หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 12 นามของนางคืออวิ๋นจู (1)
ตอนที่ 12 นามของนางคืออวิ๋นจู (1)
จีหมิงซิวหันไปมองนางอย่างไม่ตั้งใจ นางเป็นหญิงชราคนหนึ่งที่แต่งตัวเหมือนนายพราน เสื้อผ้าเรียบง่าย เส้นผมสีเงินงดงาม กิริยาท่าทางเย็นชาเสียยิ่งกว่าหิมะ ทั่วร่างคล้ายจะแผ่ความเย็นชาออกมากีดกันผู้คนให้ถอยห่างพันลี้
ทว่าขณะที่จีหมิงซิวหันมามองนาง นางก็หันไปมองจีหมิงซิวอย่างไม่ตั้งใจเช่นเดียวกัน
จีหมิงซิวสวมผ้าคลุมกันลมสีขาวพิสุทธิ์ เรือนร่างสูงสง่า กิริยาท่าทางสง่างาม เส้นผมดำสนิทดุจน้ำหมึก ดวงหน้าประหนึ่งหยก สวมหน้ากากหยกอันเย็นเฉียบ
สายตาของนางจับจ้องบนหน้ากาก ส่วนสายตาของจีหมิงซิวจับจ้องบนใบหน้าของนาง แววตาของทั้งสองคนชะงักไปเล็กน้อยอย่างที่ไม่อาจบอกสาเหตุ
เฉียวเวยเห็นจีหมิงซิวมาแล้ว ในดวงตาพลันมีรอยยิ้มยินดีปรีดาเอ่อล้นออกมา “หมิงซิว ท่านมาแล้วหรือ”
จีหมิงซิวปล่อยมือออกแล้วหันไปมองเฉียวเวย เขากดความรู้สึกประหลาดเมื่อครู่ลงไป ก่อนจะลูบดวงหน้าอันเย็นเฉียบของเฉียวเวยแล้วมองสำรวจนางขึ้นๆ ลงๆ อยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงถามพร้อมกับแววตาอ่อนโยน “เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง”
เฉียวเวยถูไถใบหน้ากับฝ่ามือของเขาแล้วยิ้มน้อยๆ ตอบว่า “ข้าไม่เป็นอะไร” กล่าวจบก็นึกขึ้นมาได้ว่าท่านแม่เฒ่ายังยืนอยู่ด้านข้าง การกระทำเช่นนี้ดูเหมือนจะสนิทสนมกันเกินไปเล็กน้อย นางจึงรีบกระแอมเบาๆ แล้ววางมือทับลงบนมือของจีหมิงซิวที่อยู่บนพวงแก้มของนางเบาๆ
ทว่าจีหมิงซิวกลับไม่ยินยอมปล่อยมือออกเช่นนี้ เขากุมมือของนางไว้แน่น
สายตาของหญิงชราจับอยู่บนร่างของจีหมิงซิวตั้งแต่ต้นจนจบ เฉียวเวยมองหญิงชรา เห็นนางทำท่าเหมือนสงสัยใคร่รู้เล็กน้อย จึงรีบอธิบายกับนางว่า “ท่านแม่เฒ่า คนผู้นี้คือสามีของข้า นามว่าจีหมิงซิว”
แล้วหันไปบอกจีหมิงซิวว่า “คนผู้นี้คือท่านแม่เฒ่าผู้มอบที่พักให้ข้ากับแม่ทัพน้อยมู่ สองวันมานี้ข้าอาศัยอยู่ที่บ้านของนาง จริงสิ ซิ่วฉินก็อยู่ด้วย”
จีหมิงซิวพยักหน้านิดๆ แล้วปล่อยมือของเฉียวเวยออกอย่างแผ่วเบา เขาหันไปมองหญิงชราก่อนจะค้อมกายโค้งคำนับ “ขอบคุณน้ำใจของท่านแม่เฒ่ายิ่งนัก”
หัวใจของเฉียวเวยวูบไหวอย่างห้ามไม่ได้ เขาคนนี้คืออัครมหาเสนาบดีผู้กุมอำนาจในราชสำนักของต้าเหลียง ทั้งยังเป็นโหราจารย์ผู้สูงส่งของชนเผ่าลึกลับ ทว่าเขากลับยินดีค้อมร่างกายอันสูงส่งให้แก่นายพรานคนหนึ่งในเทือกเขาเพื่อนาง
หญิงชรามองจีหมิงซิว ในดวงตามีอารมณ์ที่แม้แต่ตนเองยังรู้สึกว่าแปลกประหลาดวาบผ่านไป นางไม่คุ้นเคยกับอารมณ์เช่นนี้นัก จึงหยิบปิ่นในมือขึ้นมาบอกว่า “เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านั้น ปิ่นเล่มนี้…”
เฉียวเวยยิ้มตอบว่า “ปิ่นของท่านแม่เฒ่า มันร่วงออกมาจากปลอกผ้าห่ม ข้าเพิ่งเก็บขึ้นมาแต่ยังไม่ทันได้เก็บกลับเข้าที่ ฝั่งนี้ก็เกิดเรื่องขึ้นก่อน”
