หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 16-1 อวิ๋นจูบอกเล่าความจริง
ตอนที่ 16-1 อวิ๋นจูบอกเล่าความจริง
เซ่นสังเวยให้เจาหมิง…
ยามได้ยินประโยคนี้ หัวใจของเฉียวเวยพลันมีความขมขื่นผุดพราย นางไม่เคยประสบความเจ็บปวดแทบหัวใจสลายยามคนหัวขาวต้องส่งคนหัวดำจากไป ทว่าเพียงบางครั้งที่นางนึกถึงเวลาวั่งซูกับจิ่งอวิ๋นเจ็บป่วย ทุกข์ทรมานหรือได้รับบาดเจ็บ…หัวใจของนางก็เจ็บปวดราวกับถูกบดขยี้แล้ว
ตอนที่รู้ข่าวว่าเจาหมิงจากโลกนี้ไปแล้ว อวิ๋นจูจะรู้สึกเช่นไร
อวิ๋นจูรั้งสายตากลับมาจากภูเขาที่อยู่ไกลๆ แล้วหันกลับไปมองเฉียวเวย
เฉียวเวยเก็บความคิด ถามด้วยน้ำเสียงปกติ “ท่านยายรู้ว่าที่ซ่อนตัวของเหยาจวิ้นอยู่ที่ใดหรือ”
อวิ๋นจูบอกว่า “ข้าจะหาจนเจอ”
“ไม่ต้องหาแล้ว” จีหมิงซิวพูดขึ้นมา
“หือ” เฉียวเวยหันไปมองจีหมิงซิวอย่างมึนงง
จีหมิงซิวหยิบขวดกระเบื้องใบน้อยออกมาจากอกเสื้อแล้วเดินไปตรงหน้าชางจิวอย่างเชื่องช้า เขาดึงจุกขวดออกก่อนจะใส่แมลงกู่ตัวน้อยตัวหนึ่งลงไปในร่างของชางจิว “มีเจ้าสิ่งนี้ ต่อให้เขาไปซ่อนตัวใต้ดินก็ถูกหาพบง่ายดายดุจยกฝ่ามือ”
เฉียวเวยเข้าใจเจตนาของหมิงซิวแล้ว ชางจิวเป็นคนสนิทของนางปีศาจเฒ่าคนนั้น อีกทั้งยังเป็นลูกน้องคนสำคัญที่สุด อาจถึงขั้นเป็นคนสนิทเพียงหนึ่งเดียวที่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังของนาง เขาจะต้องรู้แน่ว่ารังของนางปีศาจเฒ่าอยู่ที่ใด พวกเขาจะแสร้งทำเป็นว่าคิดว่าเขาตายแล้วและปล่อยให้เขารอดไป หลังจากเขาฟื้น เขาจะต้องรีบไปตรวจสอบความปลอดภัยของนางปีศาจเฒ่าเป็นอย่างแรกแน่ ถึงตอนนั้นพวกเขาก็จะไล่ตามเชือกเส้นนี้ไปบุกถล่มรังของศัตรู
วันนั้นนางจะต้องไปด้วยให้ได้!
นางอยากจะเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของนางปีศาจเฒ่า!
นางจะยิงธนูใส่อีกฝ่าย ยิงนางดัง ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
เพียงนึกถึงภาพนั้นหัวหน้าพรรคเฉียวก็รู้สึกว่าโลหิตทั่วร่างของตนกลับมามีชีวิตชีวา นางบอกด้วยท่าทางตื่นเต้น “ดูไม่ออกเลยนะว่าท่านจะพกของของเจ้าซื่อบื้อติดตัวมาด้วย”
จีหมิงซิวหัวเราะเบาๆ แล้วเก็บขวดไป เขาดีดหน้าผากนางอย่างรักใคร่ “เขาก็ไม่ได้พึ่งไม่ได้ขนาดนั้นหรอก”
เฉียวเวยคิดในใจ ไม่ได้พึ่งไม่ได้ขนาดนั้นก็จริง แต่ก็เกือบจะอุ้มรกกลับมาแทนลูกสาวแล้ว
“หมิงเยี่ยที่พวกเจ้าพูดถึงคือ…” อวิ๋นจูท่าทางตื่นเต้นกระวนกระวาย มองมาหาทั้งสองคนด้วยแววตาแฝงด้วยความคาดหวังจางๆ
จีหมิงซิวตอบอย่างอ่อนโยน “เขาคือน้องชายฝาแฝดของข้าเอง”
อวิ๋นจูแววตาวูบไหว “เขายังมีชีวิตอยู่หรือ”
