หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 14-1 นามของนางคืออวิ๋นจู (3)
ตอนที่ 14-1 นามของนางคืออวิ๋นจู (3)
จู่ๆ เฉียวเวยก็คิดอะไรขึ้นมาได้จึงเอ่ยต่อว่า “จริงสิ ท่านยาย เหยาจีคนนั้นมีความเป็นมาเช่นไรกันแน่ เหตุใดจึงเลือกท่านน้า”
อวิ๋นจูแค่นเสียงหยันดังเหอะ “คนที่นางอยากจะเลือกจริงๆ คือเจาหมิงต่างหาก เพียงแต่ว่าเลือกไม่ได้”
เฉียวเวยอ้าปากค้าง เลือกไม่ได้หมายความว่า…
“นามเดิมของนางไม่ใช่เหยาจี นางแซ่เหยา มีนามตัวเดียวว่าจวิ้น” อวิ๋นจูแตะหยดน้ำแล้ววาดตัวอักษรจงหยวนสองตัวบนผิวโต๊ะ
เฉียวเวยชะเง้อมอง “เหยาตัวนี้กับจวิ้นตัวนี้หรือ”
เหยาจวิ้น เหยาจี ฟังดูแล้วก็คล้ายกันมาก ทว่าเหยาจีคือนามของพระธิดาจักรพรรดิสวรรค์ในตำนาน คนแซ่เหยาคนนี้ตั้งนามแฝงให้ตนเองเช่นนี้ คิดจะเอาตนเองไปเทียบกับเทพธิดาแห่งเขาอูซานหรืออย่างไร
จิ๊ ทำตัวใหญ่โตจริงนะ!
อวิ๋นจูเอ่ยอย่างดูแคลน “จะว่าไปแล้วความเป็นมาของนางก็ไม่ยิ่งใหญ่อะไร นางเป็นแค่แมลงตัวหนึ่งที่ตั้งตนเองเป็นประมุขแห่งลัทธิศักดิ์สิทธิ์ก็เท่านั้น”
ประมุขหรือ ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่ว่ามีแต่เจ้าลัทธิหรือ บางทีหมิงซิอาจพูดถูกแล้ว สิ่งที่ไห่สือซานไปสืบมาได้จากในเมืองมีแต่สิ่งที่ปรากฏอยู่บนฉากหน้า เบื้องหลังผู้อื่นยังมีขุมกำลังที่ซ่อนเอาไว้อีกไม่น้อย
ทว่าฟังจากน้ำเสียงของอวิ๋นจูแล้วดูเหมือนนางจะไม่เห็นท่านประมุขอะไรคนนี้อยู่ในสายตาสักนิด
เฉียวเวยยิ้มถามว่า “ท่านยาย ตอนนี้พวกเราได้สมุนไพรต้นนี้มาอยู่ในมือแล้ว เท่านี้ก็กลับไปฆ่าคนแซ่เหยาคนนั้นได้แล้วใช่หรือไม่”
อวิ๋นจูตอบว่า “ไม่ง่ายถึงเพียงนั้น แต่ก็ไม่นับว่ายากมากแล้ว”
ไม่ยากก็พอแล้ว นางปีศาจเฒ่าคนนั้นเหิมเกริมมานานถึงเพียงนี้ ในที่สุดก็ถึงเวลากรรมตามสนองเสียที! เฉียวเวยเหลือบมองอวิ๋นจู “ถ้าเช่นนั้น…ท่านยานท่านกลับไปด้วยกันกับพวกเราดีหรือไม่”
อวิ๋นจูตอบเรียบๆ “ข้าย่อมต้องไปสังหารนางด้วยมือของตนเอง!”
