หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 2-1 ความจริงเกี่ยวกับลัทธิศักดิ์สิทธิ์ (1)
ตอนที่ 2-1 ความจริงเกี่ยวกับลัทธิศักดิ์สิทธิ์ (1)
คนผู้นั้นคือผู้ใดกันแน่ เขาถึงรับกระบวนท่าของราชันอสูรได้
ราชันอสูรคำรามเกรี้ยวกราด “โฮกกก!”
พลังมหาศาลนั่นสลายไปแล้ว แน่นอนว่าราชครูก็ถูกพาตัวไปด้วย
เขาเป็นคนแรกที่ทำให้ราชันอสูรพลาดท่า
“คนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์หรือ” เฉียวเวยถามจีหมิงซิง
“น่าจะใช่” ทั้งเมืองอยู่ภายใต้การปกครองของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ หากบอกว่ายอดฝีมือที่ร้ายกาจเช่นนี้ไม่ใช่คนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์คงไม่มีผู้ใดเชื่อ จีหมิงซิวไม่คิดว่าในเมืองจะมีผู้บุกรุกเช่นพวกเขาอีกกลุ่มหนึ่ง
เทียบกับเรื่องที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์มียอดฝีมือ เฉียวเวยตกตะลึงมากกว่าที่ราชครูเป็นคนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ “เจ้าจิ้งจอกเฒ่าตัวนี้ ทั้งที่เป็นคนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์เหมือนนางปีศาจเฒ่าคนนั้นแท้ๆ แต่กลับแสร้งทำเหมือนเขากับนางปีศาจเฒ่าต้องฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่ง น่าชังเหลือเกินจริงๆ!”
จีหมิงซิวตอบว่า “เรื่องนั้นไม่แน่ว่าจะเป็นการเสแสร้ง แม้เป็นคนในลัทธิศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน แต่เขาอาจไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกเดียวกับตนก็เป็นได้”
นี่คือรูปแบบการทำงานของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ แต่ละคนแยกตัวเป็นอิสระ ยามเบื้องบนจับตาดูเบื้องล่างเห็นทุกสิ่งชัดเจนแจ่มแจ้ง ทว่าหากคนเบื้องล่างจะมองขึ้นไปด้านบนกลับมองไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น อีกทั้งในหมู่พวกเขายังแบ่งพรรคแบ่งพวกเป็นกลุ่มก้อนเล็กๆ นับไม่ถ้วน แต่ละกลุ่มต่างก็เก็บความลับจากกลุ่มอื่นๆ
ดูจากเรื่องที่ฮองเฮาเป็นฝ่ายมาหาราชครูเองก็มองออกแล้ว ฮองเฮาน่าจะรู้ตัวตนของราชครูอยู่แล้ว นี่บ่งบอกว่าตำแหน่งในลัทธิศักดิ์สิทธิ์ของฮองเฮาอาจจะสูงกว่าราชครูมาก
แต่ราชครูก็เป็นคนที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์จะขาดไม่ได้เช่นกัน ไม่อย่างนั้นแค่เรื่องที่ราชครูมาร่วมมือกับจีหมิงซิวเพื่อจัดการฮองเฮา ฮองเฮาก็สังหารเขาได้แล้ว
เฉียวเวยเหมือนจะเข้าใจขึ้นมาทันใด “สรุปก็คือราชครูถูกปิดหูปิดตาไว้ตั้งแต่แรก เขาไม่รู้ว่าฮองเฮาเป็นพวกเดียวกับตัวเอง แล้วยังคิดจะยืมมือพวกเรากำจัดฮองเฮาด้วย แต่ตอนนี้เขารู้ความจริงแล้วหรือ”
จีหมิงซิวตอบเรียบๆ “ต่อให้ยังไม่รู้ อีกไม่นานก็น่าจะรู้”
