หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 9-2 ตั้งครรภ์
ตอนที่ 9-2 ตั้งครรภ์
เมื่อเทียบกับห้องนอนที่แม้จะเรียบง่ายแต่ก็อบอุ่น ห้องเก็บฟืนแทบจะไม่ต่างจากห้องแช่แข็ง แม้ว่าจะจุดเตาถ่านแล้ว แต่ประตูก็ยังมีลมลอดเข้ามา หน้าต่างก็มีลมลอดเข้ามา แม้แต่บนกำแพงก็มีรูโหว่อยู่
ลมหนาวพัดเข้ามาจากทั่วทุกสารทิศ แม่ทัพน้อยมู่ที่อยู่บนเตียงหนาวจนใบหน้ากลายเป็นสีม่วง
เฉียวเวยคว้ามือเย็นเฉียบของเขาขึ้นมา แล้วแตะหน้าผากที่ร้อนระอุ ก่อนจะบอกกับซิ่วฉินว่า “ที่นี่หนาวเกินไป พาเขาไปอยู่ที่ห้องของข้าได้หรือไม่ คืนนี้เจ้านอนกับท่านแม่เฒ่า ข้าจะปูผ้านอนบนพื้นที่ห้องโถงเอง”
ซิ่วฉินทำท่าลำบากใจ “ไม่ใช่ว่าห้องไม่พอนอนหรอกเจ้าค่ะ ความจริงยังมีห้องว่างอยู่อีกห้องหนึ่ง แต่ว่า…”
“แต่ว่าอะไร” เฉียวเวยมองนาง
ซิ่วฉินถอนหายใจ “ท่านแม่เฒ่าไม่ชอบบุรุษ เห็นคนหนึ่งก็ไล่คนหนึ่ง หากให้นางรู้ว่าข้าพาบุรุษคนหนึ่งกลับมา นางต้องโกรธแน่…”
ในบ้านไม่มีบุรุษสักคน แม่เฒ่าจะระมัดระวังก็ฟังดูมีเหตุผล เฉียวเวยไม่รู้สึกว่าการระมัดระวังตัวเช่นนี้ของหญิงชรามีปัญหาอะไร เพียงแต่พอนึกถึงท้ายประโยคของซิ่วฉิน นางก็หยุดชะงักไปครู่สั้นๆ “ที่นี่มักจะมีคนมาเยือนหรือ”
ซิ่วฉินนึกแล้วตอบว่า “ก็ไม่นับว่าบ่อยนะเจ้าคะ ข้าเคยเห็นอยู่สองหนเท่านั้น พวกเขาต่างเป็นนายพรานที่อยู่ในภูเขา แม่เฒ่าเกลียดชังพวกเขายิ่งนัก นางห้ามไม่ให้ข้าพูดกับพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร มีหนหนึ่งข้าออกไปเก็บผักป่าแล้วพบหมาป่าตัวหนึ่ง พวกเขายังช่วยไล่มันไปให้ข้าเลย! หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่มาขออะไรจากข้าด้วย จากไปสองมือเปล่าทั้งอย่างนั้น”
ตอนแรกคิดว่าเทือกเขาที่อันตรายเช่นนี้จะไม่มีชาวบ้านที่ไหนอาศัยอยู่เสียอีก ถึงจะเคยพบหมู่บ้านแห่งนั้น แต่ก็คิดว่าเป็นเพียงฐานที่มั่นชั่วคราวที่สร้างขึ้นมาเพื่อเก็บร่างพิษ…
แต่จากที่ซิ่วฉินเล่า ที่แห่งนี้มีชาวบ้านดั้งเดิมอาศัยอยู่จำนวนหนึ่งมาก่อนแล้ว หมู่บ้านแห่งนั้นก็คงเป็นหมู่บ้านจริงๆ
เฉียวเวยตรวจร่างกายให้แม่ทัพน้อยมู่ สภาพของเขาย่ำแย่มาก ลมปราณปั่นป่วน ลมหายใจแผ่วเบา บาดเจ็บทั้งภายในภายนอกอย่างสาหัส ร่างกายของเขาแต่เดิมก็ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว พอร่วงตกลงมาหนนี้ก็ยิ่งซ้ำเติมแผลเก่า หากไม่รักษาและบำรุงให้ดีๆ เกรงว่าต่อให้เทพเซียนมาเยือนก็ช่วยไว้ไม่ได้แล้ว “ซิ่วฉิน ชีวิตคนเป็นเรื่องสำคัญ หากท่านแม่เฒ่ากลับมาข้าจะพูดกับนางเอง เจ้าช่วยข้าแบกเขาเข้าบ้านก่อนเถิด”
หากไม่เพราะจั๋วหม่าน้อย บุรุษผู้นี้ก็คงไม่ร่วงตกลงมาจนมีสภาพเช่นนี้ เขาใช้กำลังภายในทั้งหมดปกป้องจั๋วหม่าน้อยจนไม่เหลือไว้ให้ตนเองแม้แต่นิดเดียว เมื่อคิดเช่นนี้สีหน้าของซิ่วฉินก็หวั่นไหวอย่างห้ามไม่ได้ นางสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วตอบว่า “เจ้าค่ะ ข้าจะไปจัดห้องให้เขา”
