หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 16-2 อวิ๋นจูบอกเล่าความจริง
ตอนที่ 16-2 อวิ๋นจูบอกเล่าความจริง
เฉียวเวยว่าอย่างรังเกียจเดียดฉันท์ “ช่างสมกับเป็นนางจิ้งจอกเฒ่าตัวหนึ่งจริงๆ คิดไม่ถึงว่าลัทธิศักดิ์สิทธิ์จะส่งสายลับมาแฝงตัวอยู่ในเมืองเยี่ยเหลียงตั้งแต่เนิ่นนานขนาดนั้น!”
ยามนี้เมื่อลองนึกย้อนดู เยี่ยหลัวเองก็ส่งสายลับนับไม่ถ้วนเข้ามาแฝงตัวอยู่ในต้าเหลียงด้วย วิธีการเช่นนี้คงได้รับอิทธิพลมาจากคนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์
“หลังจากนั้นเล่า” เฉียวเวยถามต่อ
อวิ๋นจูเล่าต่อ “ต่อมานางก็ยุแยงให้องค์หญิงลอบทำร้ายข้า เริ่มแรกข้าคิดว่าองค์หญิงโกรธแค้นอยู่ในใจจึงอยากระบายโทสะใส่ข้า ข้าไม่ต้องการจะคิดเล็กคิดน้อยกับแม่นางน้อยคนหนึ่งจึงไม่สนใจนาง จนกระทั่งข้าตั้งครรภ์ แล้วตำหนักราชครูประกาศคำทำนายว่าเด็กที่ข้าอุ้มท้องอยู่เป็นดาวหายนะของแว่นแคว้น”
เฉียวเวยชะงัก “ตำหนักราชครู…ก็เป็นคนของนางหรือ”
อวิ๋นจูส่ายหน้า “แม้ตำหนักราชครูจะเป็นขุมกำลังของลัทธิศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน แต่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์แบ่งออกเป็นหลายกลุ่มหลายพวก ตำหนักราชครูไม่ได้อยู่ในขอบเขตการปกครองของนาง แต่นางมีไมตรีอันดีกับนายท่านคนที่สนับสนุนตำหนักราชครู นางจึงไหว้วานคนผู้นั้นให้กระจายคำทำนายเหลวไหลนี้ผ่านตำหนักราชครู”
เฉียวเวยเข้าใจทันที “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ทว่าตอนอยู่ต้าเหลียง นางกับพระสนมอานเฟยกล้าลากตำหนักราชครูทั้งหมดให้ล่มจมไปด้วยอย่างไม่เสียดายเพื่อที่จะจัดการข้า ข้ายังคิดว่านางกับตำหนักราชครูเป็นคู่แค้นอะไรกันจริงๆ เสียอีก”
อวิ๋นจูเอ่ยเยาะหยัน “หากกำจัดจั๋วหม่าน้อยแหงชนเผ่าลึกลับได้ สละตำหนักราชครูอันเล็กกระจ้อยร่อยสักแห่งหนึ่งจะนับเป็นอะไร นายท่านผู้นั้นคงจะไม่ปวดใจด้วยซ้ำ”
“ดังนั้นความจริงแล้วตำหนักราชครูก็ถูกผู้อื่นจับเล่นอยู่บนฝ่ามือมาตลอดเหมือนกันสินะ” เฉียวเวยเพิ่งรู้สึกตัวว่าตนเองหลงประเด็นแล้ว นี่มันยามใดแล้วนางยังจะมีอารมณ์ไปสนใจคราวเคราะห์ของตำหนักราชครูอีกหรือ พวกเขายินยอมถูกผู้อื่นหลอกใช้เอง ต่อให้ถูกอวิ๋นจูฆ่าล้างบางก็สมควรแล้ว
เฉียวเวยถามต่อว่า “ท่านรู้ความจริงตั้งแต่เมื่อใด”
อวิ๋นจูตอบว่า “ตอนฆ่าล้างตำหนักราชครู ราชครูรุ่นก่อนบอกข้าว่าพวกเขาถูกคนไหว้วานมา เพียงทำงานตามที่คนอื่นสั่งเท่านั้น เขายอมบอกคนร้ายที่อยู่เบื้องหลังแก่ข้า แล้วขอให้ข้าละเว้นศิษย์ทั้งหลายของเขา”
เฉียวเวยร้องอ้อออกมาคำหนึ่ง “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง ข้ายังคิดว่าท่านละเว้นพวกเขาเพราะเจ้าตระกูลกู่ตามมาถึงทันเวลา แล้วขอร้องท่านว่าอย่าสังหารคนเสียอีก”