กล่าวจบจีหมิงซิวก็เหม่อมองท้องนภาอันไร้ที่สิ้นสุด แววตาทอประกายลุ่มลึก “พาชางจิวไปด้วย”
ขบวนคนย้อนกลับไปที่โรงหมอแล้วพาตัวชางจิวออกมา
ชางจิวมองทั้งสองคนอย่างหมดความอดทน “พวกเจ้ากลัวข้าจะทำอะไรนายท่านเฉียวอีกหรืออย่างไร“
เฉียวเวยไม่กลัวหรอก แต่ในเมื่อจีหมิงซิวบอกให้พาเขามา ถ้าเช่นนั้นพาเขามาด้วยย่อมดีแล้ว หมิงซิวไม่มีทางทำเรื่องใดอย่างไร้สาเหตุ เขาจะต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่างแน่
เมื่อทุกคนย้อนกลับมาถึงบันไดสวรรค์ ในที่สุดเฉียวเวยก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดจีหมิงซิวจึงจงใจพาชางจิวมาด้วย
ผู้พิทักษ์เมืองถูกคนสังหาร กลไกถูกทำลาย ราชครูก็เห็นพวกเขาแล้ว นั่นเท่ากับร่องรอยของพวกเขาถูกเปิดเผยแล้ว แม้ตอนนี้จะซ่อมกลไกไม่ทัน แต่ทางเข้าออกบันไดสวรรค์ก็ยังมียอดฝีมือที่เก่งกาจมาเฝ้าเพิ่มอีกสองคน
เฉียวเวยไม่คิดว่าพวกเขาจะเป็นคู่ต่อกรของราชันอสูร แต่เมื่อนึกถึงความร้ายกาจของประตูทั้งแปด เฉียวเวยก็ไม่สงสัยเลยสักนิดว่าหากสู้กันขึ้นมาจริงๆ พวกเขาอาจสู้กันจนระเบิดบันไดสวรรค์แห่งนี้พังพินาศก็เป็นได้
เฉียวเวยส่งสายตาให้ชางจิว
ชางจิวแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น แล้วหันไปมองที่ไกลๆ ด้วยท่าทางดูแคลน
แววตาของเฉียวเวยเย็นชาขึ้นทันที แต่ยังไม่ทันทำอะไรจีหมิงซิวก็กุมมือของนางไว้ก่อน เขาหันไปมองชางจิวแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “อยากถูกถีบลงไปเช่นนั้นสินะ หากไม่ใช่ว่าเจ้ายังมีประโยชน์ในเรื่องนี้อยู่บ้าง เจ้าก็ตายสนิทไปแล้ว”
พวกเขาไม่มีเหตุผลให้เก็บชางจิวเอาไว้จริงๆ พวกเขาต้องเก็บฮองเฮาไว้เพราะเป็นท่านน้า แต่ชางจิวเล่าเป็นน้าเขยของพวกเขาหรือไร ทั้งที่คอถูกผู้อื่นจับมาพาดอยู่บนเขียงแล้วแท้ๆ แต่กลับยังวางท่ายโสโอหัง เฉียวเวยอยากจะใช้พื้นรองเท้าฟาดหน้าเขาจริงๆ!
ในที่สุดชางจิวก็ถูกพื้นรองเท้า (ราชันอสูร) กดดันจนยอมอย่างว่าง่าย
เขาหยิบป้ายแผ่นหนึ่งออกมาเจรจากับยอดฝีมือผู้พิทักษ์เมืองครู่หนึ่งก็พาพวกเขาออกมาจากเมืองได้อย่างราบรื่น
การเดินบนบันไดสวรรค์หนที่สอง สองสามีภรรยาหนุ่มสาวใจเย็นกว่าเมื่อวานอย่างเห็นได้ชัด
เฉียวเวยเดินไปครู่หนึ่งก็เอ่ยกับจีหมิงซิวที่เดินอยู่ด้านหน้าว่า “เมื่อวานข้าเดินบนบันไดได้สามสิบหกขั้นก็ขาอ่อนแล้ว”
“วันนี้เล่า” จีหมิงซิวถาม
เฉียวเวยเม้มริมฝีปาก “สามสิบเจ็ด”
จีหมิงซิวร้องอ้อ แล้วจู่ๆ ก็หันไปมองราชันอสูรที่เดินอยู่ด้านหน้าของเขา “วันนี้ขี่คอได้หรือยัง”
…
หลังจากคนทั้งกลุ่มเดินลงมาจากบันไดสวรรค์ก็ย้อนกลับทางเดิมไปยังจุดที่จอดรถม้าเอาไว้
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยไม่อยู่จึงไม่มีสารถีขับรถ จีหมิงซิวจึงยัดแส้ม้าใส่มือของชางจิว
ขมับของชางจิวปูดนูนขึ้นมาทันใด “อัครมหาเสนาบดี!”
