หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 14-2 นามของนางคืออวิ๋นจู (3)
ตอนที่ 14-2 นามของนางคืออวิ๋นจู (3)
นางบรรยายความรู้สึกที่รับรู้จากร่างกายตอนนี้ไม่ถูกจริงๆ ว่าเป็นอย่างไร ทั่วทั้งร่างเจ็บปวดราวกับจะตาย ออกแรงไม่ได้เลยสักนิด
ชางจิวมองขวดยาใบน้อยบนตู้ที่หัวเตียง เขาดึงจุกขวดออกมาดมเล็กน้อย จากนั้นน้ำเสียงเย็นยะเยือกดุจบึงน้ำแข็งก็ดังขึ้น “เฉียวเจิงไอ้คนสมควรตาย บังอาจใช้ยาสลายกำลังกับนายท่าน!”
ยาสลายกำลังปริมาณเท่านี้ยังไม่ถึงกับทำให้ฮองเฮาหมดฤทธิ์เพราะยาได้ สาเหตุที่นางไร้เรี่ยวแรง เพราะร่างกายอ่อนแอเกินไป
“เจ้ามาทำอะไร” ฮองเฮาถามอย่างอ่อนแรง
ชางจิวตอบว่า “เฉียวซื่อกับแม่ทัพน้อยมู่พลัดตกหน้าผา พวกเขาทุกคนจึงออกไปตามหาคน คืนนี้เป็นโอกาสดีครั้งใหญ่ที่พวกเราจะหลบหนี”
“เฉียวซื่อพลัดตกหน้าผาไปได้เช่นไร” ฮองเฮาถาม
ชางจิวตอบอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น “เฉียวซื่อพาราชันอสูรบุกเข้าไปในลัทธิศักดิ์สิทธิ์ จนถูกคนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ไล่ฆ่า ถูกลูกธนูดอกหนึ่งยิงใส่จนพลัดร่วงตกหน้าผา ร่วงตกลงไปจากที่สูงขนาดนั้น น่ากลัวว่าคงจะโชคร้ายมากกว่าโชคดี”
ในดวงตาของฮองเฮาฉายแววดูแคลนจางๆ “คนเป็นต้องเห็นตัว คนตายต้องเห็นศพ เจ้าอย่าดูถูกโชคของสาวน้อยคนนั้น”
ชางจิวตอบว่า “นางร่วงตกลงไปจากสะพานหิน นายท่านยังคิดว่านางจะยังมีโอกาสรอดอีกหรือขอรับ”
หากเป็นที่นั่น โอกาสรอดก็คงมีไม่มากจริงๆ
มุมปากของฮองเฮายกยิ้มเย็นชา “นางเองก็มีวันนี้เหมือนกันสินะ”
ชางจิวหันกลับไปมองทางประตู “เรื่องพวกนี้ กลับไปถึงเมืองอวิ๋นจงข้าค่อยเล่าให้นายท่านฟังอย่างละเอียด ตอนนี้ออกไปจากจวนอ๋องก่อนเถิดขอรับ! นายท่านยังฝืนไหวหรือไม่”
ฮองเฮาหลับตาลง สภาพตอนนี้ย่อมฝืนไม่ไหว ทว่าต่อให้ฝืนไม่ไหวก็ต้องหนี มิเช่นนั้นรอพวกเขาแต่ละคนกลับมาก็คงหนีไม่พ้นจริงๆ แล้ว “ยา…เอาไปด้วย”
ชางจิวยัดยารักษาอาการบาดเจ็บที่เฉียวเจิงปรุงเข้าไปในอกเสื้อ
ฮองเฮาสีหน้าซีดเผือดสั่งต่อ “แล้วก็…ธนูจันทร์โลหิต”
ระยะนี้วั่งซูมักจะเล่นเกมยินธนูกับราชันอสูร ธนูจันทร์โลหิตจึงวางอยู่ในห้องของราชันอสูร ราชันอสูรไม่อยู่เช่นนี้ นับว่าสวรรค์ช่วยเหลือเขาแล้วจริงๆ!
ชางจิวลอบเข้าไปในห้องของราชันอสูรแล้วนำธนูจันทร์โลหิตคันที่สองมาด้วย
ในเมื่อชางจิวกลายมาเป็นคนสนิทคนสำคัญที่สุดของฮองเฮาได้ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่มีความสามารถ ต่อให้ถูกราชันอสูรปิดผนึกกำลังภายในเอาไว้ แต่ขอเพียงไม่มีผู้ใดขัดขวาง การจะพาฮองเฮาหนีย่อมไม่ใช่ปัญหา
ชางจิวอุ้มฮองเฮาหนีออกจากจวนอ๋องอย่างระมัดระวัง
หลังออกจากจวนอ๋องทั้งสองคนก็มุ่งหน้าไปทางตะวันออกตลอดทางก่อนจะเลี้ยวเข้าไปในตรอกขนาดเล็กแห่งหนึ่ง แล้วหารถม้าคันหนึ่งจากเรือนเก่าๆ ขนาดเล็กหลังหนึ่งในตรอกน้อยแห่งนั้น
ชางจิววางฮองเฮาบนรถม้าอย่างแผ่วเบา “อาจจะโคลงเคลงไปสักหน่อย นายท่านโปรดอดทนไว้”
ฮองเฮาพยักหน้าอย่างอ่อนแรง “ไม่ต้องสนใจข้า เจ้ารีบเดินทางก็พอ”
“ขอรับ!”