จีหมิงซิวพยักหน้า “หากจะเล่าก็ค่อนข้างซับซ้อนอยู่บ้าง พวกเรากลับกันก่อน ระหว่างทางข้าจะค่อยๆ เล่าให้ท่านฟัง”
อวิ๋นจูตกลง
จีหมิงซิวปลดม้าสองตัวที่ผูกกับรถม้าออก อวิ๋นจูกับฮองเฮาเยี่ยหลัวนั่งหนึ่งตัว ตนเองกับเฉียวเวยนั่งอีกหนึ่งตัว ความจริงพอออกห่างจากท่าเรือ ถนนเบื้องหน้าก็ค่อนข้างเดินทางสะดวกแล้ว มิเช่นนั้นรถม้าคันนี้คงแล่นเข้ามาไม่ได้
ทั้งสามคนขี่ม้าเดินทางท่ามกลางเทือกเขาอันกว้างใหญ่ไพศาลอย่างเชื่องช้า พายุหิมะกับสายลมหนาวหยุดพัดแล้ว เทือกเขาเงียบสงัด กีบเท้าม้าเหยียบย่ำบนหิมะอ่อนนุ่มจนเกิดเสียงเสียดสีกับกองหิมะดังสวบสาบ
เฉียวเวยนั่งอยู่ในอ้อมแขนของจีหมิงซิว นางถูกเขาห่อไว้ในผ้าคลุมกันลมผืนใหญ่อย่างแน่นหนา โผล่ออกมาเพียงดวงตากลมโตสีดำขลับสองข้าง
ดวงตาคู่โตเหลือบมองบนร่างอวิ๋นจูเป็นระยะ
จีหมิงซิวก้มหน้ามอง แล้วหัวเราะอย่างอดไม่ได้ “เจ้าอยากจะพูดอะไรกับท่านยายหรือเปล่า
อวิ๋นจูได้ยินก็หันกลับมาเงียบๆ
หนนี้ ไม่พูดก็ต้องพูดแล้ว
เฉียวเวยดึงผ้าคลุมกันลมที่คลุมหน้าอยู่ลง เผยใบหน้ากระจุ๋มกระจิ๋มอันงดงามออกมา ประกายหิมะสะท้อนบนใบหน้างามประหนึ่งหยกทำให้เครื่องหน้าทั้งห้าราวกับมีมนตร์ขลังห้อมล้อมอยู่ชั่วพริบตา
นางกะพริบตาหนหนึ่งแล้วเอ่ยกับอวิ๋นจูว่า “ความจริงข้า…อยากรู้อย่างยิ่งว่าสตรีนางนั้นเป็นผู้ใดกันแน่ เหตุใดจึงตั้งตัวเป็นศัตรูกับพวกเรามาตลอด เพราะความทะเยอทะยานของลัทธิศักดิ์สิทธิ์หรือ”
อวิ๋นจูถอนหายใจตอบว่า “ความทะเยอทะยานของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ก็อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่ง ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ปรารถนาจะครอบครองตระกูลจีกับชนเผ่าลึกลับ ทว่าความแค้นระหว่างเหยาจวิ้นกับพวกเจ้า เกิดขึ้นเพราะข้าเอง”
เฉียวเวยมองจีหมิงซิว จากนั้นก็หันไปมองอวิ๋นจู
อวิ๋นจูกอดลูกสาวในอ้อมแขนแน่น แววตาทอประกายล้ำลึกก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “เรื่องนี้ เกรงว่าจะต้องเริ่มเล่าจากสมัยข้าเยาว์วัย ยามนั้นข้าเพิ่งได้พบกับบุรุษผู้นั้น…”
บุรุษที่นางเอ่ยถึงย่อมหมายถึงกู่เฉียนเจ้าตระกูลรุ่นสุดท้ายของตระกูลกู่
ความเป็นมาของอวิ๋นจูจะว่าไปแล้วก็แปลกอยู่เล็กน้อย นางพบกับกู่เฉียนกลางทะเลทรายจนต่างฝ่ายต่างเกิดความรักต่อกัน สุดท้ายจึงเลือกเดินร่วมทาง
กู่เฉียนพาอวิ๋นจูกลับมาที่ตระกูลกู่ ยามนั้นอวิ๋นจูพูดภาษาจงหยวน สวมเสื้อผ้าอย่างจงหยวน ตระกูลกู่จึงคิดว่านางเป็นคนจงหยวนคนหนึ่ง เมื่อถามถึงบิดามารดากับตระกูลของนาง นางก็ปิดปากเงียบไม่ยอมเอ่ยถึง เมื่อเป็นเช่นนี้พวกเขาจึงแน่ใจว่านางไม่ใช่คุณหนูตระกูลใด หากเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ไหนเลยจะละทิ้งทุกสิ่ง ไม่สนใจชื่อเสียง ลักลอบมอบทั้งชีวิตของตนเองให้บุรุษคนหนึ่ง
