หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 99-2 อยู่หนใด เข้าวัง
ตอนที่ 99-2 อยู่หนใด เข้าวัง
สือซานเป็นฝ่ายสอดแนม ในมือเขาเลี้ยงสายลับตัวเล็กตัวน้อยไว้โขยงหนึ่งจึงรับผิดชอบรวบรวมข่าวสารโดยเฉพาะ
ไห่สือซานผายมือ “ไม่รู้”
จีอู๋ซวงถามว่า “ก่อนนายน้อยสลบไป เขาให้เจ้าสืบอะไร”
“ไม่มีอะไร”
“ก็คือให้เจ้าสืบจริงๆ สินะ”
ไห่สือซานสะอึก ความรู้สึกตอนถูกหลอกถาม ช่างน่าชังนักจริงๆ!
แต่ปากเขาปิดสนิทนัก นอกเสียจากเขาอยากพูด ต่อให้เป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายก็เค้นสักคำออกมาจากปากเขามิได้
“ในเมื่อนายน้อยไม่เป็นอะไร ข้าก็ขอกลับก่อน” ไห่สือซานยืดตัวบิดขี้เกียจแล้วหาววอดหนึ่ง ก่อนจะเดินออกไปด้านนอกอย่างเกียจคร้าน ทว่าเดินออกมาได้เพียงไม่กี่ก้าว เขาก็ผลุบเข้าไปในห้องน้ำแข็ง แล้วเดินไปหน้าเตียง คุกเข่าลงข้างหนึ่ง “นายน้อย!”
จีหมิงซิวลุกขึ้นมานั่งแล้ว หลังผิงกับหมอนหยกเหมันต์ เสื้อผ้าอาภรณ์ปล่อยชายทิ้งหลุดลุ่ย คนก็แสดงท่าทีอ่อนแรงและเกียจคร้าน “เรื่องที่ให้เจ้าสืบ สืบได้ความว่าอย่างไร”
ไห่สือซานส่งข้อมูลที่สืบได้ให้จีหมิงซิว “ตอบนายน้อย สตรีนางนั้นคือคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวจริงๆ แม้นางทำหนังสือผ่านทางกับบันทึกผู้อยู่อาศัยใหม่ที่ศาลาว่าการ กล่าวว่าตนเป็นคนจากหมู่บ้านลี่ชุนที่เตียนตู แต่สายลับของข้าที่เตียนตู ส่งข่าวมาแจ้งว่า หมู่บ้านลี่ชุนไม่มีสตรีแซ่เฉียวแม้แต่คนเดียว นางกำลังโกหก”
‘เจ้ากับจวนเอินปั๋วเกี่ยวข้องกันอย่างไร’
‘ไม่เกี่ยวข้องกัน ข้ากับนางเพิ่งรู้จักกันเมื่อปีกลาย ฝังมามาที่คอยอยู่ข้างกายนางบังคับให้ข้าขายเสี่ยวไป๋ ข้าไม่ยอม จึงทะเลาะกับพวกนาง’
‘ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็น่าจะไม่รู้จักยิ่นอ๋อง’
‘ยิ่นอ๋องคือผู้ใด’
‘คนไม่สำคัญ ในเมื่อเจ้าไม่เกี่ยวข้องกับจวนเอินปั๋ว ก็ย่อมไม่เกี่ยวข้องกับเขาด้วย’
จีหมิงซิวค่อยๆ กำกระดาษสีขาวในมือแน่น
…
ป้าหลัวทราบข่าวที่เฉียวเวยจะเข้าวังแล้ว นางตกตะลึง อ้าปากหวอจนยัดไข่ไก่ฟองหนึ่งเข้าไปได้ ได้ไปเมืองหลวง นางก็รู้สึกว่าสุดยอดมากแล้ว แต่ถึงขั้นได้เข้าวังหลวง สวรรค์ บรรพบุรุษนำพาโชคลาภมาให้หรืออย่างไร
เฉียวเวยก็รู้สึกว่าตนโชคดียิ่งนัก นางไม่เคยเข้าวัง ย่อมอยากเข้าไปดูว่าพระราชวังในยุคโบราณหน้าตาเป็นเช่นไร หากโชคดีได้เห็นนางสนมผู้งามล่มเมืองสักสองสามคนเป็นบุญตาก็ยิ่งดี
จากที่หัวหน้าชุยแจ้งมา งานเลี้ยงครอบครัวจัดขึ้นตอนกลางคืนและอาจดำเนินไปจนถึงรุ่งเช้า ยามนั้นประตูพระราชวังลงดาลแล้ว พวกเขาจำต้องรอจนถึงยามสี่จึงจะออกจากวังได้ หรือพูดอีกอย่างก็คือเป็นไปได้อย่างยิ่งที่พวกเขาจะได้ค้างคืนในพระราชวังหนึ่งคืน
พอได้ยินว่ามารดาจะต้องไปค้างคืนข้างนอก เจ้าซาลาเปาน้อยก็ไม่เอาแล้ว พวกเขาไม่เคยแยกจากมารดามาก่อน ทุกคนล้วนนอนอยู่ด้วยกัน หากมารดาไม่อยู่ พวกเขาจะนอนไม่หลับ
“เป็นเด็กดี มารดาไปคืนเดียวก็กลับแล้ว” เฉียวเวยเอ่ยเสียงอ่อนโยน
วั่งซูกอดคอเฉียวเวย ขาอวบอ้วนเตะไปมา “ไม่เอาๆ!”
