หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 15 ยิงธนูสังหารฮองเฮา
ตอนที่ 15 ยิงธนูสังหารฮองเฮา
ยามนี้ร่างกายของฮองเฮาไม่เหลือเรี่ยวแรงพอให้นางง้างธนูจนสุด นางง้างธนูได้เพียงเกือบครึ่งหนึ่งเท่านั้น ทว่าแม้จะเพียงครึ่งเดียว แต่เท่านี้ก็พอทำร้ายเฉียวเวยแล้ว
เฉียวเวยถลึงตาใส่นาง แล้วว่าอย่างดูแคลน “เจ้ากล้ายิงข้าหรือ เจ้ายังเข้าใจสถานการณ์ไม่ชัดเจนสินะ ร่างกายง่อยเปลี้ยของเจ้ายิงธนูออกมาดอกเดียวเจ้าก็ล้มแล้ว! แต่สามีของข้ากับท่านยายของข้ายังอยู่ เจ้าคิดหรือว่าเจ้าจะหนีไหว!”
ฮองเฮาไม่เข้าใจคำว่าท่านยายคำนั้น แต่นางไม่เก็บมาใส่ใจ นางเพียงมองเฉียวเวยด้วยสีหน้าเย็นชา แล้วเอ่ยเสียดสีว่า “แล้วพวกเจ้ากล้าสังหารข้าจริงหรือไร”
เฉียวเวยมองคันธนูสีดำวาววับในมือนางแล้วถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “เดิมทีเห็นแก่ท่านน้า พวกข้าก็ไม่กล้าทำอันใดเจ้าหรอก แต่ผู้ใดให้เจ้ารนหาที่ตายพกธนูจันทร์โลหิตออกมาด้วยเล่า มีธนูคันนี้ถึงพวกข้าไม่ทำร้ายท่านน้าก็สังหารเจ้าได้!”
ฮองเฮาหรี่ตาลง
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “อย่าพยายามใช้เล่ห์กลเลย ไม่มีประโยชน์หรอก คนสนิทคนดีของเจ้าแฉความลับออกมาหมดแล้ว”
ฮองเฮาถลึงตาใส่ชางจิวที่ร่วงอยู่บนพื้นอย่างเย็นยะเยือก
ชางจิวก้มหน้าอย่างละอายใจ
มือที่กำธนูจันทร์โลหิตของฮองเฮาบีบแน่น นางมองเฉียวเวยด้วยสีหน้านิ่งสงบ “นั่นแล้วอย่างไร เจ้าง้างธนูจันทร์โลหิตได้หรือ หรือว่าเจ้าจะตัดใจให้สามีของเจ้าเสี่ยงตายใช้ธนูจันทร์โลหิตเล่า”
เฉียวเวยลูบคาง “เหมือนเจ้าจะพูดมีเหตุผลเหมือนกันนะ”
ริมฝีปากไร้สีเลือดของฮองเฮายกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มย่ามใจอย่างช้าๆ “เพราะฉะนั้นพวกเจ้าไม่กล้าสังหารข้าหรอก แต่ข้ากล้าสังหารเจ้า หากเข้าใจสถานการณ์แล้วก็หลีกไปเสีย!”