อัครมหาเสนาบดียิ้มน้อยๆ “รบกวนเจ้าแล้ว”
ชางจิวกำหมัดดังกรอด
จีหมิงซิวจูงมือเฉียวเวยก้าวขึ้นรถม้า ราชันอสูรขึ้นไปตั้งนานแล้ว เขาหยิบถั่วเคลือบน้ำตาลที่กินไม่หมดขึ้นมาเคี้ยวกร้วมๆ แล้วด้วย
ระหว่างที่ชางจิวฟังเสียงเคี้ยวกร้วมๆ ที่ดังขึ้นไม่หยุดนั่น ใจก็เริ่มคิดอยากจะเอาหัวโหม่งกำแพงตายเสียให้สิ้นเรื่อง!
เจ้าเป็นราชันอสูร ราชันอสูร ราชันอสูร ไม่ใช่แมลงสาบ แมลงสาบ แมลงสาบ!
ทั้งสี่คนแล่นรถม้าตุเลงๆ จนในที่สุดก็มาถึงบ้านในยามค่ำ
จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูคิดถึงบิดามารดาแล้ว พวกเขาขนม้านั่งตัวน้อยสองตัวมานั่งเท้าคางมองประตูตาปริบๆ
จูเอ๋อร์ก็ขนม้านั่งตัวจิ๋วตามมานั่งที่ประตูด้วย มันสวมอาภรณ์สีดำสนิทกับเกราะสีดำ บนหัวสวมหมวกเกราะ สองมือกอดอก แววตาดุดัน ทั่วทั้งร่างแลดูองอาจห้าวหาญ!
ในที่สุดผู้ใหญ่ทั้งสามคนก็กลับมาแล้ว
เจ้าตัวน้อยทั้งสามที่นั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็กลุกพรวดขึ้นมา จิ่งอวิ๋นเห็นคนแรก เขาจึงพุ่งออกไปอย่างขี้โกงเป็นคนแรก ทว่าพริบตาที่จิ่งอวิ๋นขยับ จูเอ๋อร์ก็สังเกตเห็นแล้วเช่นกัน มันจึงพุ่งตัวตามออกไปทันที!
มีแต่วั่งซูน้อยผู้น่าสงสารที่เริ่มสัปหงกเพราะนั่งมานานเกินไป
รอจนกระทั่งนางลืมตาขึ้นมา พี่ชายกับจูเอ๋อร์ก็หายไปแล้ว
“เอ๋ คนเล่า”
วั่งซูขยี้ตา แล้วก็เห็นว่าบิดามารดากลับมาแล้ว นางพาร่างน้อยอันตุ้ยนุ้ยลุกขึ้นมาอย่างฉับไว เพราะว่าออกแรงมากเกินไปหน่อย เนื้ออวบอ้วนทั่วร่างจึงกระเพื่อมคล้ายระลอกคลื่น
นางก้าวเท้าออกไป แล้วเริ่มพุ่งทะยานสิบเมตรในหนึ่งก้าว แม้นางจะออกตัวเป็นคนสุดท้ายทว่ากลับถึงจุดหมายเป็นคนแรก
จิ่งอวิ๋นกำลังจะโถมตัวเข้าไปในอ้อมแขนของมารดาได้อยู่แล้ว ทว่าทันใดนั้นด้านข้างก็มีลมพายุหมุนลูกน้อยพัดผ่าน ตัวเขาถูกลมหอบพัดหมุนติ้วอยู่ที่เดิม รอจนเขาตั้งหลักได้อีกครั้ง น้องสาวก็พุ่งแซงหน้าเขาไปแล้ว!
อ๊ะ!
แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาของจิ่งอวิ๋นจะไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น
“ท่านแม่ๆ!”
วั่งซูกำลังจะโถมเข้าไปในอ้อมแขนของมารดา ทันใดนั้นเองฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งก็ยื่นพรวดออกมาตวัดตัววั่งซูเข้าไปในอ้อมแขนของเขา
ราชันอสูร “โฮ่ง!”
วั่งซู “โฮ่ง!”
