หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 5-1 ซ้อมบิดาสารเลว
ตอนที่ 5-1 ซ้อมบิดาสารเลว
ชายหนุ่มทิ้งร่มในมือ แล้วจับข้อมือขาวผ่องประหนึ่งไขเทียนของนางไว้ ขณะที่เขากำลังจะลากปิงเอ๋อร์เข้าไปในบ้านนั่นเอง ผ้าแพรขาวผืนหนึ่งก็เหินผ่านอากาศมาพร้อมกับไอสังหารมหาศาลโจมตีใบหน้าของเขาในพริบตา!
ถึงมันจะดูเหมือนเป็นผ้าแพรขาวผืนหนึ่ง แต่ด้านในมีกำลังภายในอันดุดันแฝงอยู่ หากไม่ระวังเพียงนิดก็อาจจะถูกมันฟาดหัวแบะได้
บุรุษผู้นั้นเปลี่ยนสีหน้าไปทันควัน เขาปล่อยมือที่ยื้อยุดปิงเอ๋อร์ แล้วเบี่ยงกายหลบผ้าแพรขาวผืนนั้น
ผ้าแพรขาวพุ่งเฉียดข้างกายเขาไปปะทะกับกำแพงของเรือนหลังน้อย เกิดเป็นรูขนาดใหญ่รูหนึ่งในทันใด!
สีหน้าของบุรุษผู้นั้นซีดเผือดลงหลายส่วน เขาชักดาบโค้งตรงเอวออกมาตั้งใจจะฟันผ้าแพรขาวผืนนั้น ทว่าผ้าแพรขาวผืนนั้นราวกับคาดเดาความคิดของเขาได้ มันหดถอยหลบอย่างเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก
ฝ่ายปิงเอ๋อร์หลังจากได้อิสระกลับมาอย่างกะทันหัน นางก็ไม่สนใจคิดสักนิดว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น นางรวบคอเสื้อแน่นแล้วยกเท้าวิ่งทันที!
“คิดหนีหรือ” แววตาของบุรุษผู้นั้นเย็นยะเยือก เขาตะปบกรงเล็บอันร้ายกาจออกมาจับตัวปิงเอ๋อร์เอาไว้
หัวไหล่ของปิงเอ๋อร์ถูกคว้าเอาไว้ได้ นางหวาดกลัวจนน้ำตาหลั่งรินเป็นสาย ทว่าจู่ๆ ไม่รู้ความกล้าผุดพรายขึ้นมาจากที่ใด นางจึงหันกลับไปคว้ามือของเขาแล้วอ้าปากกัดลงไปเต็มแรง!
การกัดหนนี้นางทุ่มกำลังสุดตัว เสมือนหนึ่งอยากจะกัดข้อมือของเขาให้ขาด
“เจ้านางคนต่ำช้า!” เขาฟาดฝ่ามือใส่ปิงเอ๋อร์!