เฉียวเวยยกมือขึ้นมาแตะใบหูน้อยๆ ของตนเองแล้วขมวดคิ้วนิดๆ เอ่ยขึ้นอย่างขบขัน “ข้าว่านะเหยาจวิ้น ท่านประมุขเหยา”
ชั่วพริบตาที่ได้ยินคำเรียกขานนี้ รอยยิ้มตรงมุมปากของฮองเฮาก็แข็งทื่อในพริบตา
เฉียวเวยโคลงศีรษะ มองนางแล้วเอ่ยต่อว่า “เป็นอะไร ข้าเรียกผิดหรือ หรือว่าเจ้าเป็นฮองเฮานานเกินไปจนลืมแล้วว่าตนเองยังมีอีกตัวตนหนึ่งอยู่ด้วย”
ลมหายใจของฮองเฮาสะดุด “เจ้า…เจ้ารู้ได้อย่างไร”
นางไม่เชื่ออย่างเด็ดขาดว่าชางจิวจะเปิดเผยตัวตนอีกตัวตนหนึ่งของนางออกไป! แต่หากจะบอกว่าเฉียวเวยรู้มาจากปากของคนอื่น…ก็เป็นไปไม่ได้…แม้แต่ราชครูก็ยังไม่รู้ เฉียวเวยจะไปรู้มาจากทางไหนได้อีก
เฉียวเวยเหยียดตัวตรงอย่างเชื่องช้า
ฮองเฮาสีหน้าเปลี่ยนฉับทันที “คิดหนีหรือ”
เฉียวเวยส่งเสียงชิชะ “ข้าหนีหรือไม่หนี แล้วเจ้าทำอะไรได้”
สายตาของฮองเฮาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา ทันใดนั้นรอบกายนางพลันมีไอสังหารเย็นยะเยือกแผ่ซ่าน ลมปราณเคลื่อนสู่จุดตันเถียน ก่อนจะโคจรพลังขึ้นมาที่แขน แล้วยิงธนูดอกหนึ่งใส่เฉียวเวยอย่างฉับพลันทันใด!
เฉียวเวยคิดไม่ถึงว่านางเฒ่าบ้าคนนี้จะกล้ายิงจริงๆ ในชั่วพริบตาที่ธนูดอกนั้นกำลังจะยิงลงบนหน้าอกของนาง มือเรียวข้างหนึ่งก็เอื้อมมาจากด้านหลังกระชากคอเสื้อเฉียวเวยลากนางลงมาจากรถม้า
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้น ฝ่ามือใหญ่ที่เห็นข้อนิ้วชัดเจนอีกข้างหนึ่งก็ยื่นทะลุหน้าต่างรถเข้าไปแย่งธนูมาจากมือของฮองเฮา
ทุกความเคลื่อนไหวร่วมมือกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ฮองเฮายิงธนูพลาดเป้าแล้วยังถูกแย่งคันธนูไปอีก นางตกตะลึงเล็กน้อย แต่เมื่อนางมองเห็นสตรีเส้นผมสีเงินยวงด้านหน้ารถม้า สีหน้าของนางก็ไม่อาจใช้คำว่าตกตะลึงมาพรรณนาได้อีกต่อไป
อวิ๋นจูก้าวมาทางรถม้าอย่างเนิบนาบ “ไม่พบกันนาน ท่านประมุขเหยายังจำข้าได้อยู่หรือไม่”
ฮองเฮาขมวดคิ้วเป็นปม จับจ้องมองบนร่างอวิ๋นจูด้วยแววตาประหลาดใจ นางมองสำรวจขึ้นๆ ลงๆ อยู่หลายรอบ ก่อนที่แววตาจะดำทะมึนขึ้นทีละนิด “เจ้าเองหรือ”
อวิ๋นจูตอบเรียบๆ “ประหลาดใจมากนักหรือเหยาจวิ้น”
ฮองเฮากำขอบของผนังรถไว้แน่น “เจ้า…เจ้ายังไม่ตาย…”