ซิ่วฉินจัดห้องเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองคนก็แบกแม่ทัพน้อยมู่ไปยังห้องว่างห้องนั้น ห้องนี้เรียบง่ายยิ่งกว่าห้องที่เฉียวเวยพักอยู่เสียอีก แต่ดีเลวก็ยังมีเตียงปูฟูกหนาหนึ่งหลัง ประตูกับหน้าต่างก็อยู่ในสภาพดี ไม่มีรูโหว่ให้ลมหนาวพัดเข้ามาด้านใน
ซิ่วฉินหอบผ้าห่มผืนหนามาห่มบนร่างของแม่ทัพน้อยมู่เพิ่มอีกผืน “ข้าจะไปเอาเตาถ่านมานะเจ้าคะ”
กล่าวจบก็หมุนตัวไปเปิดประตู คิดไม่ถึงว่าพอเปิดประตูออกมาก็มีคนผู้หนึ่งปรากฏตัวตรงประตู พูดให้ถูกก็คือนางอยู่ตรงนั้นมานานแล้ว เพียงแต่พวกนางไม่มีใครสังเกตเห็นก็เท่านั้น
ซิ่วฉินมองแม่ทัพน้อยมู่ที่อยู่ในห้องอย่างหวาดๆ นางขนหัวลุกเอ่ยเรียกอีกฝ่าย “ท่าน…ท่านแม่เฒ่า…”
เฉียวเวยได้ยินเสียงของซิ่วฉินก็หันมามองด้านนี้
คนที่อยู่ตรงนั้นคือสตรีเส้นผมสีเงินยวงทั้งศีรษะคนหนึ่ง นางสวมเสื้อเนื้อหยาบกับเสื้อคลุมขนสัตว์สีเข้ม นางน่าจะอายุค่อนข้างมากแล้ว กาลเวลาทิ้งรอยประทับไว้บนใบหน้าของนาง ทว่าความหยิ่งทะนงที่แผ่ออกมาท่ามกลางพายุหิมะนั่นทำให้รูปโฉมของนางดูงดงามไม่ธรรมดามากกว่าเดิมอย่างไร้สาเหตุ
แปลกมาก เหตุใดตนเองจึงใช้คำว่างดงามพรรณนาแม่เฒ่าที่แก่ชราคนหนึ่ง
นางไม่ทำสิ่งใดทั้งสิ้น เพียงยืนมองอยู่ตรงนั้นนิ่งๆ รอบตัวนางมีบรรยากาศหนักอึ้ง คล้ายแผ่นน้ำแข็งบนผิวมหาสมุทรที่ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่กล้าเข้าใกล้
มือขวาของนางถือกระต่ายป่าอ้วนพีที่เพิ่งล่ามาได้สดๆ ร้อนๆ ตัวหนึ่ง ส่วนมือซ้ายถือธนูจันทร์โลหิตหนึ่งคัน
ธนูคันนั้นขนาดเท่ากับธนูจันทร์โลหิตทุกประการ เมื่อเพ่งพิจรูปแบบก็ดูคล้ายกันเล็กน้อย เพียงแต่ธนูจันทร์โลหิตทำมาจากเหล็ก แต่ธนูในมือนางเป็นเพียงธนูไม้คันหนึ่งเท่านั้น
นางเห็นเฉียวเวยแล้วเช่นกัน
สายตานั่น ไม่รู้ว่าควรจะพรรณนาเช่นไรดี ความดุดันนั่นทำให้คนรู้สึกสู้ไม่ได้
เฉียวเวยใช้ร่างบังแม่ทัพน้อยมู่ที่อยู่บนเตียงตามสัญชาตญาณ น่าเสียดายอีกฝ่ายน่าจะมาถึงที่นี่ตั้งนานแล้ว นางคงได้ยินบทสนทนาในห้องไม่ตกหล่นสักคำ ดังนั้นมาบังเอาตอนนี้ ไม่ใช่ว่ายิ่งปกปิดยิ่งเห็นชัดหรอกหรือ
“ท่านแม่เฒ่า…” ซิ่วฉินถูกสายตาของหญิงชราทำเอาขวัญผวา
นางดันซิ่วฉินออก ความจริงนางก็ไม่ได้ใช้แรงอะไร ทว่าแววตาดุดันนั่นทำให้ซิ่วฉินตัวสั่นเทาอย่างห้ามไม่ได้ แม้แต่ความกล้าจะขัดขืนก็ไม่เหลือ
หญิงชราทิ้งกระต่ายในมือ แล้วสาวเท้าไปหาเฉียวเวยกับแม่ทัพน้อยมู่ทีละก้าว
นอกจากมารดาของนาง เฉียวเวยน้อยนักจะสัมผัสถึงบรรยากาศข่มขวัญเช่นนี้จากตัวสตรีนางอื่น แล้วอีกฝ่ายก็เป็นหญิงชราในชนบทคนหนึ่งเท่านั้น คนผู้นี้คงไม่ใช่ว่าตอนอายุน้อยเป็นมหาโจรแห่งท้องทะเลผู้สองมือแปดเปื้อนโลหิต แต่พอชราแล้วก็ล้างมือในอ่างทองคำ เร้นกายมาหลบอยู่ในพงไพรหรอกนะ
ไม่เช่นนั้นแล้วนางจะมีไอสังหารอันแข็งแร่งเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
เฉียวเวยตั้งสติ นางลุกขึ้นขวางทางอีกฝ่ายเอาไว้
นางเอ่ยปากพูดด้วยสีหน้าเย็นชา ทว่าถ้อยคำที่เอ่ยออกมากลับเป็นภาษาจงหยวนที่ลื่นไหล “พาบุรุษของเจ้าไสหัวออกไปเสียเดี๋ยวนี้”
ซิ่วฉินอ้อนวอน “ท่านแม่เฒ่า นางเป็นสหายของคุณหนูของข้า ท่านให้พวกเขาอยู่เถิด หิมะตกหนักถึงเพียงนี้…พวกเขาออกไปต้องแข็งตายแน่!”
หญิงชราตอบเสียงเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าห้ามพาผู้ชายกลับมา!”
ซิ่วฉินก้มหน้าอย่างขวัญเสีย
เฉียวเวยวิงวอน “สหายของข้าบาดเจ็บหนักมาก หวังว่าท่านแม่เฒ่าจะเมตตาสักหน ยอมให้พวกเราพักอยู่ที่นี่สักสองวัน ข้าช่วยแม่เฒ่าล่าสัตว์ได้ แล้วข้าก็ช่วยแม่เฒ่าทำอาหารได้…ข้าทำไร่ไถนาเป็นทุกอย่าง”
หนนี้เฉียวเวยไม่เอาเงินทองมาล่อลวงอีกฝ่าย สัญชาตญาณบอกเฉียวเวยว่าหากนางทำเช่นนั้น อีกฝ่ายต้องโกรธอย่างแน่นอน
ทว่าถึงอีกฝ่ายจะไม่โกรธมากกว่าเดิม แต่ก็ไม่เปลี่ยนการตัดสินใจของตนเองเพราะถ้อยคำเหล่านี้เช่นกัน
สายตาของนางเย็นเฉียบดั่งน้ำแข็ง “ยังไม่ไปอีก จะรอให้ข้าไล่หรืออย่างไร”
“ท่านแม่เฒ่า…” ซิ่วฉินเดินเข้ามามองนางอย่างอ้อนวอน
นางเอ่ยอย่างเด็ดขาด “เจ้าอยากไปด้วยใช่หรือไม่”
ซิ่วฉินหันไปมองเฉียวเวย เฉียวเวยส่ายหน้าให้ซิ่วฉิน ซิ่วฉินกัดฟันตัดสินใจเงียบๆ หากจั๋วหม่าน้อยต้องไป นางก็จะไปด้วย!
เฉียวเวยค้อมกาย “รบกวนท่านแม่เฒ่าแล้ว”
กล่าวจบก็หมุนตัวไปเปิดผ้าห่ม ยื่นสองแขนออกมาอุ้มแม่ทัพน้อยมู่ที่อยู่บนเตียง
คิดไม่ถึงว่านางเพิ่งออกแรงได้ไม่เท่าไร จู่ๆ สองตาก็มืดดับ โลกหมุนคว้าง สุดท้ายคนก็สลบฟุบลงไปอยู่กับพื้น
…
เมื่อเฉียวเวยฟื้นขึ้นมาอีกหน นางไม่รู้ว่ายามใดแล้ว แต่นางนอนอยู่บนเตียงนุ่มนิ่ม ตะเกียงน้ำมันสีเหลืองหม่นจุดสว่างอยู่ในห้อง ถ่านในเตาถูกไฟเผาดังเปรี๊ยะๆ
ซิ่วฉินนั่งอยู่ตรงหัวเตียง เพราะเฝ้ามานานเกินไป ศีรษะจึงห้อยพับหลับไปแล้วดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
เฉียวเวยเอ่ยเรียกเบาๆ “ซิ่วฉิน”
ซิ่วฉินสะดุ้งลืมตาขึ้นมาแล้วหันไปมองเฉียวเวย “ฮูหยินน้อย ท่านฟื้นแล้วหรือ”
เฉียวเวยกวาดสายตามองรอบด้าน พบว่าตนเองนอนอยู่ในห้องเล็กๆ ที่ตนเองฟื้นมาในหนแรก นางถามขึ้นมาอย่างมึนงง “เมื่อครู่ข้า…ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
ซิ่วฉินขยับลงมานั่งยองๆ พลางจ้องนางตาแป๋ว จากนั้นก็หัวเราะร่าเหมือนมีเรื่องน่ายินดีใหญ่หลวงอะไรสักอย่าง “ฮูหยินน้อย”
“หืม” เฉียวเวยถูกเสียงหัวเราะอันไร้ที่มาของนางทำเอาจับต้นชนปลายไม่ถูก
นางลูบหน้าท้องของเฉียวเวย “ท่านตั้งครรภ์แล้วเจ้าค่ะ”