หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 7-2 คนงามลงมือ (1)
ตอนที่ 7-2 คนงามลงมือ (1)
สิ่งที่ทำได้ตอนนี้มีแต่สวดภาวนาให้พวกเขาทั้งหมดไม่เป็นอะไร เฉียวเวยกินส้มหนึ่งกลีบ หวานก็หวานอยู่ แต่นางอารมณ์ไม่ดีจึงวางส้มอย่างรวดเร็ว แล้วถามองค์ชายสามว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่แห่งนี้คือสถานที่ใด”
“ลัทธิอะไรสักอย่างกระมัง” องค์ชายสามตอบอย่างไม่ค่อยแน่ใจ
เฉียวเวยชะงัก “พวกเขาบอกหรือไม่ว่าพาเจ้ามาทำอะไร”
องค์ชายสามส่ายหน้า “เปล่า”
แปลกจริง เหตุใดคนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์จึงต้องจับตัวครอบครัวยิ่นอ๋องกับองค์ชายสามมา เพื่อให้ควบคุมราชาเยี่ยหลัวสะดวกมากขึ้นหรือ ราชาเยี่ยหลัวมีบุตรชายมากมายปานนั้น เหตุใดดันจับสองคนนี้มา
องค์ชายสามเป็นเด็กช่างจ้อ เขากลัวที่สุดเวลาคนเงียบ พอเห็นเฉียวเวยไม่ส่งเสียงตอบสักคำ เขาก็รีบหาหัวข้อสนทนาต่อด้วยตนเอง “จริงสิ ท่านพบเสด็จแม่ของข้าหรือไม่ พวกเขาบอกว่าเสด็จแม่ใกล้มาถึงแล้ว แต่เหตุใดข้ารอมาตั้งนานป่านนี้แล้วนางก็ยังมาไม่ถึงเสียที”
เฉียวเวยข้ามเรื่องหนักหนาทั้งหลายไปแล้วบอกเพียงว่า “นางอยู่กับบิดาของข้า เจ้าวางใจเถิด”
องค์ชายสามได้ยินคำนี้ ไม่เพียงแต่ไม่สบายใจขึ้น ตรงกันข้ามเขากลับโมโหจนขนพอง “ข้าจะวางใจได้อย่างไรเล่า มาดาของท่านไม่อยู่ เสด็จพ่อของข้าไม่อยู่ พวกเขาบุรุษกับหญิงสาวอยู่ด้วยกันตามลำพัง…สวรรค์ พี่สะใภ้ หลังจากนี้ท่านจะกลายเป็นพี่สาวข้าแล้วสินะ! ส่วนพี่ชายก็จะกลายเป็นพี่เขยข้าแทน!”
เฉียวเวยเหลือกตามองฟ้าหมดคำจะพูด นี่มันเรื่องอะไรกับอะไร ในสมองเจ้าเด็กคนนี้มีเรื่องปกติอยู่บ้างหรือไม่
องค์ชายสามเอ่ยต่อ “พี่สะใภ้ เมื่อครู่ท่านบอกว่าท่านมาสืบข่าว ท่านต้องการสืบข่าวอะไรหรือ ถามข้าสิ!”
เฉียวเวยนึกถึงกงซุนฉางหลีขึ้นมาในพริบตา “เจ้ารู้จักกงซุนฉางหลีหรือไม่”
องค์ชายสามชะงักไปครู่หนึ่งก็ตอบว่า “ท่านหมายถึงบุรุษที่สวมอาภรณ์สีแดง ตอนออกมาข้างนอกไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืนก็ต้องกางร่มคนนั้นใช่หรือไม่”
เฉียวเวยฟังคำพูดนี้จบก็รู้สึกว่ามีอะไรให้คาดหวังแล้ว “ถูกต้อง เขานั่นแหละ! เจ้าเคยพบหรือ”
องค์ชายสามตื่นเต้นจนนั่งไม่ติดอยู่เล็กน้อย “ข้า ข้า ข้า…ข้าต้องเคยพบสิ! เขาก็คือ…”
ปัง!
เขายังพูดไม่ทันจบ จู่ๆ ก็มีเสียงดังสนั่นลอยมาจากทิศทางหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล
องค์ชายสามดึงประตูเปิดแล้วมองไปด้านนั้น ปากก็พึมพำว่า “ดูเหมือนจะเป็นหอศิลาของผู้ดูแลอูนะ…”
ผู้ดูแลอูหรือ นั่นเป็นที่ๆ ราชันอสูรกับสือชีไปไม่ใช่หรือ เกิดเรื่องกับพวกเขาสองคนอย่างนั้นหรือ
เฉียวเวยรีบสวมหน้ากากหนังมนุษย์ “องค์ชายสาม รบกวนเจ้าพาข้าไปหน่อย!”
“ได้!”