เฉียวเวยลูบศีรษะน้อยของนางแล้วกล่อมว่า “พวกเจ้าหลับไปหนึ่งตื่น ลืมตาขึ้นมามารดาก็กลับมาแล้ว”
วั่งซูไม่คล้อยตาม “ท่านแม่อย่าไป”
“แม่จำเป็นต้องไปนะ” หนึ่งพันห้าร้อยตำลึงเชียวนะ เป็นเงินที่ร่วงลงมาจากฟ้าโดยแท้ ไม่ไปคว้ามาคงนึกเสียใจตายแน่
วั่งซูพองแก้ม “ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปด้วย”
เฉียวเวยจิ้มปลายจมูกน้อยของนาง “แม่ไปทำงาน ไม่มีเวลาดูแลพวกเจ้า”
“พวกเราดูแลตัวเองได้ พวกเราจะไม่วิ่งซน ไม่สร้างเรื่องวุ่นวายให้ท่านแม่” วั่งซูตัวน้อยใช้ท่าไม้ตาย นางเบิกตาไร้เดียงสาดุจตาลูกกวางคู่นั้นจนกลมโต ริมฝีปากสีแดงระเรื่อเม้มแน่น ท่าทางเศร้าสร้อยใกล้จะร้องไห้อยู่รอมร่อ
น่าเสียดาย เฉียวเวยไม่ตกหลุมพรางของนาง ตบก้นกลมของนางเบาๆ แล้วส่งนางกลับเข้าไปในมุ้ง
พระราชวังมิใช่สถานที่จะเล่นสนุกได้ตามใจ ต่อให้เป็นขันทีสักคนในนั้นก็อาจมีเบื้องหลังใหญ่โต หากไม่ระวังชนผู้ใดเข้า ผลลัพธ์ที่ตามมาไม่อาจคาดคิด ต้องรอบคอบไว้ก่อน ทิ้งเจ้าซาลาเปาน้อยไว้ที่บ้านจะดีกว่า
แต่นางคิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่าเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองฉากหน้าจะรับปากเสียดิบดี แต่พริบตาเดียวกลับมาซ่อนในตะกร้าผัก โคลงเคลงอยู่บนรถม้าเข้าเมืองหลวงมาด้วย จนกระทั่งต่อแถวตรวจค้นหน้าประตูพระราชวังถึงถูกทหารราชองครักษ์หิ้วมามือละคน
เจ้าซาลาเปาน้อยที่ทั้งตัวมีแต่ใบผักยิ้มร่า “ท่านแม่…”
เป็นครั้งแรกที่เฉียวเวยอยากจับเจ้าตัวน้อยทั้งสองคนมาแขวนแล้วตีให้หลาบจำ
ถึงจะอยากส่งพวกเขากลับก็เป็นไปไม่ได้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าคนที่พวกเขาพามาด้วยจะขาดหายไปสักคนไม่ได้ ต่อให้สามารถแบ่งออกมาสักคนไปส่งเจ้าซาลาเปาน้อยกลับหมู่บ้านได้ เฉียวเวยก็ไม่วางใจ จึงได้แต่รายงานหัวหน้าชุย แล้วพาเจ้าตัวน้อยทั้งสองคนเข้าวังมาด้วย
เจ้าตัวน้อยตื่นเต้นยิ่งนัก ในที่สุดก็ได้มาด้วยกันกับท่านแม่แล้ว!