อวิ๋นจูสีหน้าเรียบเฉยบอกว่า “ก็แค่ป่าผืนเดียวเองไม่ใช่หรือ เจ้าคิดว่าจะขังข้าไว้ได้หรือไร”
หน้าอกของฮองเฮาพองขึ้นยุบลงอย่างรุนแรง ไม่อาจคงท่าทางสุขุมไว้ได้อีกต่อไป “เจ้าคิดจะทำสิ่งใด”
“ข้าคิดจะทำสิ่งใด เจ้าก็รู้ดีมาตลอดไม่ใช่หรือ” อวิ๋นจูจ้องคนในรถม้าเขม็งพลางสาวเท้าเดินทีละก้าวๆ เข้าไปหารถม้า จังหวะที่เดินผ่านจีหมิงซิวกับเฉียวเวย นางก็ยื่นมือมาทางจีหมิงซิวอย่างเชื่องช้า
จีหมิงซิวมอบธนูจันทร์โลหิตให้อย่างร่วมมือยิ่งดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
มือขวาของอวิ๋นจูกำคันธนู นางเข้ามาใกล้รถม้ามากขึ้นเรื่อยๆ แต่ละย่างก้าวของนาง ไอสังหารบนร่างเข้มขึ้นหนึ่งส่วน ผ่านไปเพียงครู่เดียวทั่วบริเวณท่าเรือก็ถูกไอสังหารท่วมฟ้าห้อมล้อม
เมื่อถูกห้อมล้อมด้วยไอสังหารเข้มข้นประหนึ่งจะจับต้องได้เช่นนี้ แม้แต่หายใจฮองเฮาก็แทบจะหายใจไม่ออก
แม้นางจะพยายามข่มกลั้นสุดความสามารถแล้ว แต่เฉียวเวยก็ยังมองเห็นความหวาดกลัวที่อยากจะลบเลือนในดวงตาของนาง
นางปีศาจเฒ่าคนนี้ ที่แท้ก็รู้จักกลัวด้วยหรือ
ฮองเฮาเหงื่อกาฬแตกพลั่ก “อวิ๋นจู…เจ้า…เจ้ารู้จุดจบของการสังหารประมุขคนนี้หรือไม่”
อวิ๋นจูเหมือนได้ยินเรื่องที่น่าขำอย่างยิ่ง ดวงตาของนางฉายแววเยาะหยัน “เจ้ามาพูดเรื่องจุดจบกับคนบ้านแตกสาแหรกขาดคนหนึ่ง เจ้าไม่รู้สึกว่าน่าขำหรอกหรือ นับตั้งแต่ที่เจ้าทำให้ลูกของข้าตายอนาถ เจ้าก็สมควรรู้แล้วว่าข้าไม่เหลือสิ่งใดให้พะว้าพะวังอีกต่อไป…หญ้ามังกรข้าก็หาพบแล้ว วันนี้เจ้าจงรอรับความตายเสียเถิด!”
แผ่นหลังของฮองเฮามีเหงื่อเย็นไหลชุ่มโชก เล็บของนางจิกเข้าไปในเนื้อ สองตาวาวโรจน์ดุจคบเพลิง “เจ้าคิดว่าเจ้าสังหารข้าได้จริงๆ หรือ!”
อวิ๋นจูง้างคันธนู “ก็ลองสังหารดูก่อนค่อยว่ากัน”
“อวิ๋นจู!”
สายไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการเรียกชื่ออวิ๋นจู ต่อให้ร้องหามารดาก็ไร้ประโยชน์
อวิ๋นจูปล่อยสายธนู ยิงลูกธนูดอกนี้ออกไป กำลังภายในมหาศาลประหนึ่งพายุโหมกระหน่ำ โจมตีถูกรถม้าภายในพริบตา ม้าตกใจจนกรีดร้อง ผนังไม้ของตัวรถสั่นคลอนดังกึกๆ รถม้าทั้งคันราวกับถูกลมพายุหอบพัดอยู่ตรงใจกลาง สุดท้ายมันก็ส่งเสียงดังเปรี้ยงแล้วระเบิดเป็นชิ้นๆ!
