หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 17-2 ท่านน้าฟื้นตื่น
ตอนที่ 17-2 ท่านน้าฟื้นตื่น
เฉียวเวยไม่เคยเห็นนางยิ้มจริงๆ มาก่อน แต่เฉียวเวยคิดว่านี่น่าจะนับได้ว่าอวิ๋นจูกำลังยิ้มน้อยๆ แล้ว
เฉียวเวยหันไปเห็นจีหมิงซิวทำหน้าครุ่นคิด ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่บ้าง นางเดินเข้าไปหาแล้วยกมือจิ้มแขนของเขาเบาๆ พลางกระซิบถามว่า “นี่ ท่านเหม่ออะไรอยู่”
จีหมิงซิวทำหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดบางสิ่ง “ข้ากำลังขบคิดเรื่องหนึ่ง”
“เรื่องใดหรือ” เฉียวเวยถาม
จีหมิงซิวกำลังจะเอ่ยปาก ทันใดนั้นก็มีเสียงรายงานของหญิงรับใช้ที่เฝ้าประตูดังมาจากด้านนอก “ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดี ด้านนอกมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งนำของชิ้นหนึ่งมาส่ง บอกว่าต้องมอบให้ถึงมือท่านให้ได้เจ้าค่ะ”
จีหมิงซิวเดินออกมาจากห้อง รับหีบใบหนึ่งมาจากมือของหญิงรับใช้
หลังจากหญิงรับใช้ถอยออกไป เขาก็เดินเข้ามาในห้องแล้ววางหีบไว้บนโต๊ะ
เฉียวเวยปิดประตูห้องเดินมาที่โต๊ะ นางมองหีบใบใหญ่รูปสี่เหลี่ยมแล้วถามอย่างระแวดระวัง “ผู้ใดส่งมา คงไม่ใช่…อาวุธลับหรือยาพิษอะไรทำนองนั้นกระมัง ถอยไป ข้าเปิดเอง”
พูดพลางนางก็ชักกริชออกมาจากอกเสื้อ
จีหมิงซิวแย่งกริชของนางมา “ข้าเปิดเอง”
อวิ๋นจูสั่งว่า “พวกเจ้าสองคนถอยไปเสีย”
หลานตัวน้อยทั้งสองคนถอยหลบไปอย่างเชื่อฟัง
อวิ๋นจูสะบัดแขนเสื้อซัดฝ่ามือออกไปหนึ่งฝ่ามือ
หนึ่งฝ่ามือนี้ควบคุมกำลังได้อย่างดียิ่ง มันเปิดแผ่นไม้บนหีบออก ในขณะเดียวกันก็ไม่ทำลายของที่อยู่ด้านใน
สิ่งที่ทำให้ทั้งสามคนประหลาดใจก็คือสิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าพวกเขาคือฝาครอบแก้วโปร่งแสงขนาดเท่าถังน้ำใบน้อยอันหนึ่ง ใต้ฝาครอบแก้วอันนั้นคือกระถางดอกไม้ใบน้อย
เฉียวเวยหันไปมองจีหมิงซิวที่อยู่ด้านข้างอย่างไม่เข้าใจ
จีหมิงซิวหยิบฝาครอบแก้วขึ้นมาด้วยสีหน้านิ่งสงบ เผยให้เห็นหญ้ามังกรที่เกือบจะเหมือนต้นที่อวิ๋นจูปลูกทุกประการ ทว่าสิ่งที่แตกต่างกันเพียงอย่างเดียวคือดอกตูมของมันสีแดงคล้ำ กลีบดอกแต่ละกลีบเหมือนมีชีวิต มองเห็น ‘โลหิต’ เต็มเปี่ยมที่อยู่ด้านใน
นั่นย่อมไม่ใช่โลหิตจริงๆ แต่เป็นน้ำเลี้ยงของหญ้ามังกร
เฉียวเวยตาโตอ้าปากค้าง “นี่คงไม่ใช่…หญ้ามังกรโลหิตกระมัง”
บังเอิญอะไรขนาดนี้ เพิ่งพูดว่าต้องการหญ้ามังกรโลหิตอยู่หยกๆ หญ้ามังกรโลหิตต้นนี้ก็ถูกส่งมาให้ ฝีมือผู้ใดกัน!
เขารู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาต้องการหญ้ามังกรโลหิต
แล้วเขาไปหาหญ้ามังกรโลหิตมาจากที่ใด
ความสงสัยนับไม่ถ้วนผุดพรายขึ้นในหัวใจของเฉียวเวย เฉียวเวยหันไปมองอวิ๋นจู แล้วก็เห็นอวิ๋นจูดวงตาเบิกถลนจ้องหญ้ามังกรโลหิตกระถางนี้เขม็ง
ดูท่านี่จะเป็นหญ้ามังกรโลหิตของจริงอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว
“ผู้ใดส่งมากัน” เฉียวเวยหาชามหยกใบใหม่มาใบหนึ่งแล้วเด็ดกลีบดอกไม้ออกมา หลังจากรินสุราสิบหยดลงไปก็ถามจีหมิงซิว
จีหมิงซิวมองของเหลวใสแวววาวดุจน้ำทับทิมในชาม แล้วเม้มปากเล็กน้อย “กงซุนฉางหลี”
เฉียวเวยแววตาสั่นไหว “เขาหรือ ดื่มไม่ได้นะ!”