วั่งซูอุ้มเสี่ยวไป๋ จูงมือพี่ชายเดินตามหลังเฉียวเวย ทั้งสองคน ‘แช่’ อยู่ท่ามกลางกองผักมานาน ใบหน้าจึงกลายเป็นสีผัก ระหว่างที่เดินมีนางกำนัลน้อยปิดปากแอบหัวเราะเป็นระยะ เจ้าซาลาเปาน้อยขัดเขิน เฉียวเวยกับเถ้าแก่หรงจึงอุ้มไว้คนละคน วั่งซูซุกศีรษะเข้าไปในอ้อมกอดของมารดา ก้นน้อยๆ ลอยโด่ง เกิดกลัวว่าผู้อื่นจะเห็นใบหน้าของนาง สภาพขัดเขินของเจ้าตัวน้อยเช่นนี้ยิ่งน่าขบขัน การเข้าวังครั้งนี้ หรงจี้พาคนไปทั้งหมดห้าคน เฉียวเวย เถ้าแก่หรง พ่อครัวเหอ เหยาชิงกับลูกศิษย์อีกคนหนึ่งนามว่าเสี่ยวไช่
จากที่หัวหน้าชุยแนะนำ พระราชวังมีทั้งหมดแปดประตูสิบสามหอ หอทั้งสิบสามหลังคือหอสังเกตการณ์ สูงยิ่งกว่ากำแพงพระราชวัง สอดส่องความเคลื่อนไหวโดยรอบพระราชวังได้ดียิ่งนัก ส่วนแปดประตูแบ่งออกเป็นสี่ประตูหลักเหนือใต้ออกตก สามประตูข้าง และหนึ่งประตูเล็ก ประตูทิศใต้เปิดให้สำหรับไทเฮา ฮองเฮากับรัชทายาทเท่านั้น ขุนนางใหญ่ทั้งหลายยามเข้าประชุมต้องเข้าทางประตูตะวันออก ส่วนองค์ชายทั้งหลายเข้าวังต้องผ่านประตูทิศเหนือ องค์หญิงทั้งหลายต้องใช้ประตูทิศตะวันตก
มีคนบางพวกที่จะเข้าประตูหลักมิได้ ตัวอย่างเช่นนางสนมและบ่าวรับใช้ในพระราชวัง
เฉียวเวยคิดว่ากฎข้อนี้ประหลาดนัก หากผู้อื่นพักอยู่ฝั่งตะวันออกของพระราชวัง แต่ใช้ประตูตะวันออกมิได้ จำต้องอ้อมครึ่งพระราชวังมาเข้าประตูตะวันตก หากมีเรื่องด่วนเล่า
“มีเรื่องด่วนสามารถใช้ประตูข้างได้” หัวหน้าชุยอธิบาย
ระหว่างที่สนทนา พวกเขาก็มาถึงประตูบานเล็กที่นับเป็นประตูข้างยังมิได้บานหนึ่ง จากนั้นเข้าประตูมุ่งไปยังห้องเครื่อง ระหว่างเดินผ่านประตูทิศเหนือ ราชองครักษ์ท่าทางห้าวหาญเปี่ยมพละกำลังสี่คนก็แบกเกี้ยวสีน้ำเงินสดดูหรูหราหลังหนึ่งเดินเข้ามาอย่างมั่นคง
เฉียวเวยถาม “นั่นคือ…องค์ชายหรือ”
หัวหน้าชุยมองตราสัญลักษณ์บนเกี้ยวแวบหนึ่งก็ตอบว่า “มิใช่ นั่นคือซื่อจื่อน้อยแห่งจวนเจาอ๋อง”
“ไม่ได้มีแต่องค์ชายที่จะเดินเข้าประตูหลักได้หรือ” เฉียวเวยถาม
หัวหน้าชุยชะงักครู่หนึ่งแล้วยิ้ม “ฝ่าบาททรงโปรดปราน”
เกี้ยวผ่านด้านข้างไป หัวหน้าชุยยกชายเสื้อคุกเข่าลงบนพื้นอย่างนอบน้อม พวกเฉียวเวยจึงได้แต่คุกเข่าคำนับด้วย
จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูกะพริบตามองเกี้ยวที่อยู่สูงข้างบน ม่านของเกี้ยวถูกลมพัดปลิวขึ้น ดวงตาโตคู่หนึ่งมองมา วั่งซยิ้มหวาน เจ้าของดวงตาโตอึ้งก่อนแต่จากนั้นก็ยิ้มตอบ
“ซื่อจื่อ!” ม่านถูกแม่นมปิดลง “รักษากฎด้วยเจ้าค่ะ”
เกี้ยวหายลับสุดทางเดินเส้นน้อย หัวหน้าชุยจึงพาทุกคนลุกขึ้นมุ่งไปยังห้องเครื่อง
เฉียวเวยคิดว่าจะได้เห็นภาพงดงามของอุทยานหลวง สระน้ำใหญ่ ศาลาริมน้ำอะไรเสียอีก ผู้ใดจะคิดว่ากลับเดินลัดเลาะทางเส้นน้อยอยู่ตลอด เดินวนเวียนจนคนมึนงง ในที่สุดก็ถูกลากมาถึงห้องครัวห้องใหญ่แห่งหนึ่ง ถามอย่างละเอียดจึงได้ทราบว่านี่หาใช่ห้องเครื่องหลวง แต่เป็น ‘ห้องเครื่องสามัญชน’ ที่จัดเตรียมไว้สำหรับงานเลี้ยงวันพระราชสมภพของรัชทายาทโดยเฉพาะ นอกจากหรงจี้แล้ว ยังมีคณะพ่อครัวที่เชิญมาจากหมู่สามัญชนอีกหลายเจ้า มีเจ้าที่ทำไก่ตอน เจ้าที่ทำห่านย่าง เจ้าที่ใกล้ที่สุดมาจากเมืองหลวง เจ้าที่ไกลที่สุดมาจากทางใต้!
ทุกคนล้วนทำงานอยู่ในห้องครัวขนาดใหญ่ห้องหนึ่ง มีเตาแยกแต่ละเจ้า วัตถุดิบต่างเตรียมกันมาเอง แต่ก็หยิบเอาจากคลังด้านข้างก็ได้ หากในคลังไม่มี ให้แจ้งขันที สามารถโยกย้ายมาจากห้องเครื่องหลวงได้
เฉียวเวยเป็นแม่ครัวเพียงคนเดียวในที่แห่งนี้ ทุกคนอดไม่ได้ส่งสายตาสงสัยใคร่รู้มา
“แขนเรียวปานนั้น ถือกระบวยไหวหรือ” พ่อครัวผู้ชำนาญการทำไก่ตอนหัวเราะพลางเอ่ยกับลูกศิษย์ของตนเอง
เถ้าแก่หรงกลอกตาใส่คนผู้นั้น แล้วพึมพำว่า “อ้วนเสียปานนั้น เดินเหินไหวหรือ”
เฉียวเวยไม่สนใจคำถามของพวกเขา นางหิ้วตะกร้าใบหนึ่งเดินออกไปด้านนอก เด็กๆ นั่งเล่นอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในลานกว้างอย่างเรียบร้อย ไม่โวยวายและไม่เสียงดัง เฉียวเวยเทกุ้งลงในกะละมังใบใหญ่แล้วตักน้ำล้างอย่างพิถีพิถัน จิ่งอวิ๋นก้าวขาสั้นๆ เดินเข้ามา “ท่านแม่ ข้าช่วยท่านนะ”
เฉียวเวยยิ้มละไม “เอาสิ”
“ข้าก็จะทำด้วยๆ !” เจ้าตัวน้อยที่คอยตามก้นพี่ชายเดินดุ๊กดิ๊กเข้ามา
เฉียวเวยวางกุ้งที่ล้างสะอาดแล้วลงในกะละมังอีกใบหนึ่ง จิ่งอวิ๋นจับขึ้นมาหนึ่งตัวแล้วเด็ดหางกุ้งออก
เด็ดหนึ่งครั้งก็แล้ว เด็ดสองครั้งก็แล้ว เอ๋ เด็ดไม่ออก!