แต่เดิมอยากถามว่าปิ่นเล่มนี้ท่านได้มาจากที่ใด แต่ว่าผู้อื่นเพิ่งช่วยชีวิตพวกนางเอาไว้ หากนางถามคำถามนี้ออกไปอีกจะไม่แลดูว่าตนเองไร้มโนธรรมเกินไปหรือ เหมือนไปสงสัยว่าที่มาที่ไปของปิ่นของผู้อื่นไม่ใสสะอาดดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
หญิงชรากำปิ่นในมือ “ในเมื่อสามีของเจ้ามาแล้ว เจ้าก็รีบกลับไปกับเขาเถิด แม่นางคนนั้นก็เป็นคนบ้านเจ้าด้วยสินะ พาไปด้วยกันเลย”
กล่าวจบก็กำปิ่นในมือแน่นแล้วหมุนตัวเดินออกไปจากตรงนั้น
จีหมิงซิวมองเงาแผ่นหลังอันเดียวดายของนางอย่างละสายตาไม่ได้อยู่เนิ่นนาน
…
ระหว่างทางกลับบ้านไม้หลังน้อย เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถามเรื่องหญิงชราไม่หยุดปาก “…นางเป็นคนจากที่ใดกัน เหตุใดดูเหมือนฝีมือร้ายกาจมาก นางรู้ได้อย่างไรว่าจะจัดการคนกลุ่มนั้นอย่างไร…”
น่าเสียดายเฉียวเวยก็เพิ่งมาถึงก่อนเขาสองวันเท่านั้น แม้แต่แม่เฒ่านามว่าอันใดนางก็ยังไม่รู้ แล้วจะไปถามเรื่องสำนักที่นางร่ำเรียนวิชามาจากไหนเล่า
พวกเขาเดินมาถึงบ้านไม้หลังน้อยอย่างรวดเร็ว หญิงชรายังไม่กลับมา ซิ่วฉินจึงเฝ้าแม่ทัพน้อยมู่อยู่บ้านเพียงลำพัง
เมื่อซิ่วฉินเห็นพวกจีหมิงซิวสามคนก็เดินเข้าไปหาด้วยความดีใจ “ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดี! จอมยุทธ์เยี่ยน! จอมยุทธ์ไห่!”
ระหว่างทางมาเฉียวเวยเล่าเหตุการณ์ตอนที่ซิ่วฉินกับตนเองพลัดหลงมาถึงที่แห่งนี้ให้ทั้งสามคนฟังแล้ว ทุกคนต่างคิดไม่ถึงว่าซิ่วฉินที่หายตัวไปนานกลับมาอยู่ในที่แห่งนี้ พวกเขาเสี่ยงตายปีนลงมาจากบนหน้าผา แต่แม่หนูซิ่วฉินคนนี้ดวงเฮงอะไรถึงจับพลัดจับผลูหนีนักรบมรณะที่ไล่ฆ่ามาจนถึงที่แห่งนี้ได้
โชคดีที่นางพลัดหลงมาถึงที่แห่งนี้ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีผู้ใดช่วยเฉียวเวย หิมะตกหนักจนโลกหล้าเหมือนจะกลายเป็นน้ำแข็งเช่นนี้ พวกเขายังไม่ทันมาถึงเฉียวเวยกับแม่ทัพน้อยมู่ก็คงแข็งตายอยู่ในกองหิมะก่อนแล้ว
จะว่าไปแล้วดีเลวซิ่วฉินก็อาศัยเส้นทางอื่นมาถึงที่แห่งนี้ แต่เฉียวเวยร่วงลงมาจากข้างบน เหตุใดนอกจากรอยขีดข่วนเล็กน้อยแล้วจึงไม่บาดเจ็บอย่างอื่นเลยเล่า
ข้อสงสัยนี้ได้รับคำตอบเมื่อพวกเขาเห็นแม่ทัพน้อยมู่ผู้อาการร่อแร่ลูกผีลูกคน
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถูจมูกอย่างแค้นใจ บอกกับจีหมิงซิวที่อยู่ด้านข้างว่า “ท่านต้องรู้สึกอันตรายแล้วล่ะ ผู้อื่นแม้แต่ชีวิตก็ยอมสละให้ภรรยาของท่านได้”
จีหมิงซิวเหล่มองเยี่ยนเฟยเจวี๋ยอย่างเย็นชา เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเสตาสองข้างมองฟ้าแล้วเดินผละออกไป
จีหมิงซิวเดินมาถึงหน้าเตียง เขามองดูแม่ทัพน้อยมู่ที่ยังไม่ได้สติแล้วเอ่ยบอกอย่างเย็นชา “เจ้าวางใจเถิด ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร อัครมหาเสนาบดีคนนี้ก็จะรักษาเจ้าให้หายดีให้จงได้”
ไม่ให้โอกาสเจ้ามาเรียกคะแนนสงสารจากเสี่ยวเวยแน่!