เรื่องเหล่านี้ เฉียวเวยกับจีหมิงซิวเคยอ่านเจอในจดหมายลายมือององค์หญิงเจาหมิงแล้ว ทว่าทั้งสองคนต่างไม่พูด พวกเขาตั้งใจฟังอวิ๋นจูเล่าเรื่อง
เห็นชัดว่าอวิ๋นจูไม่ค่อยชอบเรื่องราวในช่วงนั้น นางเล่าเพียงสองสามคำก็ข้ามไปดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
ต่อจากนั้นอวิ๋นจูก็เล่าเรื่องขององค์หญิงน้อย ราชาเยี่ยหลัวรุ่นนั้นคือบิดาของราชารุ่นนี้ เขามีน้องสาวคนเล็กที่รักมากอย่างยิ่งอยู่คนหนึ่ง น้องสาวคนเล็กของเขาต้องใจกู่เฉียน อยากจะรับกู่เฉียนมาเป็นพระราชบุตรเขย
หลังจากอวิ๋นจูรู้ความจริง นางจึงเป็นฝ่ายบุกไปหาองค์หญิงน้อย เกลี้ยกล่อมให้นางเลิกล้มการแต่งงานหนนี้ องค์หญิงน้อยก็ตกลง
“ท่านพูดอันใดกับนาง นางถึงยอมตกลง” เฉียวเวยถามอย่างสงสัยใคร่รู้
อวิ๋นจูตอบเรียบๆ “ความจริงก็ไม่มีอะไร ข้าเพียงบอกนางว่า ข้ากับกู่เฉียนกราบไว้ฟ้าดินกันในทะเลทรายแล้ว พวกเราเป็นสามีภรรยากันอย่างแท้จริง หากนางจะพรากพวกเราจากกัน วันหน้าข้า…ก็จะพรากนางจากคนรักของนางเช่นนี้ด้วย”
เฉียวเวยร้องโอ้โหอยู่ในใจ คิดไม่ถึงว่าตอนยังสาวท่านยายจะกล้ารักกล้าแค้นถึงเพียงนี้
เรื่องที่อวิ๋นจูเกลี้ยกล่อมองค์หญิง เจาหมิงเคยเล่าถึงในจดหมายแล้ว แต่ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ในจดหมายของเจาหมิงไม่มีเขียนเอาไว้ นั่นก็คือยามนั้นคนที่ต้องใจกู่เฉียนไม่ได้มีเพียงองค์หญิงน้อยเพียงคนเดียว
ข้างกายองค์หญิงน้อยมีสาวใช้หน้าตางดงามชวนตะลึงอยู่คนหนึ่ง สาวใช้นางนี้ได้รับความเอ็นดูจากองค์หญิงน้อยมาก แม้จะเป็นสาวใช้ แต่เหนือกว่าพวกคุณหนูทั้งหลาย คนทั้งจวนองค์หญิงไม่ว่าผู้ใดต่างไม่กล้าล่วงเกินนาง
“สาวใช้ที่ท่านพูดถึงคนนี้ก็คือเหยาจวิ้นหรือ” เฉียวเวยกะพริบตาปริบๆ ถาม
อวิ๋นจูมองหิมะที่ทอดยาวไร้ที่สิ้นสุด “ถูกต้องแล้ว นางนั่นเอง”
เฉียวเวยเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ”นางเคยเป็นสาวใช้ขององค์หญิงด้วยหรือ”
อวิ๋นจูตอบว่า “ฐานะสาวใช้เป็นเพียงตัวตนที่นางเอาไว้ปิดบังหูตาผู้คนเท่านั้น ความจริงแล้วนางเป็นสายลับที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ส่งเข้ามาอยู่ในเมืองเยี่ยเหลียง องค์หญิงน้อยจิตใจใสซื่อ ควบคุมง่ายอีกทั้งยังมีสายสัมพันธ์ที่ดีอย่างยิ่งกับราชาเยี่ยหลัว เข้าออกวังหลวงได้ตลอดเวลา การแฝงตัวมาอยู่ข้างกายนางปลอดภัยกว่าแฝงกายไปอยู่กับราชาเยี่ยหลัว ทั้งยังไม่สูญเสียความสะดวกด้วย”