ทว่าฝ่ามือนี้กลับไม่กระทบถูกใบหน้าของปิงเอ๋อร์ แต่ถูกผ้าแพรขาวของฟู่เสวี่ยเยียนมัดเอาไว้แทน
ฟู่เสวี่ยเยียนขยับแขนข้างเดียว ผ้าแพรขาวก็สะบัดวูบ เหวี่ยงบุรุษผู้นั้นลอยออกไปทั้งตัว
ปิงเอ๋อร์หมดแรงทรุดลงกับพื้น ร่างกายสั่นเทาไม่หยุด
ฟู่เสวี่ยเยียนถอดผ้าคลุมกันลมออกมาห่มบนร่างของนาง “ไม่ต้องกลัวนะ พี่สาวมาแล้ว”
ปิงเอ๋อร์นั่งอยู่บนพื้น สองแขนกอดหัวเข่า ร่างกายขดเป็นก้อมกลม คล้ายไม่ได้ยินคำพูดของนาง นางเอาแต่นั่งนิ่งน้ำตาไหลรินอยู่อย่างนั้น
ฟู่เสวี่ยเยียนไม่เคยเห็นนางเป็นเช่นนี้มาก่อน ไม่รู้จริงๆ ว่านางเคยทนทุกข์ทรมานในสถานที่ที่ตนมองไม่เห็นมามากมายเท่าใดกัน
เมื่อครู่บุรุษผู้นั้นไม่ทันป้องกันจึงปล่อยให้อีกฝ่ายฉวยโอกาสเล่นงานได้ เขาก็คิดว่าเป็นยอดฝีมือผู้ร้ายกาจคนใดเสียอีก คิดไม่ถึงว่ากลับเป็นเพียงสตรีนางหนึ่ง สตรีที่งดงามกว่าปิงเอ๋อร์อยู่หลายส่วน
ดูใบหน้าดวงนั้นสิช่างเหมือนเทพธิดาจากวังสวรรค์ลงมาเยือนโลกมนุษย์ ทว่าเมื่อเทียบกับเทพธิดาแล้ว ดูเหมือนว่านางจะมีไอสังหารที่ดุดันมากกว่าหลายเท่าดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
บุรุษผู้นั้นจับจ้องดวงหน้าของฟู่เสวี่ยเยียนอย่างไม่หวั่นเกรงสักนิด ผ่านไปครู่หนึ่งจู่ๆ เขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ดวงตาทั้งคู่จึงทอประกายขึ้นมาเล็กน้อย “เจ้าคือพี่สาวของปิงเอ๋อร์หรือ ข้าเคยเห็นภาพเหมือนของเจ้ามาก่อน เจ้างามกว่าในภาพเหมือนมากนัก ไม่เสียทีเกิดมาจากมารดาคนเดียวกัน เจ้ากับปิงเอ๋อร์ต่างรูปโฉมปานอัปสร แต่เจ้าเหมือนเทพธิดามากกว่านาง”
คำพูดนี้หากเป็นคนปกติทั่วไปพูดก็คงไม่มีอะไร แต่เมื่อเอ่ยออกมาจากปากของบุรุษผู้นี้กลับดูหยาบโลนอยู่เล็กน้อย
ฟู่เสวี่ยเยียนมองใบหน้าที่บวมเป่งของปิงเอ๋อร์แล้วหันกลับมามองเขาอย่างเย็นชา “เจ้าตบนางหรือ”
บุรุษผู้นั้นตอบอย่างดูแคลน “ข้าสั่งสอนบุตรสาวของตนเองแล้วจะทำไม”
“นับตั้งแต่ที่มารดาของข้าฝากฝังนางไว้กับข้า เจ้าก็ไม่มีสิทธิสั่งสอนนางอีกแล้ว!” ฟู่เสวี่ยเยียนตอบอย่างเย็นชาจบก็เหินร่างฟาดสองฝ่ามือผ่านอากาศ
บุรุษผู้นั้นคิดว่าก่อนหน้านี้เป็นเพราะฟู่เสวี่ยเยียนลอบจู่โจมขณะที่เขาไม่ทันป้องกัน เขาจึงถูกฟู่เสวี่ยเยียนเล่นงานเอาได้ ตอนนี้เขาระวังตัวเต็มที่แล้วย่อมไม่มีทางถูกสาวน้อยคนนี้เล่นงานอีกอย่างแน่นอน!
เขายกฝ่ามือขึ้นฟาดเข้าใส่ฟู่เสวี่ยเยียนอย่างแรง ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงก็คือ ฝ่ามือที่พุ่งตรงมาชัดๆ ข้างนั้นกลับเคลื่อนหลบฝ่ามือเขาอย่างพิสดารภายในชั่วพริบตา ก่อนจะฟาดลงมาบนใบหน้าของเขาเสียงดังสนั่น เพียะๆๆ!
เขาถูกตบจนฟันกรามหลุดกระเด็นออกมาหนึ่งซี่
เขามองฟันที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นหิมะอย่างตะลึงงัน ดวงตาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ เขาคิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่าอีกฝั่งจะมีวรยุทธ์ล้ำเลิศเช่นนี้!
