หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 181 เปลี่ยนชื่อ
ตอนที่ 181 เปลี่ยนชื่อ
หลินเว่ยเว่ยพาเด็กผู้ชายคนหนึ่งกลับมาที่บ้าน เมื่อนางหวงได้ยินเรื่องราวของเด็กผู้น่าสงสารคนนี้แล้วก็ยอมรับอีกฝ่ายโดยไม่กล่าวโต้แย้งอันใด ทว่าบุตรสาวคนโตตระกูลหลินกลับบ่นออกมา นางบอกว่าการดำเนินชีวิตของผู้คนบนโลกใบนี้ไม่ง่ายแล้วยังจะรับเด็กเข้าบ้านอีก แค่นี้ก็ทำให้เจ้าดูเป็นคนดีแล้วกระมัง !
จางหนิวฮว๋าสะดุ้งแล้วพยายามทำตัวราวกับไร้ตัวตนให้มากที่สุดเพราะกลัวว่าจะโดนไล่ออกไป เจ้าหนูน้อยเข้ามาจับมือเขาไว้ จากนั้นกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ไปเถิด ข้าจะพาเจ้าไปอาบน้ำ หลังจากนั้นค่อยไปให้อาหารกระต่ายด้วยกัน ! ”
หนิวฮว๋าแอบเหลือบมองหลินเว่ยเว่ยแล้วกล่าวว่า “ข้า…ข้าไปทำงานก่อนดีกว่า”
เจ้าหนูน้อยมองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า จากนั้นก็ใช้มือปัดไปมาที่จมูกพลางกล่าว “เจ้าไม่ได้อาบน้ำมานานเท่าไรแล้ว ตัวเหม็นมาก ไปอาบน้ำก่อน เช่นนั้นคงได้ทำให้กระต่ายน้อยของข้าสลบหมด ! ”
พอเห็นหลินเว่ยเว่ยไม่ได้แสดงท่าทีอันใด หนิวฮว๋าก็พยักหน้ารับเบา ๆ “เช่นนั้น…ก็ได้ ! ”
ภายใต้ความช่วยเหลือของเจ้าหนูน้อยจึงทำให้หนิวฮว๋าอาบน้ำจนสะอาดหมดจดและพาไปใส่ผ้าเนื้อหยาบที่ตนเพิ่งใส่ได้ไม่นานนัก ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาเจ้าหนูน้อยได้กินข้าวจนอิ่มท้องทุกวันและยังได้รับการเลี้ยงดูจากน้ำในมิติน้ำพุวิญญาณจึงทำให้ส่วนสูงของเขาเพิ่มขึ้น ดังนั้นเสื้อผ้าที่ทำเมื่อเดือนก่อนหรือกางเกงจึงสั้นเต่อขึ้นมา
หนิวฮว๋าเกิดในครอบครัวยากจน ตั้งแต่เด็กจนโตมีช่วงเวลาได้กินอิ่มน้อยมาก แม้อายุมากกว่าเจ้าหนูน้อยสองปี ทว่าตัวเขาก็ไม่สูงสักเท่าไรเลย เจ้าหนูน้อยยกคิ้วอย่างได้ใจ…ในที่สุดก็มีคนนำเสื้อผ้าของตนไปใส่แล้ว !
หนิวฮว๋าลูบเสื้อผ้าบนร่างกายอย่างหลงใหลเพราะไม่เคยสวมเสื้อผ้าที่ไร้รอยปะชุนมาก่อน เขากังวลว่าเจ้าหนูน้อยจะอ้างสิทธิ์แล้วเอาคืนจึงหันไปมองสีหน้าของทุกคนด้วยสายตาหวาดระแวง “เสื้อผ้าดีถึงเพียงนี้จะยกให้ข้าจริงหรือ ? ”
เจ้าหนูน้อยเดินวนรอบตัวอีกฝ่าย หลังจากหัวเราะอย่างมีความสุขแล้วก็กล่าวว่า “เสื้อผ้าชุดนี้เล็กไปสำหรับข้า ในบ้านก็ไม่มีใครตัวเล็กกว่านี้อีก ไม่ให้เจ้าแล้วจะให้ใคร ! ”
“แต่…ถ้าต่อผ้าเพิ่มเข้าไปตรงปลายขากางเกงก็ยังสามารถนำมาใส่ได้นะ ! ” ความเป็นจริงแล้วสำหรับหนิวฮว๋าชุดนี้ก็ถือว่าเล็กอยู่พอสมควร ทว่าในสายตาของเขานี่ถือเป็นชุดดีที่สุดซึ่งเคยสวมใส่มา !