จีหมิงซิวโอบเฉียวเวยไว้ในอ้อมแขน ใช้แผ่นหลังของตนเองบังแรงโจมตีที่หลงมา
ชางจิวอยากหลีกหนีให้ไกลเช่นกัน แต่น่าเสียดายสายไปก้าวหนึ่ง ทั้งร่างของเขาถูกกระแทกปลิวลอยไปชนกับต้นไม้ใหญ่ดังโครม ก่อนจะร่วงจากต้นไม้ใหญ่ตกลงมาบนพื้น กระอักเลือดคำหนึ่งแล้วหมดสติไปทันที
ฮองเฮากลิ้งตกจากรถม้าร่วงตุ้บลงมาบนพื้นหิมะแล้วกระอักเลือดออกมาหนึ่งคำเช่นกัน
เฉียวเวยถูกจีหมิงซิวบังไว้จึงปลอดภัยทุกอย่าง สองตาของนางมืดมิด มองไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น นางอดกลั้นความสงสัยใคร่รู้ไม่ไหวจึงเอียงศีรษะออกมาอยากจะดูว่าสถานการณ์เป็นเช่นไรกันแน่ แต่แล้วก็ถูกจีหมิงซิวดันศีรษะกลับมา
หลังจากฮองเฮาร่วงลงมาบนพื้นหิมะและกระอักเลือดคำใหญ่ออกมาหลายคำ นางก็นอนตะแคงอยู่บนพื้น ร่างขดเป็นก้อน แม้อยากจะลุกขึ้นยืนแต่กลับไม่มีเรี่ยวแรงเลยแม้แต่น้อย
อวิ๋นจูก้มมองนางจากด้านบน ในแววตาไม่มีความสงสารสักนิด “ธนูดอกเมื่อครู่ยิงแทนลูกสาวคนโตของข้า สิ่งที่เจ้าเคยทำกับนาง ชั่วชีวิตนี้ข้าไม่อาจให้อภัย! ธนูดอกต่อจากนี้ยิงแทนลูกสาวคนเล็กของข้า…ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำกับนาง ข้าก็ไม่อาจอภัยเช่นกัน!”
ฮองเฮามองอวิ๋นจูอย่างไร้เรี่ยวแรง “อวิ๋นจูเจ้า…”
พูดยังไม่ทันจบอวิ๋นจูก็ยิงธนูออกมาอีกหน!
ฮองเฮาฟุบคว่ำลงไปกับพื้นทั้งตัว โลหิตไหลออกมาจากเจ็ดทวาร
อวิ๋นจูง้างสายธนูเป็นหนที่สาม “ธนูดอกสุดท้าย…เป็นของที่ข้ามอบให้เจ้า”
ฮองเฮาตัวสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว “เจ้าหยุดนะ…”
อวิ๋นจูตอบเสียงเย็นชา “เจ้ามีสิทธิอะไรมาบอกให้ข้าหยุด”
ฮองเฮากุมหน้าอกมองนาง “หรือว่าเจ้าไม่อยาก…อ้ากกก”
อวิ๋นจูไม่ให้โอกาสนางได้วิงวอนหรือข่มขู่ใดๆ นางยิงธนูดอกที่สามอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย…
เมื่อทุกสิ่งรอบด้านกลับมาสงบอีกหน จีหมิงซิวก็คลายอ้อมแขนที่โอบเฉียวเวยไว้ เฉียวเวยเดินออกมาจากอ้อมกอดของเขามาหยุดยืนข้างกายอวิ๋นจูอย่างนิ่งอึ้ง นางมองฮองเฮาที่ล้มอยู่กลางแอ่งโลหิต จากนั้นสาวเท้าเข้าไป ย่อตัวยื่นมือไปตรวจลมหายใจใต้จมูกของนาง ยังมีลมหายใจอยู่!