นางคนต่ำช้าคนนั้น ปิดบังเรื่องบางอย่างกับตนใช่หรือไม่!
ฟู่เสวี่ยเยียนตบหน้าคนไปหลายฉาดเสร็จก็งัดกระบวนท่าสังหารพุ่งเข้ามาหาชายหนุ่ม
หากบุรุษผู้นี้เป็นคนที่คู่ควรฝากชีวิตไว้ด้วย ก่อนตายมารดาของนางก็คงไม่ต้องดิ้นรนพาปิงเอ๋อร์ที่อายุเพียงสิบปีมาฝากไว้ในมือของนาง หากเขาไม่มาหาก็ไม่เป็นอะไรหรอก แต่ในเมื่อมา ถ้าเช่นนั้นนางก็ไม่มีสิ่งใดให้ต้องเกรงใจอีกต่อไป!
บุรุษผู้นั้นกับฟู่เสวี่ยเยียนประมือกันหลายกระบวนท่า
ฟู่เสวี่ยเยียนเห็นสภาพปิงเอ๋อร์เป็นเช่นนั้น ในใจก็คิดจะสังหารเขาให้ตาย ทุกกระบวนท่าที่ใช้จึงไม่เก็บออมแรงไว้ทั้งสิ้น ทว่าเพราะนางเพิ่งจะคลอดลูกไม่นาน ยังไม่ทันจะหายดีอย่างสมบูรณ์ นางจึงมีกำลังภายในไม่ถึงหกส่วน ทว่าเพียงเท่านี้ก็พอทำให้บุรุษผู้นั้นรับมือไม่ไหวแล้ว
บุรุษผู้นั้นคิดไม่ถึงว่าวรยุทธ์ของอีกฝ่ายจะไม่ด้อยกว่าระดับหัวหน้าผู้ดูแล เขาตกตะลึงอย่างห้ามไม่ได้ เพียงแต่ว่ายามนี้ไม่ใช่เวลามานั่งประหลาดใจ ในเมื่อสู้ไม่ได้ก็จงอย่าสู้ติดพันต่อ
หลังจากบุรุษผู้นั้นออกกระบวนท่าหลอกท่าหนึ่ง เขาก็ฉวยจังหวะที่อีกฝั่งไม่ทันระวัง หันหลังวิ่งหนี!
ไหนเลยจะคิดว่าเพิ่งวิ่งออกมาได้สองก้าวก็ถูกเฉียวเวยผู้ถือไม้ซักผ้าอันหนึ่งขวางทางเอาไว้
เฉียวเวยไม่สวมผ้าคลุมศีรษะเช่นเดียวกับฟู่เสวี่ยเยียน ใบหน้าของนางจึงเผยอยู่ในสายตาของเขาอย่างไม่ปกปิดแม้แต่น้อย เขาเคยคิดว่าฟู่เสวี่ยเยียนงามมากแล้ว แต่หญิงสาวผู้นี้ตรงหน้ากลับงามพิลาสมากกว่าสามส่วน
วันนี้เขาช่างมีบุญตาเหลือเกิน หากว่า…มองข้ามจิตสังหารในดวงตาของนางไปล่ะก็นะ
เฉียวเวยฉีกยิ้มพลางตบไม้ซักผ้ากับฝ่ามือเบาๆ “จะหนีไปไหนเล่า”
บุรุษผู้นี้เข้าใจภาษาจงหยวนอยู่เล็กน้อยจึงทราบว่าอีกฝ่ายกำลังประชดตนเอง เขาหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา ขณะที่มือข้างซ้ายไพล่ไปด้านหลังอย่างไม่ให้ผิดสังเกตุ ก่อนจะสะบัดเบาๆ ให้ผงยาห่อหนึ่งร่วงลงมาอยู่ในมือ
เขายิ้มหยัน เหวี่ยงผงยาในมือออกไป!
ปั้ก! ทว่าเขาถูกกระทะเหล็กใบน้อยตบจนคว่ำเสียก่อน!
