเหลืองทองใสในถ้วย เขาท่องเที่ยวไปทั่วสี่แคว้น นับว่ารอบรู้กว้างขวางแต่กลับไม่เคยเห็น…น้ำชาประหลาดเช่นนี้มาก่อน จีหมิงซิวลองจิบหนึ่งคำ
เฉียวเวยรีบถาม “เป็นเช่นไรๆ”
“ขมเล็กน้อย”
“อย่างอื่นเล่า” เฉียวเวยถามต่อ เห็นชัดว่าตั้งตาคอยเขาวิจารณ์อย่างอื่นออกมาอีก ทว่านางก็ผิดหวัง จีหมิงซิวไม่สนใจ ‘ชา’ รสชาติขมอ่อนๆ ชนิดนี้สักนิด เฉียวเวยถอนหายใจ สองมือประคองแก้ม จนตนเองกลายเป็นกระรอกอ้วนตัวน้อยตัวหนึ่ง “ข้ารู้อยู่แล้วเชียว ถ้าไม่มีฟองก็คงไม่อร่อย”
“มีฟองหรือ” จีหมิงซิวมองนางอย่างประหลาดใจ “เจ้าหมายถึงฟองชาหรือ”
เฉียวเวยส่ายหน้า “ไม่ใช่ เป็นฟองอากาศที่เวลาดื่มเข้าไปแล้วชื่นใจอย่างยิ่ง ตอนดื่มจะรู้สึกซ่า”
จีหมิงซิวทำหน้าประหลาดยิ่งกว่าเดิม
เฉียวเวยอธิบาย “ที่บ้านเกิดของพวกเรา มีเครื่องมืออัดฟองชนิดนั้นเข้าไป ที่นี่ไม่มี แต่เติมน้ำตาลแล้วใส่ภาชนะปิดผนึกแน่นบ่มรอบสองแทนก็พอจะสร้างฟองชนิดนั้นได้เหมือนกัน แต่ก็นะ ข้าตามหาตั้งหลายร้านก็หาโถที่ปิดผนึกแน่นพอไม่พบ”
“ต้องแน่นเท่าใด”
“แน่นจนลมผ่านไม่ได้”
“ขนาดใหญ่เล็กมีเงื่อนไขหรือไม่”
“ใหญ่เล็ก…” เฉียวเวยตาเป็นประกาย “ท่านทำได้หรือ”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเป็นยอดฝีมือด้านอาวุธลับอันดับหนึ่งแห่งยุทธภพ เขาเชี่ยวชาญการทำสิ่งของประหลาดหายากเช่นนี้เป็นที่สุด มอบหมายให้เขาลองดูก่อนได้
“ถ้าเช่นนั้นลองทำโถเล็กมาดูก่อน” เฉียวเวยดีใจจนตัวจะลอย แม้แต่ชาขมทำจากดีบัวถ้วยที่สองที่เขาส่งมาให้ก็ยังดื่มอย่างไม่อิดออดสักนิด ดวงหน้าเริ่มแดงระเรื่อ แววตาเป็นประกายระยับ
จีหมิงซิวเฝ้ามองนาง ในดวงตาปรากฏแววตาที่มองไม่ออก เขาเคยเห็นนางในสภาพน่าเวทนาเมื่อครั้งนางอุ้มลูกตระเวนไปทั่วเพื่อหาหมอรักษาเหมือนชาวบ้านตกยากคนหนึ่ง แล้วก็เคยเห็นนางในสภาพร้อนรนใกล้ร้องไห้ยามนางเดินข้ามเขาตามหาจิ่งอวิ๋น นางเป็นมารดาของเด็กสองคนแล้วแท้ๆ แต่บางครั้งก็ใสซื่อจนเหมือนไม่เคยแตะต้องบุรุษมาก่อน
“นี่คือสิ่งใด” จีหมิงซิวมองปฏิทินบนโต๊ะของนาง บนนั้นใช้ชาดสีแดงวงวันหนึ่งเอาไว้…เดือนหก วันที่หนึ่ง
เฉียวเวยตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก “ไม่มีอันใด”