ก้อนหินหนักอึ้งในหัวใจของเฉียวเวยถูกวางลง ทว่ายังไม่ทันวางลงสนิทดี มันก็ถูกยกกลับขึ้นมาอีกรอบ นางเอี้ยวตัวกลับไปมองอวิ๋นจูแล้วถามอย่างไม่เข้าใจ “ท่านยาย…”
อวิ๋นจูบอกว่า “พยุงท่านน้าของพวกเจ้าขึ้นมา”
เฉียวเวยเอื้อมมือออกไปจะอุ้มท่านน้า แต่จีหมิงซิวเดินเข้ามาส่งกระถางดอกไม้ในมือให้เฉียวเวยแล้วบอกว่า “ข้าเอง”
เฉียวเวยอุ้มกระถางดอกไม้ไปยืนด้านข้าง จีหมิงซิวอุ้มฮองเฮาเยี่ยหลัวที่ไม่ได้สติขึ้นมา
เฉียวเวยมองฮองเฮาเยี่ยหลัวที่ยังหมดสติอยู่แล้วถามว่า “ท่านยาย สตรีนางนั้นตายแล้วหรือ”
อวิ๋นจูตอบว่า “ตอนนี้ยัง แต่วิชาเชิดหุ่นคลายแล้ว นางถูกผลสะท้อนกลับอย่างรุนแรง อยู่ห่างจากความตายอีกไม่ไกลแล้ว”
เฉียวเวยเข้าใจทันที “ที่แท้นี่ก็คือวิชาเชิดหุ่น”
นางเกือบจะคิดว่าภายในร่างกายของท่านน้ามีคนอีกคนหนึ่งอยู่จริงๆ เสียอีก
เฉียวเวยอดนึกถึงตอนที่อยู่เมืองหลวงไม่ได้ พระสนมอานเฟยก็เหมือนจะเคยใช้วิชาเชิดหุ่นอยู่หนหนึ่ง เพียงแต่ว่าวิชาเชิดหุ่นของพระสนมอานเฟยไม่ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ เพียงไม่นานก็ถูกมารดาของนางจับได้ มารดาของนางสังหารหุ่นตัวนั้นในครั้งเดียว พระสนมอานเฟยจึงได้รับผลสะท้อนกลับ ร่างกายบาดเจ็บหนักทันที สุดท้ายไม่นานนางก็ติดกับ
ท่านประมุขของลัทธิศักดิ์สิทธิ์คนนี้ เห็นชัดว่าร้ายกาจกว่าพระสนมอานเฟยมาก แล้วก็ฉลาดกว่ามากด้วย แค่ดูจากคนที่นางเลือกเป็นคนที่อวิ๋นจูทำใจเหี้ยมสังหารไม่ลงก็พอแล้ว
โชคยังดีที่ในที่สุดฝันร้ายก็จบลงเสียที
“นางจะควบคุมท่านน้าไม่ได้อีกแล้วใช่หรือไม่” เฉียวเวยถามอย่างกังวลอยู่เล็กน้อย
อวิ๋นจูตอบเรียบๆ “วิชาเชิดหุ่นเป็นหนึ่งในสามวิชาต้องห้ามของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ มันถูกห้ามไม่ให้ฝึกมาไม่รู้กี่ปีแล้ว แม้แต่เจ้าลัทธิที่ดำรงตำแหน่งรุ่นแล้วรุ่นเล่าก็ยังไม่กล้าลองใช้ง่ายๆ เพราะว่ามันทำลายร่างกายตนเองอย่างมาก ไม่แพ้การเอาตนเองไปฝึกเป็นนักรบมรณะ ยิ่งเป็นวิชาเชิดหุ่นที่ลึกล้ำ หลังจากถูกทำลาย ผลสะท้อนกลับก็ยิ่งมาก ยามนี้นางก้าวขาข้างหนึ่งเข้าไปในยมโลกแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการควบคุมท่านน้าของพวกเจ้า แม้แต่แมลงวันสักตัวนางก็ควบคุมไม่ได้แล้ว!”
เฉียวเวยตบหน้าอกเล็กๆ ของตนเองเบาๆ “ถ้าเช่นนั้นก็ดี! จริงสิท่านยาย ต่อจากนี้พวกเราต้องทำอย่างไร”
อวิ๋นจูมองท้องนภายามราตรีอันไร้ขอบเขต ดวงตาฉายแววเย็นยะเยือกและเด็ดเดี่ยว “รักษาท่านน้าของพวกเจ้าก่อน รอท่านน้าของพวกเจ้าฟื้นแล้ว ข้าค่อยไปหาที่ซ่อนตัวของสตรีนางนั้น เด็ดหัวนางก่อนที่นางจะหมดลมหายใจ ใช้โลหิตของนาง…เซ่นสังเวยให้เจาหมิง!”