ผงยาที่เขาจะขว้างออกไปโปรยลงบนใบหน้าของเขาเองจนหมด เขาไออย่างรุนแรง ควานหาขวดยาแก้พิษขวดหนึ่งในอกเสื้อของตนเอง ทว่ายังไม่ทันได้กินก็ถูกจูเอ๋อร์ขโมยไปเสียก่อน!
จูเอ๋อร์อุ้มขวดยาวิ่งฉิวไปอยู่หลังร่างของเฉียวเวย
บุรุษผู้นั้นจับลำคอดูเหมือนจะหายใจไม่ออก ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีตับหมูด้วยความเร็วที่ตาเปล่ามองเห็นได้
ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัวเป็นเช่นไร ก็คงเป็นเช่นนี้เอง
เฉียวเวยถือไม้ซักผ้าเดินเข้าไปหาเขา ขณะที่กำลังจะทุบเขาให้สลบนั่นเอง เขาก็ขว้างระเบิดควันพิษลูกหนึ่งออกมา ระเบิดควันกระทบกับพื้น ควันหนาพวยพุ่ง เฉียวเวยสะกิดปลายเท้าถอยกลับทันที
รอจนกระทั่งควันหนาสลายไป เฉียวเวยจะเข้าไปจับตัวเขาใหม่อีกครั้ง บนพื้นก็ไม่มีเงาของเขาอยู่แล้ว
เฉียวเวยหรี่ตาลงอย่างเย็นชา “หนีไวนักนะ!”
เฉียวเวยพาจูเอ๋อร์ไปหาฝั่งฟู่เสวี่ยเยียน ฟู่เสวี่ยเยียนใช้ผ้าคลุมกันลมห่อปิงเอ๋อร์เอาไว้ทั้งตัวแล้ว แต่ปิงเอ๋อร์ก็ยังตัวสั่นอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้ เฉียวเวยถอดผ้าคลุมกันลมของตนเองออก คิดจะห่มบนตัวปิงเอ๋อร์ด้วย แต่ปิงเอ๋อร์กลับขยับหลบอย่างไม่รู้ตัว
ชั่วพริบตาที่หลบนั่น นางทำราวกับว่าเฉียวเวยเป็นน้ำป่าหรืออสูรร้ายบางอย่าง
“ข้าทำเองเถิด” ฟู่เสวี่ยเยียนรับผ้าคลุมกันลมมาแล้วนั่งลงไป
ปิงเอ๋อร์ก็ไม่ยอมให้นางเข้าใกล้เช่นกัน
เฉียวเวยจึงพูดขึ้นมาว่า “นางไม่ได้หนาวหรอก”
กลัวต่างหาก
ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้พบเรื่องสะเทือนใจอันใดมา คนจึงออกอาการผิดปกตินิดๆ
เฉียวเวยลองพูดกับปิงเอ๋อร์ “หลังจากนี้มีเรื่องอะไรก็จำไว้ว่าต้องบอกพี่สาวของเจ้า พวกเรากำลังทานอาหารกันอยู่ หันกลับมาอีกทีเจ้าก็หายไปแล้ว รู้หรือไม่ว่าพี่สาวของเจ้าร้อนใจเพียงใด นางเพิ่งจะคลอดลูกยังต้องฝ่าพายุหิมะที่ตกหนักขนาดนี้ออกมาตามหาเจ้า”
ปิงเอ๋อร์ไม่มีปฏิกิริยา
“ไม่ต้องพูดแล้ว” ฟู่เสวี่ยเยียนดึงมือของเฉียวเวย
เฉียวเวยยู่ปาก “ถ้าเช่นนั้นเดี๋ยวเจ้าก็บอกนางด้วยแล้วกันว่าหลังจากนี้อย่าออกมานอกจวนคนเดียวอีก จะไปไหนก็จำไว้ว่าต้องเรียกข้าไปด้วย”
ฟู่เสวี่ยเยียนมองเฉียวเวยอย่างซาบซึ้งใจ “เข้าใจแล้ว กลับกันเถิด”
พวกเขาเดินทางกลับจวนอ๋อง