อวิ๋นจูแค่นเสียงหยันอย่างเย็นชา ในดวงตาปรากฏไอสังหารดุดันเลือนราง “บุรุษอ่อนแอที่ไม่กล้าแม้แต่จะสังหารศัตรูที่ฆ่าลูกของตนเองคนนั้น ข้าหรือจะฟังคำเกลี้ยกล่อมของเขา”
เฉียวเวยเม้มปาก แอบเอี้ยวหน้าไปเหลือบมองสีหน้าของจีหมิงซิว แต่จีหมิงซิวสูงเกินไป จากมุมของนางจึงมองเห็นเพียงคางสีเขียวครึ้มที่มีหนวดขึ้นเลือนรางเพราะไม่ได้โกนมาสองวันของเขาเท่านั้น
เฉียวเวยมองไม่เห็นสีหน้าของเขาจึงหันไปมองอวิ๋นจูที่อยู่ด้านข้างต่อ “แล้วเรื่องราวหลังจากนั้นเล่า”
อวิ๋นจูเล่าว่า “หลังจากนั้นข้าก็ไปตามหานาง ต่อสู้กับนางยกใหญ่ นางบาดเจ็บหนักหนีกลับไปที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ หลังจากนั้นก็ไม่หวนกลับมาที่เมืองเยี่ยเหลียงอีกเลย”
เฉียวเวยเข้าใจแล้ว “นางรู้ว่าตนเองสู้ท่านไม่ได้ ดังนั้น…จึงหาหนทางอื่นด้วยการฝึกฝนวิชาเชิดหุ่นของลัทธิศักดิ์สิทธิ์”
อวิ๋นจูปัดเกล็ดหิมะที่ร่วงตกลงมาบนกระหม่อมของฮองเฮาเยี่ยหลัว แล้วตอบว่า “นางไม่ได้ฝึกวิชาเชิดหุ่นเพียงอย่างเดียวหรอก เจ้าเคยบอกไม่ใช่หรือว่าตำหนักธิดาเทพของชนเผ่าลึกลับของพวกเจ้าก็เคยถูกนางยื่นมือเข้าไปยุ่งมาก่อน”
เฉียวเวยตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ถูกต้องแล้ว มือของนางช่างยื่นยาวเหลือเกิน ยื่นไปจนถึงตำหนักธิดาเทพ!”
อวิ๋นจูเอ่ยเรียบๆ “ชนเผ่าลึกลับเป็นก้อนเนื้อชิ้นโต ผู้ใดก็ล้วนอยากได้ นางไม่ยื่นมือไปก็ต้องมีผู้อื่นยื่นมือไปอยู่ดี”
“เรื่องนี้ก็ถูก” เฉียวเวยพยักหน้า ไม่นานก็ส่ายหน้าอีกครั้ง “สตรีนางนี้เสียสติไปแล้วใช่หรือไม่ เพียงเพราะตอนนั้นพรากท่านกับเจ้าตระกูลกู่จากกันไม่ได้ก็ลงมือโหดเหี้ยมทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้กับท่าน”
อวิ๋นจูว่าอย่างเยาะหยัน “ผู้ใดจะรู้เล่าว่านางคิดอะไรอยู่”
เฉียวเวยจิ๊ปากสองที กล่าวกันตามตรงนางไม่คิดว่าเหยาจวิ้นจะรักใคร่กู่เฉียนมากมายถึงเพียงนั้นจริงๆ ในความคิดของนางคิดว่าเหยาจวิ้นไม่ได้มาครองจึงรู้สึกไม่ยินยอม สู้ไม่ได้จึงริษยามากกว่า เหยาจวิ้นทำตัวสูงส่งและหยิ่งจองหอง นางคิดว่าตนเองจับคนทุกคนมาเล่นบนฝ่ามือได้ แต่กลับมีเพียงอวิ๋นจูกับกู่เฉียนเท่านั้นที่นางจับวางตามอำเภอใจไม่ได้
บางทีนางอาจเคยต้องใจกู่เฉียนจริง แต่สิ่งที่นางต้องใจคือการแย่งชิงกู่เฉียนกับผู้อื่น
นางชอบแย่งชิงสิ่งของของผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งใดแย่งชิงมายาก นางก็ยิ่งต้องแย่งมาให้ได้ หากตอนแรกกู่เฉียนถอดอาภรณ์นอนบนเตียงให้นางกระทำตามอำเภอใจ น่ากลัวว่าสองสามวันนางก็คงเบื่อแล้วกระมัง