เฉียวเวยยิ้มแย้มอย่างยินดี “ถ้าเช่นนั้นก็ดีเหลือเกิน ท่านยาย พวกเรากลับไปด้วยกันเถิด! เจ้า เจ้าสมุนไพรอะไรต้นนี้จะพกมันไปด้วยตอนนี้ดีหรือว่าจะรอจนกว่ามันจะผลิดอกออกผลค่อยกลับมาเก็บดีเล่า”
อวิ๋นจูเหลือบมองฝาครอบแก้วบนโต๊ะแล้วเอ่ยว่า “พกไปด้วยตอนนี้เลยเถิด”ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
คณะเดินทางของเฉียวเวยมาถึงในจังหวะที่กำลังพอดี ไม่ช้าเกินไป ไม่เร็วเกินไป ทันเวลาที่สมุนไพรต้นนี้กำลังออกดอกตูม หลังจากออกดอกตูมสมุนไพรก็นับว่าโตเต็มที่แล้ว เพียงแต่ฤทธิ์ยาจะคงอยู่เป็นเวลาสั้นมาก หลังจากถอนออกจากดิน หากไม่กินภายในสามชั่วยามก็จะสูญเสียฤทธิ์ยาไปทั้งหมด ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือนำไปด้วยทั้งกระถาง
จีหมิงซิวอุ้มกระถางต้นไม้อย่างแผ่วเบาแล้วกลับไปที่บ้านไม้หลังน้อยพร้อมกับอวิ๋นจูและเฉียวเวย
นี่เป็นบ้านที่อวิ๋นจูอยู่อาศัยมาหลายปี จู่ๆ ต้องมาจากไป ในใจก็เกิดความอาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง ทว่าสิ่งที่มีมากกว่าคือนางคุ้นชินกับการร่อนเร่อยู่เพียงลำพังเสียแล้ว นางลืมเลือนไปนานแล้วว่าจะอยู่ร่วมกับผู้อื่นเช่นไร จู่ๆ จะให้ย้ายไปอยู่ในสถานที่ที่มี ‘คนมากมายเป็นโขยง’ ภายในหัวใจของอวิ๋นจูจึงรู้สึกต่อต้านอยู่เล็กน้อย
จีหมิงซิวเห็นอาการต่อต้านของนาง แต่ก็มองออกว่านางฝืนข่มความรู้สึกต่อต้านนี้ไว้
จีหมิงซิวไม่พูดสิ่งใด เรื่องบางเรื่อง คนบางคน ไม่จำเป็นต้องให้ตนเองพูดสิ่งใด รอเมื่อนางพานพบย่อมตกหลุมรักเอง หมิงเยี่ย วั่งซู จิ่งอวิ๋น เจ้าตัวน้อย…นางจะต้องรักพวกเขาทุกคนแน่และพวกเขาทุกคนก็จะรักนางเช่นกัน
อวิ๋นจูมีสัมภาระไม่มาก เก็บข้าวของง่ายๆ เพียงครู่เดียวก็พร้อมแล้ว
เฉียวเวยจะไปช่วยนางหิ้วสัมภาระ แต่นางกลับกดมือของเฉียวเวยเบาๆ แล้วมองท้องของเฉียวเวย บอกว่า “ไม่ต้องหรอก ของเท่านี้ ข้าถือเองไหว”
เฉียวเวยไม่ตระหนักว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์แม้แต่น้อย นางเพียงคิดว่าอวิ๋นจูไม่อยากรบกวนตนเอง นางลองกะน้ำหนักห่อสัมภาระห่อนั้นดู เมื่อเห็นว่าไม่หนักมากจริงๆ นางจึงให้อวิ๋นจูถือเอง นางเปลี่ยนไปสะพายเนื้อหมักกับเนื้อสัตว์ป่าที่อวิ๋นจูตากแห้งไว้แทน
อวิ๋นจูมองของสองตะกร้าใหญ่นั่น มองท้องของเฉียวเวย แล้วโมโหจนหัวใจดวงน้อยกระตุกยิกๆ
ความจริงจะโทษว่าเฉียวเวยทำตัวไม่เหมือนสตรีตั้งครรภ์ก็ไม่ได้ เพราะระหว่างตั้งครรภ์หนนี้อาการของนางดีเหลือเกินจนไม่แตกต่างอันใดกับคนปกติสักนิด นางถึงขั้นรู้สึกว่าหากไม่ใช่เพราะหิมะตก ช่วงนี้จะให้นางปีนไปขโมยไข่นกบนต้นไม้ก็ยังได้