“วันเกิดหรือ” จีหมิงซิวถาม
เฉียวเวยสะอึก นี่ยังจะเดาถูกอีก คงไม่ได้มีวิชาอ่านใจจริงๆ ใช่หรือไม่
จีหมิงซิวเอ่ยอีกว่า “ยังไม่เคยถามถึงบิดามารดาของเจ้าเลย”
“ไม่มีบิดามารดา”
บิดามารดาของนางให้กำเนิดนางได้ไม่กี่วันก็ทอดทิ้งนางแล้ว ข่าวคราวสักอย่างก็ไม่ทิ้งไว้ วันที่หนึ่งเดือนหกเป็นวันที่คุณแม่อธิการคำนวณจากอายุของนาง ที่แท้ตรงหรือไม่ต้องถามบิดามารดาของนาง แต่นางไม่มีโอกาสนั้นแล้ว ต่อให้มี บิดามารดาใจเหี้ยมคู่นั้นก็ไม่น่าจะจดจำวันเกิดของบุตรสาวที่ไม่ต้องการได้กระมัง
เฉียวเวยปิดปฏิทิน “ไม่ต้องดูแล้ว ข้าไม่ฉลองวันเกิดเสียหน่อย!”
“แต่เจ้าวงเอาไว้” จีหมิงซิวทัก
เฉียวเวยอ้าปากตอบว่า “เพียงเตือนตนเองว่าแก่ขึ้นอีกปีแล้วเท่านั้น”
เฉียวเวยไม่อยากคุยประเด็นนี้ต่อจริงๆ จึงเบี่ยงประเด็นถามขึ้นมาว่า “จริงสิ ลิ้นจี่ที่ท่านซื้อมา ราคาชั่งละเท่าไร”
จีหมิงซิวมองริมฝีปากแดงระเรื่อเพราะร้อนในของนาง “ยังกินไม่พอหรือ”
เฉียวเวยลูบตุ่มน้อยที่แตะปุ๊บก็เจ็บบนริมฝีปาก “ข้าถามแทนผู้อื่น”
“ผู้อื่นเช่นนั้นช่างเถิด” จีหมิงซิวตอบอย่างไม่เสียเวลาคิด
เฉียวเวยจับแขนเขา “ท่านขายให้ข้าน่า! ในเมืองไม่มีขาย หากในมือข้ามีของ ต้องขายดีแน่ ข้าจะได้เอาส่วนต่างราคาตรงกลางมาใช้ในบ้าน”
“ขาดเงินหรือ” จีหมิงซิวมองมือของนางที่วางอยู่บนแขนของตน นิ้วเรียวยาวขาวผ่อง เล็บสีชมพูระเรื่อ นัยน์ตาเขาดำมืดขึ้นเล็กน้อย
เฉียวเวยรีบรั้งมือกลับ “ไม่ขาดหรอก”
ความจริงก็ไม่ขาดแคลน หากนางไม่ซื้อข้าวของหรูหรา ค่าใช้จ่ายก็ไม่มาก เครื่องเรือนก็แบ่งจ่าย ที่นางขายไข่เยี่ยวม้าได้แต่ละเดือนเงินก็จ่ายส่วนนั้นได้แล้ว แล้วยังมีบางครั้งล่าสัตว์ได้ ขายกระต่ายกับกวางป่าอะไรได้นิดหน่อยอีก ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันมิต้องกังวล แต่นางไม่ขาด ไม่ได้หมายความว่านางไม่อยากหาเพิ่มนี่ ตอนนี้ความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนางคือการหาเงิน
แววตาของจีหมิงซิวเคลื่อนลงมาจับบนเสื้อผ้าที่เห็นชัดว่าขัดสนของนาง ความจริงแล้วนี่เป็นเสื้อผ้าแพงที่สุดที่เฉียวเวยหาซื้อในตัวเมืองได้แล้ว แต่ในสายตาใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีก็ยังเป็นผ้าที่คนยากคนจนสวมใส่อยู่ดี ต้องรู้ว่า ราคาอาภรณ์ชิ้นหนึ่งของจีหว่านแทบจะซื้อร้านค้าร้านหนึ่งในตัวเมืองได้ แล้วหนึ่งปีสามร้อยหกสิบห้าวัน เสื้อผ้าของจีหว่านไม่เคยใส่ซ้ำ
เขาไม่ทราบว่าความจริงแล้วตัวเขาเองก็เป็นเช่นนั้น
ทุกครั้งที่เฉียวเวยสิ้นเปลืองความคิดแต่งเนื้อแต่งตัวและคิดว่าดูดีมีระดับเป็นคนมั่งคั่งแล้ว ความจริงในสายตาของจีหมิงซิวก็ยังเป็นชาวบ้านยากจนตัวน้อยคนหนึ่ง
แต่จีหมิงซิวไม่สนใจสิ่งเหล่านั้น หลายครั้งที่เขาพบนาง นางแต่งตัวราวกับชาวบ้านที่ประสบภัยพิบัติสักคน เขาก็ไม่เคยรังเกียจนางแต่อย่างใด
“เท่าไรท่านก็ว่าราคามาเถิด ท่านก็ได้ราคาส่วนต่างนิดๆ หน่อยๆ ข้าก็ได้ราคาส่วนต่างนิดๆ หน่อยๆ ทุกคนไม่มีผู้ใดขาดทุน!” เฉียวเวยเอ่ยเร่ง
จีหมิงซิวเห็นท่าทางคลั่งไคล้เงินของนางพลันขยับยิ้ม “แต่คงไม่ดีเท่าของส่วนนั้นที่ส่งให้เจ้า” ลิ้นจี่ชั้นเลิศแต่ละปีมีเพียงไม่กี่ลังเท่านั้น เขามอบให้จีหว่านกับท่านย่าไปส่วนหนึ่งแล้ว ส่วนที่เหลือทั้งหมดล้วนส่งมาให้นาง หากเก็บมาอีกคงสู้พวกที่นางเคยกินไม่ได้
เฉียวเวยเอ่ยอย่างเข้าอกเข้าใจ “ไม่เป็นอะไรๆ! มีก็พอ!”
จีหมิงซิวครุ่นคิดเล็กน้อย “ชั่งละสิบอีแปะ”
สิบอีแปะเองหรือ ก็ไม่แพงเท่าใดนี่นา! ยังคิดว่าถึงอย่างไรก็คงต้องสักหลายร้อยอีแปะเสียอีก!
เฉียวเวยยิ้มหวาน “ถ้าเช่นนั้นข้าให้ท่านยี่สิบอีแปะ!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยที่อยู่บนหลังคาเกือบหน้าคว่ำ ลิ้นจี่ราคาชั่งละหนึ่งตำลึงเงิน ท่านกลับขายออกไปยี่สิบอีแปะ ไม่กลัวถูกสวรรค์ลงทัณฑ์หรือ ไม่กลัวอาชาที่เหน็ดเหนื่อยจนตายเหล่านั้นปีนกลับขึ้นมาทวงชีวิตท่านจากในหลุมหรือไร เคยคิดถึงความรู้สึกของพวกมันบ้างหรือไม่!
“ท่านมีของกี่ชั่ง” เฉียวเวยยิ้มแย้มมองเขาแล้วเอ่ยถาม
จีหมิงซิวบอกตัวเลขหนึ่งออกมาโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าแม้สักนิด เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกระอักเลือดในทันใด…
[1] ดอกหยางลอยน้ำ สำนวนเปรียบเปรยถึงสตรีที่จิตใจโลเลเหมือนดอกหยางที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