นางกับอวิ๋นจู่ฆ่ากันไม่เลิกรามาเนิ่นนานหลายปี ที่สุดแล้วก็เป็นเพราะนางต้องการจะกดหัวอวิ๋นจูให้ได้อย่างสิ้นเชิงเท่านั้นเองดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
สิ่งที่นางยึดติดหาใช่บุรุษ แต่คืออวิ๋นจู
นางต้องการเห็นอวิ๋นจูทุกข์ทรมาน ต้องการแย่งชิงทุกสิ่งของอวิ๋นจู ต้องการเหยียบอวิ๋นจูอยู่ใต้ฝ่าเท้า ต้องการให้ทุกคนรู้ชัดว่าอวิ๋นจูสู้นางไม่ได้
สิ่งที่น่าเศร้าก็คือไม่ว่าอย่างไรนางก็สู้อวิ๋นจูไม่ได้
อวิ๋นจูสะบัดหน้าใส่นางอย่างหยิ่งทะนง ราวกับจะบอกนางว่า บุรุษที่ข้าเคยหลับนอนด้วย รองเท้าขาดๆ ที่ข้าเคยสวมแล้ว เอาไปสิ ไม่ต้องขอบคุณ
แต่นางกลับทำสิ่งเดียวกันคืนให้อวิ๋นจูไม่ได้
เฉียวเวยเคยเห็นคนไม่น้อยลดค่าของตนเองเพื่อยื้อแย่งความรัก แต่นางเพิ่งเคยเห็นคนที่เอาชนะมารดาของผู้อื่นไม่ได้ก็แล่นไปทำร้ายลูกสาวของนางเช่นเหยาจวิ้นเป็นครั้งแรก แล้วอีกฝ่ายยังเป็นถึงท่านประมุขอีก นางมาทำเรื่องเช่นนี้ช่างลดฐานะของตัวเองจริงๆ
แน่นอนว่าสิ่งที่กล่าวมาข้างบนเป็นความแค้นส่วนตัว แต่เรื่องที่เหยาจวิ้นทำกับชนเผ่าลึกลับ ทำกับตระกูลจีและทำกับนางไม่ใช่เพียงเพราะในใจรู้สึกไม่ยินยอมอย่างเดียวแน่ ความทะเยอทะยานของลัทธิศักดิ์สิทธิ์กับความแค้นของเหยาจวิ้นบังเอิญทับซ้อนกันพอดี แต่ละสิ่งไม่ขัดแย้ง ดังนั้นเหยาจวิ้นจึงมุ่งหน้าชำระแค้นและช่วยลัทธิศักดิ์สิทธิ์ยึดครองใต้หล้าได้ในเวลาเดียวกัน วันหน้าลัทธิศักดิ์สิทธิ์อยู่เหนือใต้หล้า ตัวนางก็สร้างชื่อยืนอยู่เหนือคนนับหมื่น เรื่องดีๆ เช่นนี้ไยจะไม่ทำเล่า
นี่คือสตรีที่ไม่ยอมแพ้ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวคนหนึ่ง
เพียงแต่น่าเสียดายที่ไม่ว่าเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัวของนางล้วนไม่ใช่เรื่องดีงามแต่อย่างใด ยามมนุษย์ดำเนินชีวิต สวรรค์ล้วนเฝ้ามอง เมื่อถึงเวลากรรมสมควรตามสนอง ห้าอสนีบาตก็ยังคงฟาดลงมาใส่กระหม่อมอยู่ดี
“จริงสิ ท่านยาย ข้ายังมีเรื่องหนึ่งไม่เข้าใจ” เฉียวเวยเอ่ยขึ้นมา
“เจ้าพูดมาสิ” เห็นชัดว่าอวิ๋นจูใจกว้างกับเฉียวเวยผู้กำลังอุ้มท้องเหลนตัวน้อยแสนล้ำค่าของตนเองอย่างยิ่ง นางไม่ใช่คนช่างพูด แต่เฉียวเวยกลับถามคำถามมาตลอดทาง หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น คงถูกนางเอาคราดตีหัวไล่ไปนานแล้ว แต่พอเฉียวเวยถามนาง นางกลับรู้สึกอารมณ์ดี
เฉียวเวยถามว่า “ดูเหมือนท่านจะทราบเรื่องราวของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ไม่น้อย แล้วยังรู้ว่าต้องรับมือกับร่างพิษและนักเวทศักดิ์สิทธิ์อย่างไรอีก เพราะเหตุใดเล่า”
อวิ๋นจูมองท้องนภายามราตรีอันทอดยาวอย่างช้าๆ แล้วพึมพำขึ้นมาว่า “เพราะเหตุใดน่ะหรือ ถึงเวลาที่พวกเจ้าสมควรรู้ พวกเจ้าย่อมรู้เอง”