ยังดีที่จีหมิงซิวรักภรรยา แม้จะไม่ทราบว่าภรรยาตั้งครรภ์อยู่ เขาก็ยังหิ้วของเหล่านั้นมาสะพายไว้บนหลังของตนเองแทน
พวกเยี่ยนเฟยเจวี๋ยเดินทางไปตามเส้นทางขามา แต่อวิ๋นจูพาพวกเขามุ่งหน้าไปยังเส้นทางใกล้ๆ ที่ซิ่วฉินจับพลัดจับผลูหลงเข้ามาวันนั้น นอกจากย่นระยะทางได้มากแล้ว ยังไม่อันตรายถึงขนาดนั้นอีกด้วย
ระหว่างที่คนทั้งคณะกำลังรีบเร่งเดินทางตลอดทั้งคืนเพื่อกลับมาที่จวนอ๋อง ชางจิวผู้อยู่ในเรือนด้านข้างของเรือนฟางชุ่ยหยวนก็ลืมตาขึ้นช้าๆ
เวลานี้ผ่านเที่ยงคืนมาแล้ว ทุกคนกำลังท่องอยู่ในห้วงนิทรา แม้แต่หญิงรับใช้ที่เข้าเวรตอนกลางคืนก็แยกย้ายกันไปแล้ว ทั้งเรือนฟางชุ่ยหยวนเงียบสงัดจนหากมีเข็มตกสักเล่มก็คงได้ยิน
ค่ำคืนนี้เป็นคืนที่การป้องกันเรือนฟางชุ่ยหยวนอ่อนแอที่สุด ราชันอสูรผู้เก่งกาจที่สุดออกไปข้างนอก จีหมิงซิวผู้เฉลียวฉลาดก็ไม่อยู่ เฉียวเวย เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซานก็ออกไปข้างนอกกันหมด ภายในเรือนเหลือเพียงอาต๋าเอ่อร์ ฟู่เสวี่ยเยียนกับสือชี หลังคลอดบุตรฟู่เสวี่ยเยียนอ่อนแอลง กำลังภายในลดทอนลงมากย่อมไม่ต้องพูดถึง สือชีก็ได้รับบาดเจ็บจนแค่ดูแลตนเองยังเอาไม่รอด ส่วนอาต๋าเอ่อร์…ต้องคอยเฝ้าเด็กน้อยทั้งสองคนจึงอยู่ห่างจากเขายิ่งนัก
ชางจิวดึงประตูเปิดอย่างแผ่วเบาแล้วยื่นศีรษะออกไปฟังเสียงความเคลื่อนไหวจากซ้ายขวา เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีความผิดปกติอันใดจึงมุ่งหน้าไปที่ห้องของฮองเฮาอย่างช้าๆ
ฮองเฮานอนนิ่งอยู่บนเตียง รอบด้านมีกลิ่นสมุนไพรอ่อนๆ ลอยอบอวล
เฉียวเจิงไม่เสียทีเป็นหมอเทวดาอันดับหนึ่งแห่งต้าเหลียง คนที่ก้าวขาไปยังปรโลกครึ่งตัวแล้วเขาก็ยังรักษาจนมีชีวิตรอดกลับมาได้อีกครั้ง ลมหายใจของฮองเฮาไม่แผ่วเบาเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ชีพจรก็เริ่มดีขึ้นบ้างแล้ว สิ่งที่ทำให้คนประหลาดใจที่สุดก็คือบาดแผล ไม่รู้ว่าเฉียวเจิงใช้ยาอันใดจึงใช้เวลาเพียงหนึ่งวันหนึ่งคืนก็หายดีมาเกือบครึ่งแล้ว
ชางจิวเดินมาถึงหน้าเตียงแล้วตบหัวไหล่ของฮองเฮาเบาๆ กระซิบว่า “นายท่าน นายท่านตื่นเถิดขอรับ ข้าเอง ชางจิว!”
ฮองเฮาปรือดวงตาที่บวมนิดๆ ขึ้นมาอย่างช้าๆ ในดวงตามีแต่ความเย็นชา
ชางจิวลอบถอนหายใจ นี่คือนายท่านของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย “นายท่าน ท่านรู้สึกเช่นไรบ้างขอรับ”