จิ่งอวิ๋นหัวเราะเบาๆ
หมวกเกราะของจูเอ๋อร์ใบใหญ่ไปหน่อย เมื่อสวมไว้บนหัว ตอนอยู่นิ่งๆ ก็ยังพอไหว แต่พอขยับก็ไหลพรืดลงมาครอบทั้งหัวของมันไว้ เบื้องหน้าของจูเอ๋อร์มืดสนิทอย่างฉับพลัน มันไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังวิ่งไปที่ใด จึงยื่นสองแขนออกมาคลำไปทั่ว
พวกเฉียวเวยอุ้มเจ้าซาลาเปาน้อยเข้าห้องไปแล้ว แต่จูเอ๋อร์ยังคลำทางอย่างซื่อบื้ออยู่ในลานบ้าน
…
เฉียวเวยยังไม่บอกเรื่องเฉียวเจิงกับเด็กๆ ในตอนนี้ นางตั้งใจว่าวันใดได้พบหน้ากันแล้วค่อยทำให้พวกเขาประหลาดใจ
หลังจากทานอาหารเสร็จ เฉียวเวยก็ตักน้ำร้อนมาให้ลูกน้อยทั้งสองคนแช่ ส่วนจีหมิงซิวไปที่ห้องหนังสือของมู่อ๋อง
มู่อ๋องล้มป่วยหนเดียวก็ทรุดหนัก แม้จะเป็นเพียงไข้หวัด แต่เขาก็หวิดจะก้าวขาลงโลงไปแล้วครึ่งหนึ่ง เขานอนอยู่บนเตียงอย่างอ่อนแรง ทว่าเมื่อ ‘บุตรชาย’ มาเยี่ยม เขาก็รู้สึกดีใจอย่างยิ่ง
จีหมิงซิวถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของเขาอย่าง ‘กตัญญู’ หากจีหมิงซิวตั้งใจจะให้ใครคนหนึ่งรู้สึกอบอุ่น อีกฝั่งหนึ่งก็จะรู้สึกอบอุ่นจนใจเหลว มู่อ๋องถูก ‘ความอบอุ่น’ ของเขาทำให้รู้สึกเปรมปรีดิ์ไปทั่วร่าง
จีหมิงซิวเห็นว่าสบจังหวะเหมาะแล้ว เขาจึงแสร้งถามเรื่องลัทธิศักดิ์สิทธิ์เหมือนไม่ได้ตั้งใจ
“ลัทธิศักดิ์สิทธิ์หรือ” มู่อ๋องขมวดคิ้ว
จีหมิงซิวอธิบาย “ก่อนหน้านี้ข้าอ่านบันทึกที่ท่านโหราจารย์รุ่นก่อนๆ ทิ้งไว้จนไปพบข้อมูลเกี่ยวกับลัทธิศักดิ์สิทธิ์โดยไม่ได้ตั้งใจ มันถูกกล่าวถึงเพียงประโยคสองประโยค ไม่มีข้อมูลใดที่มีประโยชน์ วันนี้ไม่ทราบว่าเหตุใดจู่ๆ ก็นึกถึงจึงลองถามดู ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องใส่ใจ”
“เจ้าอย่าเข้าใจผิด ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากให้เจ้าถาม” ล้อเล่นอะไรกัน ลูกชายอุตส่าห์ไม่ทำหน้าตาเย็นชาใส่เขาทั้งที เขาจะไม่คว้าโอกาสน้อยนิดนี่ไว้ได้อย่างไรเล่า มู่อ๋องบอกว่า “ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ล่มสลายไปตั้งแต่เมื่อหลายร้อยปีก่อนแล้ว ในบันทึกประวัติศาสตร์ไม่มีสิ่งใดบันทึกไว้ ดังนั้นข้าเองก็รู้เกี่ยวกับมันไม่มาก”
มู่อ๋องไม่สงสัยอะไรสักนิด ก็พวกบัณฑิตชอบขุดคุ้ยศึกษาประวัติศาสตร์กันอยู่แล้วไม่ใช่หรือไร
เขาเอ่ยต่อ “หากเจ้าสนใจ จะไปค้นหาบันทึกประวัติศาสตร์ที่อยู่ในหอตำราของจวนอ๋องดูก็ได้”
จีหมิงซิวตอบว่า “ขอบพระทัยท่านอ๋อง”
มู่อ๋องอ้าปาก “น้องชายของเจ้า…”
จีหมิงซิวเอ่ยเรียบๆ “ข้าไม่มีทางทำร้ายเขา ข้าจะยกสุราชั้นดีเนื้อชั้นเลิศไปให้เขา รอจนจัดการสถานการณ์ฝั่งนี้เรียบร้อยแล้ว พวกเราค่อยคุยเรื่องเขากันอีกที”
คำพูดนี้ทำให้มู่อ๋องเหมือนได้กินยาสงบใจ ทว่าหากครุ่นคิดให้ถี่ถ้วน จะพบว่าจีหมิงซิวไม่ได้รับปากอะไรทั้งสิ้น ทว่ามู่อ๋องผู้ยึดมั่นกับบทบาท ‘บิดาผู้เมตตากับบุตรผู้กตัญญู’ อยู่ย่อมไม่ฉุกคิดว่าถ้อยคำนี้อาจมีความหมายอีกแบบหนึ่ง