วั่งซูจับขึ้นมาตัวหนึ่งบ้าง เด็ดเบาๆ ครั้งเดียวก็ออกมาแล้ว
หยิบขึ้นมาอีกตัวหนึ่ง เด็ดอีกรอบก็ออกมาอีกรอบ
ไม่นาน เบื้องหน้านางก็กองเป็นภูเขาลูกน้อย
ไม่นานหลังจากนั้นกะละมังที่ใส่ภูเขาลูกน้อยของนางก็ถูกดันไปด้านข้าง
ล้างกุ้งตะกร้าแรกเสร็จ เฉียวเวยก็เริ่มทำความสะอาดตะกร้าที่สอง จิ่งอวิ๋นผู้ล้มเหลวกับการดึงขี้กุ้งตัดสินใจกู้หน้ากลับมาให้จงได้ เขาจึงไปช่วยท่านแม่ตักน้ำ ตักมาเต็ม…ครึ่งถัง! ถังใบนั้นไม่ใหญ่แต่ก็ไม่เล็ก สูงเท่าครึ่งตัวเขา เขาใช้สองมือจับเตรียมจะหิ้วมันขึ้นมาอย่างน่าเกรงขาม แต่เขายกข้างซ้ายก็แล้ว ยกข้างขวาก็แล้ว ใช้เรี่ยวแรงจนหยาดหยดสุดท้ายก็ยังยกไม่ขึ้น
วั่งซูเดินเข้ามา มือข้างหนึ่งจับถังไม้แล้วหิ้วขึ้นมาเดินโดยไม่แม้แต่จะหอบสักนิด
ถังใบนั้นที่วั่งซูหิ้วอยู่หนักกว่าถังน้ำของเขาเสียอีก จิ่งอวิ๋นตาโตอ้าปากค้าง
น้ำไม่พอ เฉียวเวยจึงไปตักมาอีกสองถัง นางใช้ถังน้ำขนาดห้าสิบชั่ง มือแต่ละข้างหิ้วหนึ่งใบ เดินไวประหนึ่งเหาะ วั่งซูใช้ถังน้ำขนาดยี่สิบบชั่ง ก็ถือด้วยมือข้างเดียว เดินไวประหนึ่งเหาะเช่นกัน
จิ่วอวิ๋นมองดูมารดากับน้องสาว แล้วมองตนเองที่แม้แต่น้ำครึ่งถังก็ยังยกไม่ขึ้น ในใจรู้สึกพังทลาย เหตุใดมารดากับน้องสาวจึงเรี่ยวแรงมากมายเช่นนี้ เขาเป็นลูกแท้ๆ แน่หรือไม่!
จิ่งอวิ๋นอุ้มเสี่ยวไป๋ขึ้นมาเงียบๆ ก่อนหน้านี้น้องสาวเรี่ยวแรงน้อยกว่าเขาเสียอีก แต่พักนี้กลับมีเรี่ยวแรงมากมาย จะต้องเป็นเพราะทุกวันอุ้มเสี่ยวไป๋เป็นการออกกำลังแน่ นับจากวันนี้เป็นต้นไปเขาก็จะอุ้มเสี่ยวไป๋ทุกวันบ้าง! เขาต้องเรียกศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายกลับมา!
เมื่อล้างกุ้งเสร็จแล้ว เฉียวเวยก็เข้าห้องครัวไปทำอาหาร นางกำชับเด็กๆ ให้เล่นอยู่ในลาน อย่าวิ่งส่งเดช
เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองเล่นอยู่ใต้ต้นไม้พักหนึ่ง จู่ๆ ศีรษะน้อยกลมดิกศีรษะหนึ่งก็โผล่เข้ามาจากนอกประตู วั่งซูเห็นเขา ดวงตาพลันเป็นประกาย “เอ๋ พี่ชายตัวน้อย”
ซื่อจื่อน้อยรวบรวมความกล้า โผล่ร่างออกมาทางด้านนี้อีกเล็กน้อย แล้วมองวั่งซูกับจิ่งอวิ๋น รวมไปถึงเสี่ยวไป๋ที่จิ่งอวิ๋นดึงดันจะอุ้มไว้ไม่ยอมยกให้น้องสาวด้วยท่าทางดีใจ
วั่งซูยิ้มแย้มชวน “พี่ชายตัวน้อยเข้ามาเล่นด้วยกันสิ!”
