หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 17-1 ท่านน้าฟื้นตื่น
ตอนที่ 17-1 ท่านน้าฟื้นตื่น
การเดินทางหนนี้นับว่าราบรื่น นอกจากความหนาวของอากาศก็ไม่พบอุปสรรคอื่นใด
ในมือจีหมิงซิวมีตราประจำตัวของมู่อ๋องอยู่ พวกเขาจึงเข้าเมืองมาได้อย่างราบรื่น
เรื่องที่สมควรให้อวิ๋นจูรู้ จีหมิงซิวกับเฉียวเวยต่างบอกอวิ๋นจูจนหมดไม่ตกหล่นสักเรื่อง สองสามีภรรยาไม่จงใจปิดบังสิ่งใดทั้งสิ้น สตรีผู้ใช้ชีวิตผ่านลมพายุฝนกระหน่ำมาเช่นอวิ๋นจู การปิดบังเรื่องร้ายกลบเกลื่อนว่าสงบสุขดีอะไรทำนองนั้น ทำไปก็ไร้ประโยชน์
อวิ๋นจูฟังไปพลาง เฉียวเวยก็สำรวจสีหน้าของนางไปด้วย ไม่ว่าอย่างไรก็สมกับเป็นคนครอบครัวเดียวกันจริงๆ นางเหมือนกับหมิงซิวทุกประการ สีหน้านิ่งสนิทไม่มีระลอกคลื่นอารมณ์สักนิด หากเป็นคนที่ไม่รู้คงคิดว่านางกำลังฟังเรื่องราวของผู้อื่นอยู่
แน่นอนว่าเฉียวเวยเข้าใจดี สีหน้านิ่งสงบเช่นนี้เป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น สิ่งที่ถาโถมอยู่ในหัวใจของนางย่อมไม่มีผู้ใดมองออก
หลังจากเข้าเมืองก็ห่างจากจวนอ๋องไม่ไกลแล้ว
เฉียวเวยจำได้ว่าตอนที่ตนเองออกเดินทาง ในเมืองยังเต็มไปด้วยกำแพงสีแดงกระเบื้องสีชาด ทว่ายามนี้ทั้งเมืองกลับกลายเป็นโลกที่ถูกห่มคลุมด้วยอาภรณ์สีเงิน
แสงสีขาวเหมือนพุงปลาเริ่มสว่างขึ้นตรงขอบฟ้า แสงตะวันเอียงเฉสาดลงมา บนท้องถนนเริ่มมีผู้คนออกมาเดิน
อวิ๋นจูโอบแขนของลูกสาวไว้แน่น สายตาของนางจับจ้องบนร่างคนเดินเท้าที่มีประปรายเหมือนเพิ่งเคยเห็นครั้งแรกจึงเต็มไปด้วยความแปลกใจและปรับตัวไม่ทัน
ทั้งสี่คนต่างมีรูปลักษณ์งามโดดเด่น เมื่ออยู่บนหลังอาชาตัวสูงใหญ่ท่ามกลางรุ่งอรุณอันเงียบสงบและท้องถนนที่ว่างเปล่าเช่นนี้จึงดึงดูดสายตาผู้คนอย่างยิ่ง
ผู้คนบนถนนต่างเหลียวหลังมองทั้งสี่คน เฉียวเวยกับท่านน้าถูกห่อไว้จนเหมือนกับบ๊ะจ่าง เมื่อเทียบกันแล้วจีหมิงซิวผู้สุขุมสง่างามกับอวิ๋นจูผู้มีเส้นผมสีเงินยวงทั้งศีรษะและบรรยากาศรอบตัวโดดเด่นจากผู้คนจึงกลายเป็นเป้าความสนใจของทุกคน
เด็กหนุ่มที่ตื่นเช้าเร่งรีบไปตลาดคนหนึ่งดูเหมือนจะไม่เคยเห็นสตรีนางใดพิเศษเช่นนี้ เขาจึงจ้องอวิ๋นจูตาไม่กะพริบ ตอนที่อวิ๋นจูขี่ม้าผ่านข้างกายเขาไป เขาถึงกับทำตะกร้าหลุดมือตกพื้น
อวิ๋นจูยกแขนข้างหนึ่งตั้งใจจะฟันฝ่ามือลงไป ทันใดนั้นเองนางก็นึกอันใดขึ้นมาได้จึงวางมือกลับลงไปอย่างเย็นชา