จีหมิงซิวหันไปมองเฉียวเวยอย่างประหลาดใจ
เฉียวเวยพรูลมหายใจ แล้วขมวดคิ้วเล่าว่า “ข้าพูดไปแล้วท่านอาจจะไม่เชื่อ ท่านเดาสิว่าหนก่อนที่ข้าไปเยือนลัทธิศักดิ์สิทธิ์ข้าพบผู้ใดเข้า”
จีหมิงซิวถาม “กงซุนฉางหลีหรือ”
หากถามเช่นนี้ ย่อมมีแต่เขาแล้ว
เฉียวเวยโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง “ถูกต้องแล้ว เขานั่นแหละ! ความจริงข้าพบองค์ชายสามแล้วด้วย แต่องค์ชายสามถูกจับตัวไป ไม่เหมือนเขา! เขาโผล่มาที่นั่นอย่างไม่มีสาเหตุ ทุกคนต่างเคารพนบนอบต่อเขาอย่างยิ่ง! เขาเป็นคนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์! แล้วฐานะก็ไม่ต่ำต้อยด้วย! หลายปีที่ผ่านมาทุกคนถูกเขาหลอกแล้ว! ตอนแรกนั่นน่ะ เขาคงจงใจตกอยู่ในกำมือของท่าน จงใจเข้าใกล้ท่าน จงใจมาเอาของจากตำหนักโหราจารย์ในมือท่าน แล้วก็จงใจสืบข่าวตระกูลจีกับชนเผ่าลึกลับจากท่านมากกว่า…สรุปก็คือคนผู้นี้ไม่มีเจตนาดีอันใด ตอนนี้จู่ๆ ส่งหญ้ามังกรโลหิตต้นหนึ่งมาให้ ผู้ใดจะรู้ว่าเขาตั้งใจจะทำอะไรอีกหรือเปล่า อย่างอื่นยังไม่ต้องพูดถึง หากเขาใส่พิษไสยเวทอันใดมาเพราะคิดจะควบคุมท่านน้าอีกหนเล่า”
จีหมิงซิวลองดมน้ำหญ้ามังกรสีแดงก่ำในมือ แล้วเดินไปที่เตียงส่งให้อวิ๋นจู “ท่านลองตรวจดูหน่อย”
อวิ๋นจูยกชามขึ้นมาดม นางรู้จักพิษไสยเวทดีที่สุด ไม่มีพิษไสยเวทใดหลบรอดสายตาของนางได้ นางมั่นใจว่าน้ำหญ้ามังกรชามนี้ไม่มีสิ่งผิดปกติใดๆ
เฉียวเวยไม่เข้าใจแล้ว เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้เล่า เจ้าหมอนี่เป็นคนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ชัดๆ เหตุใดจึงส่งหญ้ามังกรโลหิตที่ต้องใช้ช่วยชีวิตคนมาให้พวกเขาอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ แล้วเขารู้ได้อย่างไรว่าพวกเขากำลังต้องการหญ้ามังกรโลหิต
เฉียวเวยกอดอก หรี่ตาลง
กงซุนฉางหลี น้ำเต้าของเจ้าซ่อนเล่ห์กลอะไรไว้กันแน่
ภายในตรอกอันเงียบสงัด ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยหิมะกองทับถม
องครักษ์หนุ่มคนหนึ่งเหยียบย่ำหิมะกองหนาเดินมาอย่างยากลำบาก เขาหอบหายใจเดินมาถึงข้างรถม้าคันหนึ่ง ภายในรถม้าเงียบกริบคล้ายไม่มีคนอยู่ แต่เมื่อเขาเลิกผ้าม่านขึ้นก็มองเห็นนายท่านนั่งหลับตาทำสมาธิพิงผนังรถอยู่
เขาสวมอาภรณ์สีแดงสดดุจเปลวเพลิง ผิวผ่องใสประหนึ่งหยกงาม มือที่มีข้อนิ้วเห็นชัดวางอยู่บนโต๊ะอย่างไม่ตั้งใจดูราวกับหยกสลักอันประณีตชิ้นหนึ่ง
องครักษ์หนุ่มติดตามนายท่านของตนเองมาเนิ่นนาน เขามองอยู่ทุกวัน มองอยู่ทุกคืน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็มองได้ไม่เบื่อดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
“ไม่อยากมีลูกตาแล้วใช่หรือไม่” ริมฝีปากบางของกงซุนฉางหลีเผยอแผ่วเบา น้ำเสียงลากยาว เอ่ยอย่างเอื่อยเฉื่อย
องครักษ์หนุ่มคิดในใจ ท่านไม่ได้ลืมตาเสียหน่อย รู้ได้เช่นไรว่าข้ามองท่านอยู่
ต่อว่าในใจเสร็จ องครักษ์หนุ่มก็กระโดดขึ้นรถม้า เขาคว้าแส้ม้าขึ้นมาแล้วบอกว่า “ข้าไปส่งของเรียบร้อยแล้ว! แต่พวกเขาจะยอมรับมันหรือไม่ ข้าก็รับประกันไม่ได้!”