ซื่อจื่อน้อยมองไปด้านหลัง จากนั้นรวบรวมความกล้าเดินมาที่ประตู ยกเท้าข้างหนึ่งก้าวข้ามธรณีประตูมา แต่แล้วไม่ทราบคิดอะไรขึ้นมาจึงหดตัวกลับไปอีก
วั่งซูยิ้มร่าวิ่งไปหาแล้วจับมือน้อยของเขา “ท่านไม่ต้องเขินหรอกน่า เข้ามาเล่นกันสิ”
ซื่อจื่อน้อยแต่งกายภูมิฐานอย่างยิ่ง เสื้อคลุมด้านนอกทำจากเส้นไหมสีน้ำเงินเข้ม เข็ดขัดหยกคาดเอว บนแผ่นหยกฝังอัญมณีน้ำตานางเงือกจากตงไห่ที่มีค่าครองเมืองหนึ่งเม็ด เขามัดมวยผม เส้นผมบางอยู่บ้าง แต่เครื่องประดับผมน่ามองนัก จึงชดเชยข้อด้อยจุดนี้ไปได้
เขาเหมือนหยกที่แกะสลักอย่างวิจิตรก้อนหนึ่ง เมื่อเทียบกันแล้ว จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูแต่งตัวเรียบง่ายยิ่งนัก แต่นี่ไม่ส่งผลต่อการสร้างมิตรภาพระหว่างเจ้าตัวน้อยทั้งสามคน
วั่งซูจูงซื่อจื่อน้อยเข้ามาในลาน ทุกคนล้วนกำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ในครัว ไม่มีผู้ใดวิ่งออกมาดูพวกเขา บางครั้งมีพ่อครัวสามัญชนสองสามคนออกมาล้างผักในลาน เห็นซื่อจื่อน้อยก็คิดว่าผู้ใดทำตามอย่างหรงจี้พาเด็กน้อยมาด้วยอีกคนก็เท่านั้น
จิ่งอวิ๋นเห็นน้องสาวจูงมือซื่อจื่อน้อยก็ขมวดคิ้ว เข้ามาแยกทั้งสองคนออกจากกัน ซื่อจื่อน้อยหวาดกลัวอยู่บ้างจึงเข้าไปจับมือของวั่งซูอีก จิ่งอวิ๋นรีบยัดเสี่ยวไป๋ใส่อ้อมแขนของเขา “ให้เจ้าเล่น!”
ซื่อจื่อน้อยเห็น ‘สุนัขตัวน้อย’ ในอ้อมแขน ดวงตาพลันเป็นประกาย
วั่งซูคลี่ยิ้มบอกว่า “มันชื่อเสี่ยวไป๋ ข้ามีนามว่าวั่งซู พี่ชายข้านามจิ่งอวิ๋น ท่านเล่ามีนามว่าอันใด”
เสี่ยวซื่อจื่อคิดครู่หนึ่ง “หลี่จิ้ง”
เด็กน้อยในหมู่บ้านต่างซุกซน ทุกวันล้วนตัวสกปรกมอมแมม แต่พี่ชายตัวน้อยคนนี้สะอาดมากงดงามมาก วั่งซูรู้สึกแปลกใหม่ นางควักลูกกวาดข้าวโพดที่ตนเองซุกซ่อนไว้ออกมาเม็ดหนึ่งแล้วยื่นให้เขา “ให้ท่านกิน”
ซื่อจื่อน้อยเลียริมฝีปาก แต่ไม่ได้ยื่นมือออกมารับ เขาหันกลับไปมองประตู
วั่งซูเอ่ยว่า “แม่ของท่านห้ามไม่ให้ท่านกินลูกกวาดใช่หรือไม่ แม่ของข้าก็ห้ามไม่ให้ข้ากิน ข้าเลยแอบกิน”
ในที่สุดซื่อจื่อน้อยก็ต้านทานความเย้ายวนของลูกกวาดไม่ไหว ยัดลูกกวาดข้าวโพดใส่ปาก
“หวานหรือไม่” วั่งซูถาม
ซื่อจื่อน้อยมีความสุขจนตาปรือ “หวาน”
“ข้าก็รู้สึกว่าหวานมาก” วั่งซูกินเองเม็ดหนึ่ง ป้อนเสี่ยวไป๋เม็ดหนึ่ง แล้วให้พี่ชายอีกเม็ดหนึ่ง