องค์ชายสามตอบรับอย่างฉับไว จากนั้นจึงพาเฉียวเวยไปที่หอศิลาของอูมู่ตัว
อูมู่ตัวเป็นผู้ดูแล ตำแหน่งไม่ใหญ่โต หอศิลาที่ได้รับจัดสรรมาจึงไม่นับว่าใหญ่มาก อีกทั้งยังไม่อยู่ในสถานที่สงบห่างไกลสักเท่าใด ดังนั้นเพียงครู่เดียวทั้งสองคนก็เร่งรีบมาถึงแล้ว
หลังจากมาถึงสิ่งที่เห็นก็คือไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ราชันอสูรกับสือชีจึงต่อสู้กับศิษย์กลุ่มหนึ่งของลัทธิศักดิ์สิทธิ์อยู่
เพื่อเก็บซ่อนลมปราณของตนเอง ราชันอสูรจึงไม่ใช้กำลังภายใน เพียงใช้วิชาท่าร่างอันคล่องแคล่วต่อสู้โรมรันกับศิษย์ทั้งหลาย ส่วนสือชีใช้ดาบเล่มใหญ่ฟาดฟันผู้อื่นอย่างเปี่ยมพละกำลัง
ศิษย์กลุ่มนี้ไม่ใช่พวกที่จัดการได้ง่ายๆ อีกทั้งลัทธิศักดิ์สิทธิ์มีการฝึกฝนนักรบมรณะอยู่แล้ว ศิษย์กลุ่มนี้จึงมีวิธีการรับมือนักรบมรณะอยู่ แต่ละกระบวนท่าต่างฟาดฟันใส่จุดสำคัญ สือชีถูกบีบให้ต้องเอาจริง
องค์ชายสามทราบว่าสือชีเป็นนักรบมรณะ จึงร้อนใจจนกระทืบเท้า “แย่แล้ว เหตุใดถึงมาสู้กับพวกนักเวทศักดิ์สิทธิ์ได้เล่า”
เฉียววเวยขมวดคิ้ว “นักเวทศักดิ์สิทธิ์หรือ”
องค์ชายสามตอบว่า “พวกเขาคือพวกที่มีไว้จัดการกับนักรบมรณะโดยเฉพาะ นักรบมรณะบางคนที่ไม่เชื่อฟัง คิดจะหลบหนีหรือทรยศจะถูกพวกเขากำราบ! นักรบมรณะต่างหวาดกลัวพวกเขา!”
สือชีกับราชันอสูรกลัวหรือไม่ เฉียวเวยมองไม่ออก แต่เฉียวเวยสัมผัสได้ว่าแต่ละกระบวนท่าของคนพวกนั้นบังเอิญข่มกำลังภายในของสือชีอยู่จริงๆ สือชีเริ่มต้านไม่ไหวแล้ว
องค์ชายสามคว้าศิษย์ที่มุงอยู่คนหนึ่งมาถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุใดพวกเขาจึงเริ่มสู้กัน”ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
ศิษย์ตอบว่า “ได้ยินว่านักรบมรณะคนนั้นขโมยภาพที่อยู่ในหอตำราลับ พวกนักเวทศักดิ์สิทธิ์บอกให้เขานำมาคืนแต่เขาไม่คืนจึงต่อสู้กัน”
ภาพวาดหรือ เฉียวเวยหันไปจ้องราชันอสูร ก็เห็นว่ามีภาพวาดม้วนหนึ่งอยู่ในอกเสื้อของเขาจริงๆ
นี่…นี่มันเรื่องอะไรกันอีก
เฉียวเวยคิดไม่ออกว่าเวลาเช่นนี้ เหตุไฉนราชันอสูรจึงบุกไปขโมยภาพวาดของผู้อื่นจากหอตำราลับ สมองเขาพังไปแล้วแท้ๆ ยังรู้จักชื่นชมภาพวาดกับตัวอักษรอยู่อีกหรือ
เฉียวเวยดึงองค์ชายสามมาถามว่า “คำพูดของเจ้าพอจะมีประโยชน์หรือไม่”
“ข้า…ข้าจะลองดูก็แล้วกัน” องค์ชายสามไม่มั่นใจนัก เขากระแอมเบาๆ แล้วเริ่มเอ่ยปากพูด “นักเวทศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย พวกท่านเลิกสู้กันก่อนได้หรือไม่ มีอันใดก็พูดจากันดีๆ”
นักเวทศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่งในนั้นเอ่ยว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับองค์ชายสาม องค์ชายสามถอยไปให้ห่างดีกว่า!”