ชางจิวขับรถม้ามุ่งหน้าไปยังเทือกเขาหมั่งฮวงประหนึ่งสายฟ้าแลบ แม้เมืองเยี่ยเหลียงจะถูกกองทหารรักษาพระองค์ปิดไว้ แต่นี่จะสร้างความลำบากให้ผู้ที่เป็นมารดาของแผ่นดินในเมืองเยี่ยเหลียงมานานปีได้หรือไร
นางย่อมมีเส้นทางลับที่เล็ดลอดออกจากประตูเมืองได้อยู่แล้ว
อีกทั้งเพื่อหลบเลี่ยงพวกของจีหมิงซิว พวกเขาจึงตั้งใจว่าจะไม่ใช้บันไดสวรรค์กลับไปที่เมือง
ไม่ผิด การเดินทางไปเมืองอวิ๋นจงไม่ได้มีแต่ทางบันไดสวรรค์ทางเดียวเท่านั้น มันยังไปทางน้ำได้อีกทางหนึ่งด้วย มันก็คือแม่น้ำที่เฉียวเจิงเคยประสบภัยหนนั้นนั่นเอง
หลังจากชางจิวออกจากเมืองเยี่ยเหลียง เขาก็เร่งม้าไม่หยุดพักขับรถม้าพุ่งทะยานไปหาแม่น้ำสายนั้น ขอเพียงกลับไปเมืองอวิ๋นจง กลับไปลัทธิศักดิ์สิทธิ์สำเร็จก็จะไม่ต้องกังวลกับพวกจีหมิงซิวอีกต่อไปแล้ว!ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
แต่ชางจิวคิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่า เขาจะพบกับจีหมิงซิวที่ท่าเรือของแม่น้ำ!
ชางจิวเสียหลักจนเกือบทำรถม้าคว่ำ!
เขาเจอผีหรือไร
เหตุไฉนจึงพบจีหมิงซิวที่นี่!
ไม่ใช่เพียงจีหมิงซิว แต่เขายังเห็นเฉียวซื่อด้วย!
เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ไม่ใช่บอกว่าพลัดตกหน้าผาไปแล้วหรือ!
แล้วสตรีอีกนางหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างพวกเขาคือผู้ใดอีก เส้นผมสีเงินยวง ไอสังหารท่วมท้น…
เฉียวเวยถลึงตาแล้วพูดขึ้นมาว่า “โอ๊ะโอ๋ นั่นชางจิวไม่ใช่หรือ”
พวกเฉียวเวยมองเห็นชางจิวแล้วเช่นกัน จะโทษว่าพวกเขาตาไวคงไม่ได้ เพราะความจริงพวกเขาได้ยินเสียงกีบเท้าม้ามาตั้งนานแล้ว อีกทั้งพื้นยังจับตัวเป็นน้ำแข็ง แสงจึงสะท้อนได้ดีอย่างยิ่ง แม้แต่รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าของชางจิวก็มองเห็นกระจ่างชัด
นี่ช่างสมกับคำโบราณว่าคู่แค้นถนนแคบเสียจริง
เฉียวเวยว่าอย่างขบขัน “บังเอิญจริงเชียวใต้เท้าชาง คิดไม่ถึงว่าจะมาพบเจ้าที่นี่ เจ้าว่าเจ้าน่ะอยู่ที่จวนอ๋องดีๆ ไม่ดีหรือไร จะต้องหนีออกมาท่ามกลางหิมะสูงหนาแบบนี้ คราวนี้เป็นอย่างไรเล่า ถูกจับได้คาหนังคาเขาแล้ว บนรถม้านั่นผู้ใดนั่งอยู่กันเล่า คงไม่ใช่นายท่านของเจ้ากระมัง”
ชางจิวตัวแข็งทื่อ
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “จริงด้วยสินะ”
ชางจิวรั้งสายบังเหียนเลี้ยวรถม้ากลับอย่างรวดเร็ว เขาหวดแส้บนอาชาร่างกำยำ รถม้าแล่นทะยานราวกับบิน
ทว่ายังไม่ทันแล่นไปได้เท่าไรก็ถูกเงาร่างเพรียวบางร่างหนึ่งขวางทางไว้
คนผู้นี้มิใช่ใครอื่น นางก็คือสตรีเส้นผมสีเงินยวงคนเมื่อครู่นั่นเอง
หัวใจของชางจิวสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เขากัดฟันคิดจะขับรถม้าพุ่งชนโดยไม่สนใจคน ทว่าตอนนั้นเองอีกฝ่ายก็ง้างธนู ยิงลูกธนูสองดอกเข้าใส่ เสียงลูกธนูเสียดสีกับสายลมดังหวีดหวิว
ชางจิวเบี่ยงกายหลบจนกลิ้งตกจากรถม้า
เฉียวเวยก้าวเท้าสองสามก้าวก็เหยียบขึ้นไปบนรถม้า รั้งสายบังเหียนจอดรถม้าสำเร็จ
เฉียวเวยหันกลับไปเปิดม่านออก
ภายในรถม้า ฮองเฮามองนางด้วยสีหน้าเย็นยะเยือก แม้สีหน้าซีดเผือด ร่างกายไร้เรี่ยวแรง ทว่านางก็ยังใช้เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดง้างธนูจันทร์โลหิต
ชั่วพริบตาที่เฉียวเวยมองเห็นธนูจันทร์โลหิต แววตาพลันทอประกายระยิบระยับ
เจ้านะเจ้าจะหนีก็หนีไปสิ ดันขโมยธนูจันทร์โลหิตมาทำอะไร หากไม่มีธนูคันนี้วันนี้ก็คงยิงเจ้าไม่ได้แล้วแท้ๆ!