จีหมิงซิวยิ้มน้อยๆ “ท่านยายงามน่ามองจริงๆ”
อวิ๋นจูถลึงตาใส่เขา
จีหมิงซิวหัวเราะพลางจับสายบังเหียนไว้แน่น
หนึ่งเค่อหลังจากนั้น ม้าก็มาถึงจวนอ๋อง
จีหมิงซิวพลิกกายลงจากหลังม้าแล้วอุ้มเฉียวเวยลงมา จากนั้นจึงเดินไปข้างม้าของอวิ๋นจูรับท่านน้าลงมาด้วย
อวิ๋นจูลงจากม้าตามมา
เด็กรับใช้ในจวนอ๋องได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็เปิดประตูใหญ่ต้อนรับทุกคนเข้ามาด้านในทันที แม้ไม่รู้จักอวิ๋นจู แต่เมื่อเห็นอัครมหาเสนาบดีกับจั๋วหม่าน้อยปฏิบัติต่ออีกฝ่ายด้วยความเคารพเช่นนี้ พวกเขาย่อมไม่กล้าละเลยแต่อย่างใด
อวิ๋นจูกับเฉียวเวยถือสัมภาระ จีหมิงซิวอุ้มท่านน้า ทุกคนเหยียบย่ำหิมะกองหนากลับไปยังเรือนฟางชุ่ยหยวน
เวลานี้ทุกคนยังอยู่ในห้วงนิทรา เฉียวเวยพาอวิ๋นจูไปที่ห้องด้านข้างของเรือนหลัก ห้องนี้แต่เดิมเป็นของจิ่งอวิ๋นกับวั่งซู แต่ทั้งสองคนนอนอยู่ไม่กี่ครั้งก็วิ่งมานอนที่ห้องของพวกเขา
เฉียวเวยเปลี่ยนผ้าปูที่นอนกับผ้าห่มผืนใหม่ให้ แล้วจับท่านน้านอนลงบนที่นอนอย่างสบายตัว แต่เดิมเฉียวเวยคิดจะจัดห้องให้อวิ๋นจูอีกห้องหนึ่ง แต่ถูกอวิ๋นจูปฏิเสธ อวิ๋นจูอยากอยู่เฝ้าลูกสาวจนกว่านางจะฟื้นขึ้นมา
พวกเขารีบเร่งเดินทางมาตลอดคืน ทุกคนจึงสภาพดูไม่ได้ยิ่งนัก โดยเฉพาะจีหมิงซิวเขาไม่ได้หลับตานอนมาสองวันสองคืนแล้ว แต่ตอนนี้ท่านน้ายังไม่ฟื้น แม้ทุกคนอดหลับอดนอนจนดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขากลับไม่ง่วงงุนสักเท่าใด
จีหมิงซิววางกระถางดอกไม้ที่มีฝาครอบแก้วลงบนโต๊ะ “ท่านยาย จะให้ท่านน้ากินหญ้ามังกรตอนนี้เลยหรือไม่ขอรับ”
อวิ๋นจูพยักหน้า “อืม ยิ่งเร็วก็ยิ่งดี หลังจากถูกธนูจันทร์โลหิตทำร้าย หากไม่รักษาภายในสิบสองชั่วยามก็จะทิ้งบาดแผลที่ยากจะรักษาเอาไว้ หากร้ายแรงก็อาจจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลยชั่วชีวิต หากไม่ร้ายแรงก็จะเป็นเหมือนเหยาจวิ้น ทุกเดือนอาการบาดเจ็บหนักจะกำเริบขึ้นมาหนึ่งหน”
เฉียวเวยเข้าใจแล้ว มิน่าหลังจากนางถูกยิงธนูใส่ กงซุนฉางหลีจึงบอกว่ามีเวลาสิบสองชั่วยามเท่านั้นที่จะช่วยเหลือนาง พวกเยี่ยนเฟยเจวี๋ยต่างคิดว่าหลังจากสิบสองชั่วยาม นางจะวิญญาณหลุดลอยจากร่างเสียอีก
เจ้านักต้มตุ๋น เจ้ากงซุนยอดนักต้มตุ๋น!