องค์ชายสามก้มหน้าคอตก
สือชีถูกพวกนักเวทศักดิ์สิทธิ์ล้อมเอาไว้แล้ว นักเวทศักดิ์สิทธิ์วัยกลางคนที่พูดกับองค์ชายสามเมื่อครู่คนนั้นเหวี่ยงตาข่ายสีแดงสดผืนหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อกว้างของตนเอง เพียงพริบตาเดียวตาข่ายก็จับตัวสือชีเอาไว้ บนตาข่ายผืนนั้นไม่รู้ว่าทาสิ่งใด สือชีจึงล้มลงไปกับพื้นท่าทางทุรนทุราย
เฉียวเวยเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ไหนเลยยังจะสนใจปิดบังตัวตนอีก นางชักกริชออกมาวิ่งเข้าไปหาสือชี
นางตวัดกริชตัดเชือกจนขาด
“ผู้ดูแลอู!” นักเวทศักดิ์สิทธิ์ที่เหวี่ยงตาข่ายออกมาตวาด
เฉียวเวยต่อสู้กับเขา
สือชียังถูกจับอยู่ในตาข่ายขนาดใหญ่ มีนักเวทศักดิ์สิทธิ์ชักกระบี่ออกมาฟันใส่สือชีเต็มแรง
ราชันอสูรคำรามเกรี้ยวกราด นภาสั่นไหวพสุธาสั่นคลอน กระเบื้องบนหลังคาร่วงกราวลงมา วิหคบนกิ่งไม้กระพือปีกบินหนีพรึ่บพรั่บ ศิษย์ทั้งหลายที่ล้อมอยู่รอบด้านถูกแรงกดข่มอันแข็งแกร่งที่ทำให้คนหายใจไม่ออกสายนี้ห้อมล้อมในพริบตา ทุกคนถูกสะกดไว้กับที่
ราชันอสูรพุ่งไปด้านหน้า ฉีกเพียงสองสามทีก็ฉีกตาข่ายบนร่างสือชีจนขาด
ลมปราณของราชันอสูรเล็ดรอดออกมา เสียงระฆังของลัทธิศักดิ์สิทธิ์พลันดังขึ้น เสียงระฆังแต่ละหนคล้ายท่วงทำนองหมายเอาชีวิต
องค์ชายสามหน้าถอดสีทันใด “พวกท่านรีบหนีไปเร็ว!”
องค์ชายสามเบิกตาโตบอกว่า “ข้าต้องหนีอะไรหรือ ข้าอยู่สบายดี พวกท่านรีบหนีไปเถิด!”
องค์ชายสามดันเฉียวเวยไปด้านหลังราชันอสูร
เฉียวเวยมององค์ชายสามด้วยสีหน้าซับซ้อน แล้วเอ่ยกับราชันอสูรว่า “ท่านราชันอสูร พวกเราไป!”
ราชันอสูรมือหนึ่งคว้าเฉียวเวย อีกมือหนึ่งคว้าสือชีแล้วใช้วิชาตัวเบาออกไปจากที่ตรงนั้นอย่างว่องไว
ราชันอสูรจากไปแล้ว ศิษย์กับนักเวทศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกสะกดไว้กลุ่มนั้นจึงกลับมาขยับได้ เพียงแต่ด้วยความเร็วของพวกเขาไม่อาจไล่ตามราชันอสูรทัน
ทว่าตอนที่ราชันอสูรกำลังจะหนีออกไปไกลขึ้นทุกทีนั่นเอง ลมปราณมหาศาลประหนึ่งผืนทะเลดาราอันคุ้นเคยนั่นก็โถมเข้ามาหาพวกเฉียวเวยระลอกแล้วระลอกเล่า
หนนี้ในที่สุดเฉียวเวยก็ระลึกได้แล้วว่าตนเคยพบลมปราณอันคุ้นเคยสายนี้ที่ใด มันคือลมปราณที่ทำให้นางสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันตรายจากในห้องลับ ระหว่างที่นางตั้งใจจะไปลอบสังหารฮองเฮาที่ห้องหนังสือของฮองเฮาไม่ใช่หรือ
ยามนั้นนางเข้าใจผิดว่าอีกฝ่ายคือราชันอสูร
เมื่อลมปราณเข้ามาใกล้ เฉียวเวยก็ถูกซัดกระแทกจนมึนหัวตาลาย สือชีบาดเจ็บจากตาข่ายอยู่แล้วสภาพของเขาจึงไม่ต่างจากเฉียวเวย
ราชันอสูรจับทั้งสองคนไว้แน่น หากเขาออกกระบวนท่า เขาจำต้องทิ้งคนใดคนหนึ่ง แต่หากเขาไม่ทิ้งใครสักคน เขาก็ออกกระบวนท่าไม่ได้
ในห้วงเวลาวิกฤตนั้นร่มกระดาษน้ำมันขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กคันหนึ่งก็ลอยเข้ามาบังด้านหลังของทั้งสามคนไว้อย่างพอดิบพอดี
กระดาษของร่มเป็นสีขาว กิ่งท้อสีน้ำตาลหยักคดโค้ง บนกิ่งมีดอกท้อดอกใหญ่ประปราย แต่ละดอกสีสันสดสวยงดงาม
เปรี้ยง! เสียงดังสนั่นดังขึ้นหนึ่งหน ภาพอันงดงามนี้พลันมลายหายไป
ราชันอสูรพาเฉียวเวยกับสือชีเหินออกจากลัทธิศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างราบรื่น เขาใช้ความเร็วสูงสุดมุ่งไปยังจุดที่จอดรถม้า
ไห่สือซานเห็นสือชีบาดเจ็บก็ไม่พูดพร่ำเปิดม่านให้ทั้งสามคนขึ้นรถม้าทันที
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหวดแส้ม้า รถม้าพลันทะยานออกไปไม่เห็นฝุ่น!
******************************