เสื้อผ้าของเฉียวเวยถูกย่างไฟจนแห้งแล้ว นางสวมเสื้อผ้าของตนเองแล้วนำเสื้อผ้าที่ใส่แล้วไปซักที่ท้ายเรือน ซิ่วฉินก็ถอดเสื้อผ้าของหญิงชราออกมาด้วย ต่อให้รู้ว่าแม่เฒ่าไม่ต้องการให้พวกนางคืนเสื้อผ้าเหล่านี้ให้ แต่หากนำติดตัวไปด้วยเช่นนี้ก็รู้สึกว่าไม่เหมาะนัก
หลังจากเสื้อผ้าที่ควรจัดการถูกจัดการจนเรียบร้อย เฉียวเวยก็ไปปรุงอาหารเย็นมื้อสุดท้ายให้หญิงชราในห้องครัว จีหมิงซิวตามเข้ามาคอยเป็นลูกมือให้นางในครัวอย่างหาได้ยาก
ทว่าปรุงอาหารเสร็จแล้ว หญิงชราก็ยังไม่กลับมา
หญิงชราเก่งกาจถึงเพียงนั้น เฉียวเวยย่อมไม่ห่วงว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับนาง คิดว่านางคงไม่ชอบที่จู่ๆ มีบุรุษแปลกหน้าโผล่มาในบ้านสี่ ห้า หก เจ็ด แปดคนจึงหลบออกไปไกลๆ เสียมากกว่า
“เก็บของเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่” เฉียวเวยถามซิ่วฉิน
ซิ่วฉินพยักหน้า “เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ พวกเราจะไปกันตอนนี้เลยหรือเจ้าคะฮูหยินน้อย ไม่รอท่านแม่เฒ่าแล้วหรือเจ้าคะ ไม่บอกนางด้วยตนเองสักคำจะดีหรือ”
เฉียวเวยถอนหายใจบอกว่า “นางไม่ต้องการพบหน้าพวกเราถึงจงใจไม่กลับมา หากพวกเราไม่ยอมไปเสียที นางก็ต้องยืนอยู่ข้างนอกต่อ วันนี้หนาวมากให้นางรีบกลับเข้ามาเร็วหน่อยเถิด”
ซิ่วฉินอยู่กับท่านแม่เฒ่ามานานขนาดนี้ จึงเข้าใจดีว่าสิ่งที่เฉียวเวยพูดไม่ใช่ว่าจะไร้เหตุผล นิสัยอย่างแม่เฒ่าคงจะไม่ชินที่มีคนในบ้านมากมายขนาดนี้จริงๆ ทั้งยังเป็นบุรุษทั้งหมดอีกด้วย “ท่านแม่เฒ่าภายนอกเหมือนแล้งน้ำใจ แต่ความจริงแล้วช่างเอาใจใส่ผู้อื่นนัก”
อย่างน้อยนางก็ไม่ไล่คนแปลกหน้ากลุ่มนี้ออกไป แต่เลือกหลบไปเอง
กล่าวตามตรงเฉียวเวยชอบท่านแม่เฒ่าคนนี้มากทีเดียว คนบางคนต่อหน้าเจ้าทำเป็นใส่ใจเจ้านักหนา แต่ลับหลังกลับ ‘ใส่ใจ’ กับการถือมีดแทงเจ้ามากยิ่งกว่า หากเทียบกับคนถ่อยผู้ปากปราศรัยใจเชือดคอ คนเช่นท่านแม่เฒ่ากลับล้ำค่าและหายากกว่ามากนัก
“ทิ้งท่านแม่เฒ่าอยู่ที่นี่คนเดียว…ข้ารู้สึกแย่แปลกๆ” ซิ่วฉินก้มหน้าพูดขึ้นมา
ครั้นเฉียวเวยนึกภาพท่านแม่เฒ่าอาศัยอยู่ในป่าเขาอย่างเดียวดายตัวคนเดียว นางก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งเช่นกัน
“ถ้าเช่นนั้นก็ ก็ค้างสักคืนค่อยไปไม่ได้หรือ” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถาม “เดินทางตอนกลางคืนอันตรายมากนะ!”