จีหมิงซิวจับฝาครอบแก้วอย่างแผ่วเบา หญ้ามังกรช่างเป็นสิ่งที่บอบบางนัก ตลอดทางที่เดินทางมาพวกเขาปกป้องมันอย่างระมัดระวังปานนี้แล้วแท้ๆ แต่พอมาถึงที่นี่ดอกตูมก็เริ่มโรยไปเกือบครึ่งหนึ่งแล้ว
มีดอกไม้สองกลีบที่ร่วงไปสามชั่วยามแล้ว มันจึงไม่มีฤทธิ์ยาอีกต่อไป
แล้วก็มีกลีบหนึ่งที่โรยราไปครึ่งหนึ่งจนฤทธิ์ยาเหลือไม่เท่าไรแล้ว แต่นั่นก็ยังดีกว่าไม่มี จีหมิงซิวจึงเก็บกลีบดอกไม้กลีบนี้มาด้วย เขาใส่มันลงไปในชามหยกสะอาด จากนั้นจึงเด็ดดอกตูมที่เหลือเกินครึ่งมานิดหน่อยใส่ลงไปทีละกลีบ
“สุรา” อวิ๋นจูสั่ง
เฉียวเวยรีบไปเปิดตู้ใต้ชั้นวางของ แล้วหยิบสุราลายบุปผาหนึ่งไหกับสุราองุ่นภูเขาหนึ่งไหออกมา “ใช้ตัวไหนดีเล่า”
อวิ๋นจูดมครู่หนึ่งก็บอกว่า “สุราลายบุปผา สิบหยดก็พอแล้ว”ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
เฉียวเวยหยิบช้อนคันหนึ่งออกมารินสุราสิบหยดจากนั้นหยดลงบนกลีบดอกไม้ให้ทั่วกัน “ยังต้องการสิ่งใดอีกหรือไม่ ท่านยาย”
อวิ๋นจูบอกว่า “ไม่ต้องแล้ว วางไว้เถิด อีกประเดี๋ยวละลายได้ที่ก็ดื่มได้แล้ว”
“ท่านน้าดื่มยาตัวนี้แล้วจะฟื้นขึ้นมาได้จริงหรือ”
“ความจริงข้าก็ไม่มั่นใจเต็มร้อย ข้าไม่เคยลองมาก่อน ทว่าเจ้าก็ฟื้นขึ้นมาไม่ใช่หรือ”
“ข้า…” เฉียวเวยชี้ตนเองแล้วพยักหน้า “นั่นสิ ข้าฟื้นขึ้นมาได้! ท่านน้าก็ต้องฟื้นขึ้นมาได้แน่!”
อวิ๋นจูชะงัก แล้วบอกว่า “ความจริงนี่ไม่ใช่หญ้ามังกรที่ดีที่สุด หญ้ามังกรที่ดีที่สุดมีนามว่าหญ้ามังกรโลหิต หญ้ามังกรโลหิตเป็นราชาแห่งหญ้ามังกรทั้งมวล ฤทธิ์ยาดีกว่าหญ้ามังกรทั่วไปหลายเท่า เพียงแต่ว่ามันหายากเหลือเกิน ข้าตามหามาหลายปีก็ยังหาไม่พบสักต้น จึงทำได้แต่ลดเงื่อนไขลงมา เลี้ยงหญ้ามังกรขาวพันธุ์นี้แทน”
“หญ้ามังกรขาวมีสรรพคุณแย่มากหรือ” เฉียวเวยถาม
อวิ๋นจูส่ายหน้า “ก็พูดว่าแย่มากไม่ได้หรอก แต่มันแย่กว่าหญ้ามังกรโลหิต หลังจากฟื้นขึ้นมาร่างกายจะสู้ก่อนหน้าไม่ได้อยู่มาก หากกินทั้งสองชนิดเข้าไปด้วยกันจะได้ผลดีที่สุด แต่หากทำไม่ได้แล้วต้องเลือกหนึ่งในสอง หญ้ามังกรโลหิตย่อมดีกว่า แต่ความจริงหากไม่มีหญ้ามังกรโลหิต หญ้ามังกรชนิดนี้ก็ถือว่าเป็นยาที่ถูกกับโรคชนิดหนึ่งเหมือนกัน”
พออธิบายเช่นนี้เฉียวเวยย่อมเข้าใจแล้ว
อวิ๋นจูบลูบใบหน้าของลูกสาวอย่างปวดใจ “แต่เดิมข้าก็อยากจะลองหาอีกสักสองสามปี แต่ข้าก็กลัวว่าข้าจะอยู่ไม่ถึงวันนั้น”
เฉียวเวยทำหน้าขึงขังทันที “ท่านยายท่านอย่าพูดเช่นนี้ ท่านจะต้องอายุยืนยาวเป็นร้อยปี!”
อวิ๋นจูขยับมุมปากยิ้มเศร้าๆ