สามคนกับอีกหนึ่งตัวกินอย่างเปรมปรีดิ์ ทันใดนั้นซื่อจื่อน้อยก็เหมือนจะนึกบางอย่างได้ จู่ๆ เขาก็วางเสี่ยวไป๋ลงแล้ววิ่งออกไป วั่งซูคิดว่าเขาไปแล้ว ผู้ใดจะคิดว่าไม่นานเขาก็ย้อนกลับมาอีก ครั้งนี้ในมือมีขนมหวานหลายชิ้นติดมาด้วย
ซื่อจื่อน้อยแบ่งขนมหวานให้สหายใหม่ทั้งสามลิ้มลอง สหายใหม่ทั้งสามไม่เหมือนเพื่อนเล่นที่ทำอะไรนิดอะไรหน่อยก็คุกเข่าขอบพระคุณพวกนั้น พวกเขากินอย่างสบายอกสบายใจยิ่ง
ซื่อจื่อน้อยเบิกบานใจนัก
วั่งซูกินเร็วเกินไปจนสำลัก จึงรีบตักน้ำบ่อสะอาดกระบวยหนึ่งขึ้นมาจากถังแล้วดื่มอึกๆ
ซื่อจื่อน้อยเบิ่งตาโตมอง วั่งซูคิดว่าเขากระหายเหมือนกันจึงตักกระบวยใหม่ขึ้นมาส่งให้เขา “ดื่มหรือไม่”
ซื่อจื่อน้อยรับกระบวยตักน้ำที่ใหญ่กว่าศีรษะของเขามาอย่างงุนงง ขณะที่กำลังจะยกขึ้นจรดริมฝีปาก ทันใดนั้นมือที่สวมกำไลหยกข้างหนึ่งก็เอื้อมมาจากด้านหลัง แย่งกระบวยน้ำโยนลงในถังด้านข้าง “พวกบ่าวบังอาจ! ยุให้ซื่อจื่อดื่มของไม่สะอาดเช่นนี้!”
ซื่อจื่อน้อยตกใจ ลุกขึ้นอย่างอย่างหวาดกลัว
แม่นมหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเศษขนมหวานบนริมฝีปากของเขา “ซื่อจื่อ ท่านมาเล่นกับพวกบ่าวไพร่ได้เช่นไรกัน”
วั่งซูไม่รู้ว่าบ่าวไพร่หมายความว่าอย่างไร แต่รู้สึกว่าสองคำนี้บาดหูอยู่เล็กน้อย “พวกเราไม่ใช่บ่าวไพร่”
“ยังกล้าเถียงอีก” แม่นมเหวี่ยงฝ่ามือตบ! เด็กเช่นนี้แม่นมเห็นมามากนัก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นครอบครัวของขุนนางที่กระทำความผิดแล้วเข้ามาอยู่ในวัง บ้างก็เป็นเด็กจากครอบครัวยากจนที่ถูกขายเข้าวังมาแลกเงินค่าข้าวสารกับฟืน เริ่มแรกล้วนคิดว่าตนเองเป็นคุณชายน้อย ไม่สั่งสอนเสียบ้างก็ไม่รู้กฎของวังแห่งนี้
ซื่อจื่อเป็นพระราชนัดดาองค์โตของฮ่องเต้ ฐานะสูงศักดิ์ปานนี้ บ่าวสุนัขสองคนริอาจเอื้อมมายุ่งเกี่ยวได้หรือ
ซื่อจื่อน้อยตกใจยกมือขึ้นปิดปาก!
จิ่งอวิ๋นกอดน้องสาวแล้วโถมตัวลง หลบพ้นฝ่ามือไปได้
แม่นมตบพลาดเป้า จึงยกมือขึ้นเอื้อมไปคว้าอีกหน!
เสี่ยวไป๋โถมเข้าใส่นางอย่างว่องไว มันกระโจนใส่นางจนล้มลงกับพื้น!
“ว้าย…เดรัจฉานน้อยจากที่ใดกัน” นางกรีดร้องเสียงแหลม
เฉียวเวยที่กำลังหั่นผักอยู่ได้ยินเสียงเอะอะ จึงถือมีดวิ่งออกมา