ไห่สือซานใช้ข้อศอกถองเขา “เจ้าโง่เอ้ย เมื่อครู่พวกเราสังหารนักรบมรณะกับศิษย์ของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ไปมากมายปานนั้น เจ้าคิดว่าลัทธิศักดิ์สิทธิ์จะไม่สังเกตหรือ เชื่อหรือไม่ว่าพวกเขากำลังรีบเดินทางมาแล้ว หากพวกเรารั้งรออยู่ที่นี่มีแต่จะทำให้ชาวบ้านในภูเขาแห่งนี้ตกอยู่ในอันตรายกันหมด”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยคิดแล้วก็เห็นว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ชาวบ้านในภูเขาแห่งนี้แม้จะมีจำนวนไม่มาก ทว่าแต่ละคนเป็นคนใสซื่อตรงไปตรงมา หากต้องมาเคราะห์ร้ายเพราะพวกเขาคงทำให้รู้สึกผิดมากนัก
พอคิดเช่นนี้ เขาจึงสั่งองครักษ์หกคนที่ติดตามมาว่า “พวกเจ้าทั้งหลายไปขนศพข้างนอกไปด้วย”
องครักษ์ทั้งหกนายรีบไปอย่างไม่รอช้า
ไม่นานราชันอสูรก็กลับมา
ราชันอสูรไปจัดการร่างพิษกับนักรบมรณะเหล่านั้นแล้ว ในเมื่อพวกเขาเคยเห็นที่แห่งนี้แล้ว หากปล่อยพวกเขากลับไปที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ที่แห่งนี้ย่อมถูกเปิดโปง
หลังจากเตรียมการเรียบร้อย ราชันอสูรก็แบกแม่ทัพน้อยมู่ขึ้นหลัง ส่วนองครักษ์แบกศพของคนเหล่านั้นเดินตามขบวนของพวกจีหมิงซิวเข้าไปในเทือกเขาอย่างเงียบๆ
หญิงชรามองเงาแผ่นหลังของขบวนคนที่ค่อยๆ ลับหายไปท่ามกลางหิมะ นางถือคันธนูเดินออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่อย่างเชื่องช้าแล้วรั้งสายตากลับมาเดินเข้าไปในบ้านอย่างนิ่งสงบ
ทุกสิ่งภายในบ้านล้วนเหมือนก่อนหน้า ไม่มีสิ่งใดผิดแผกแตกต่าง ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมานางก็อยู่มาเช่นนี้จนชินชาเสียนานแล้ว นางเดินไปที่ห้องครัว ในเตาไฟยังมีสะเก็ดไฟที่ยังไม่มอด ภายในหม้อยังมีไอร้อนลอยโชยขึ้นมา
นางเปิดฝาหม้อ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของอาหารโชยขึ้นมาปะทะจมูก กระต่ายที่นางล่ามาได้ครึ่งตัวกลายเป็นเนื้อกระต่ายราดน้ำแดงหอมฉุยหม้อนี้ ส่วนในซึ้งนึ่งมีหมั่นโถวสีขาวเรียงรายอยู่หลายลูกพร้อมกับอาหารเรียกน้ำย่อย
นางปิดฝาหม้อแล้วกลับไปยังห้องโถงอันว่างเปล่า
ทั้งที่ชินชามานานแล้วแท้ๆ ทว่าห้วงเวลานี้จู่ๆ กลับรู้สึกเดียวดาย
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
ประตูบ้านถูกเคาะเสียงดัง
สายตาของหญิงชราวูบไหว นางก้าวเท้าไปทางหน้าบ้านแล้วดึงประตูบ้านเปิดออกอย่างช้าๆ
นอกบ้านมีหิมะตกหนักโปรยปรายลงมาอีกไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด จีหมิงซิวฝ่าพายุหิมะที่โหมกระหน่ำมา ยืนหอบแฮ่กอยู่หน้าประตู ปากพ่นลมหายใจสีขาวราวกับไอหมอก เขาจับจ้องนางขณะที่ถามว่า “ท่านเคยพบคนผู้หนึ่งหรือไม่ นางมีนามว่าอวิ๋นจู”
แววตาของหญิงชราสั่นไหว “เจ้า…”
จีหมิงซิวยกมือขึ้นมาถอดหน้ากากบนใบหน้าอย่างช้าๆ