“อืม” กงซุนฉางหลีตอบเรียบๆ “กลับกันเถิด”
องครักษ์หนุ่มเป่าลมหายใจร้อนๆ ใส่มือที่หนาวจนแดงก่ำ แล้วพึมพำอย่างไม่พอใจ “ข้างนอกมีแต่หิมะกับน้ำแข็ง ผิงไฟอยู่ในบ้านไม่ดีหรือขอรับ ถึงต้องวิ่งโร่มามอบของให้ผู้อื่น ผู้อื่นยังไม่แน่ว่าจะรับน้ำใจด้วยซ้ำ ข้าเป็นแผลน้ำแข็งกัดหมดแล้ว!”
“เดี๋ยวข้าซื้อยาให้เจ้า” กงซุนฉางหลีบอก
องครักษ์หนุ่มแค่นเสียงดังเหอะ “ผู้ใดอยากได้ยาของท่านกัน”
กงซุนฉางหลีตอบว่า “ไม่อยากมีลิ้นแล้วใช่หรือไม่”
องครักษ์หนุ่มหุบปากอย่างคับแค้น เขายกแส้ม้าฟาดลงไปดัง เพียะ! รถม้าแล่นจากไปไม่เห็นฝุ่น หายลับไปจากถนนที่หิมะกองสูงสายนี้
…
ภายในเรือนฟางชุ่ยหยวน อวิ๋นจูให้ฮองเฮาเยี่ยหลัวกินหญ้ามังกรทั้งสองชนิดลงไปแล้ว
จีหมิงซิวเคยเห็นน้ำหญ้ามังกรโลหิตมาก่อน วันนั้นที่เฉียวเวยสลบไม่ตื่น สิ่งที่นางดื่มลงไปก็คือของที่ใสแวววาวประหนึ่งน้ำทับทิมที่มีกลิ่นสุราจางๆ กับกลิ่นหอมเฉพาะตัวของน้ำหญ้ามังกรเช่นนี้ เพียงแต่ว่ากงซุนฉางหลีเผายันต์แผ่นหนึ่งลงไปด้านในด้วยจึงมีกลิ่นควันชวนให้คนสำลักเพิ่มมาเล็กน้อย
หากฤทธิ์ของยาตัวนี้แตกต่างไปตามบุคคล ก็ไม่แน่ว่าเฉียวเวยกินแล้วได้ผล แล้วจะได้ผลกับท่านน้าด้วย
ไม่ว่าอย่างไรหากกล่าวถึงกำลังภายใน เหยาจวิ้นสู้อวิ๋นจูไม่ได้
หากกล่าวถึงร่างกาย ท่านน้าก็สู้เฉียวเวยไม่ได้เช่นกัน
สิ่งเดียวที่ควรค่าให้ยินดีก็คือท่านน้าได้ดื่มน้ำหญ้ามังกรไปทั้งสองชนิด
เวลาเคลื่อนคล้อยผ่านไปทีละน้อย ท่านน้าที่นอนอยู่บนเตียงไม่มีปฏิกิริยาแม้แต่น้อย
อวิ๋นจูเริ่มกระวนกระวาย นางจับมือที่เย็นเฉียบลงเรื่อยๆ ของบุตรสาว “ไม่ได้ผลหรือ ไม่ได้ผลหรือไร”
เฉียวเวยจับหน้าผากที่เย็นจนน่ากลัวของท่านน้าแล้วหน้าถอดสี “ข้าจะไปเรียกท่านพ่อของข้า!”
ทว่านางเพิ่งก้าวออกไปได้ก้าวเดียวก็ถูกจีหมิงซิวจับแขนเอาไว้ก่อน
จีหมิงซิวบุ้ยปาก
เฉียวเวยหันกลับไปมองก็เห็นท่านน้าที่แต่เดิมดูเหมือนคนหมดลมหายใจจู่ๆ ก็ขยับนิ้วมือ แพขนตาขยับไหว ปรือตาขึ้นมาอย่างมึนงง
อวิ๋นจูรีบขยับเข้าไปหา นางก้มลงไปมองจ้องนาง ในดวงตามีหยาดน้ำแวววาว อยากจะลูบใบหน้าของนาง แต่กลับไม่กล้าวางมือลงไป
นานเท่าใดแล้ว
นางชราแล้ว…
ลูกสาวคงจดจำนางไม่ได้ตั้งนานแล้ว…
อวิ๋นจูตัวสั่นเทาอย่างหาได้ยาก “ซินเอ๋อร์…”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวมองนางด้วยสีหน้าสับสนมึนงง ไม่รู้ว่ามองอยู่นานเท่าใด ในที่สุดริมฝีปากแห้งผากก็เผยอขึ้นมา “ท่านแม่”