นางเฝิงมองแล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ที่บ้านข้ายังมีผ้าสีเดียวกันอยู่ อีกประเดี๋ยวเจ้าถอดออกมาก่อน ข้าจะปรับแก้ให้”
นางหวงก็กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในหีบของข้ายังมีผ้าอยู่สองสามพับ ประเดี๋ยวจะทำเสื้อผ้าสักชุดไว้ให้เจ้าใช้เปลี่ยน เมื่อเจ้ามาอยู่ในบ้านเราแล้ว จะไม่ให้เจ้ามีเสื้อผ้าไว้ใส่ก็คงไม่เหมาะสมหรอก”
ว่าอย่างไรนะ ? ทำเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ข้าหรือ ? นี่ข้าไม่ได้หูฝาดใช่หรือไม่ ? แม้เป็นเด็กจากครอบครัวฐานะดีในหมู่บ้านของข้าก็ยังได้เสื้อผ้าชุดใหม่เฉพาะฉลองวันปีใหม่เท่านั้น…ทันใดนั้นหนิวฮว๋าก็มีความรู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมา
เจียงโม่หานกล่าวกับเจ้าหนูน้อยว่า “ต่อไปเขาจะเป็นบ่าวรับใช้ของเจ้า ในชื่อของเขามีอักษรที่เหมือนกับของเจ้าอยู่ ตั้งชื่อใหม่ให้เขาสิ ! ”
เจ้าหนูน้อยมีดวงตาเป็นประกาย ริมฝีปากเปิดออก จากนั้นก็โบกไม้โบกมือด้วยความดีใจ “ข้าหรือ ? ข้าตั้งชื่อให้เขาได้หรือ ? ข้าต้องคิดให้ดีหน่อย ต้องตั้งชื่อที่ทั้งไพเราะและดูดีให้หนิวฮว๋า ! ”
จางหนิวฮว๋าไม่ต่อต้านการตั้งชื่อใหม่แม้แต่น้อย เด็กสาวที่หมู่บ้านของพวกเขาก็ถูกขายเป็นสาวใช้ให้เศรษฐีในเขตเริ่นอัน เจ้านายจึงเปลี่ยนชื่อให้เป็น ‘จุ้ยเอ๋อร์’ เมื่อนางกลับมาเยี่ยมครอบครัวก็ยังอวดชื่อใหม่ให้พวกพี่น้องทั้งหลายฟัง
การที่เจ้านายเปลี่ยนชื่อให้เขาก็หมายความว่ายอมรับในตัวเขาแล้ว ต่อไปเขาก็จะเป็นคนของบ้านเจ้านาย ไม่ถูกใครหน้าไหนด่าหรือทำร้ายโดยไร้ที่พึ่งเหมือนเด็กกำพร้าอีก !
หลังกระโดดโลดเต้นเสร็จแล้ว เจ้าหนูน้อยก็เริ่มคิดไม่ตก “ชื่ออะไรดี ? เสี่ยว…จ้วง ? ไม่ได้ เหมือนเสี่ยงจ้วงน้องชายที่เพิ่งคลอดของพี่ต้าจ้วง ชื่อต้าซาน ? ไม่ดี เหมือนว่าลุงของวังตงเฉียงก็ชื่อนี้…”
หลินจื่อเหยียนดึงผมจุกน้อยบนศีรษะของเขาแล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าไม่ได้เรียนคัมภีร์สามอักษรกับตำราพันอักษรแล้วหรือ ? สามารถเลือกคำที่มีความหมายดีมาตั้งชื่อให้เขาได้นี่ ! ”
“หยงอายุสี่ขวบ สามารถเลือกสาลี่…ข่งหยงอายุสี่ขวบก็เข้าใจในการเสียสละและมิตรภาพ อืม…เจ้าชื่อ ‘เสี่ยวร่าง’ ก็แล้วกัน” หลังครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ในที่สุดเจ้าหนูน้อยก็เลือกอักษรออกมาจากคัมภีร์สามอักษรได้
“เสี่ยวร่าง เสี่ยวร่างร่าง…” เจ้าหนูน้อยพูดซ้ำไปซ้ำมาสองสามครั้ง ยิ่งพูดเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกว่าชื่อนี้ตั้งได้ดีมาก หนิวฮว๋า…ไม่ใช่สิ สหายตัวน้อยจางเสี่ยวร่างก็พอใจมากเช่นกัน นายน้อยพูดแล้วว่าชื่อนี้หมายถึงการเสียสละและมิตรภาพ เป็นสิ่งที่เลือกออกมาจากตำรา เขาจึงรู้สึกว่าชื่อนี้ดูเลอค่าขึ้นมาทันที
หลินเว่ยเว่ยหยิบซี่โครงที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งออกมาแล้วประกาศว่า “เพื่อเป็นการต้อนรับที่เสี่ยวร่างมาอยู่กับบ้านเรา เย็นนี้ข้าจะทำข้าวเหนียวนึ่งซี่โครง ! ”
เจียงโม่หานเหลือบมองนาง…ไม่ได้ตกลงกันแล้วหรือว่าจะทำซี่โครงหมูผัดเปรี้ยวหวานให้ข้า ?
เพียงแค่สายตาของอีกฝ่าย หลินเว่ยเว่ยก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว นางหัวเราะแล้วกล่าวว่า “ซี่โครงหมูผัดเปรี้ยวหวานมีรสหวาน ตอนเย็นกินของรสหวานมากไปไม่ดี ! วันนี้ทำข้าวเหนียวนึ่งซี่โครงก่อน พรุ่งนี้ค่อยทำซี่โครงหมูผัดเปรี้ยวหวานดีหรือไม่ ? ”
ได้ อย่างไรก็ต้องได้ ! ผู้ใดให้คนทำอาหารเป็นเจ้าล่ะ ? ความสามารถด้านอื่นของเด็กคนนี้ถือว่าอยู่ในระดับธรรมดา ทว่าฝีมือในการทำอาหารถือว่าไม่เลวจริง ๆ ทันใดนั้นเจียงโม่หานก็เริ่มตั้งตารอคอย ‘ข้าวเหนียวนึ่งซี่โครง’
การทำข้าวเหนียวนึ่งซี่โครงนี้ ตัวข้าวที่ใช้นึ่งกับเนื้อและซี่โครงถือเป็นวัตถุดิบสำคัญ ชาติก่อนหลินเว่ยเว่ยทำงานในร้านอาหาร ข้าวเหนียวนึ่งซี่โครงถือเป็นเมนูเด็ดของเถ้าแก่เนี้ย ข้าวที่ใช้นึ่งก็ล้วนทำเองทั้งนั้น
ข้าวเหนียว ข้าวหอม โป๊ยกั๊ก พริกหม่าล่าล้วนถูกล้างด้วยน้ำสะอาด ( เนื่องจากไม่มีข้าวหอม หลินเว่ยเว่ยจึงได้แต่ใช้ข้าวขาวธรรมดาแทน ) หลังนำออกจากน้ำแล้วก็ผึ่งให้แห้งในสถานที่อากาศถ่ายเทภายในลานบ้าน
เจ้าหนูน้อยและเสี่ยงร่างบ่าวคนใหม่ของเขาแย่งกันจุดไฟ ไฟที่แผดเผาทำให้กระทะแห้งสนิท ข้าวเหนียว ข้าวขาวและขิงแผ่นถูกคั่วด้วยไฟอ่อนจนกระทั่งพวกมันมีสีเหลืองนวลค่อยใส่โป๊ยกั๊กและพริกหม่าล่าลงไปคั่วต่อ หลังรอให้ข้าวเป็นสีเหลืองทองแล้วก็ใส่เกลือลงไปเล็กน้อย จากนั้นพักให้เย็น
เจ้าหนูน้อยและเสี่ยวร่างได้กลิ่นหอมของการผัดข้าวจึงอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายลงคอ โดยเฉพาะเสี่ยวร่างที่ไม่ได้กินสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันมาหนึ่งวันเต็ม กระเพาะจึงส่งเสียงร้องอย่างต่อเนื่อง
เขาหน้าแดงและพยายามปกปิดหน้าท้องอันไม่เชื่อฟังของตนเพราะกลัวบรรดาเจ้านายจะคิดว่าตนตะกละแล้วไม่ต้องการกันอีก
เมื่อข้าวเย็นตัวแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็หยิบเครื่องเทศขึ้นมาให้เด็กทั้งสองคนละหนึ่งกำมือ ข้าวผัดหอมกรุ่นคลุกเครื่องเทศช่างผสานกันลงตัว เวลากินจะมีรสสัมผัสกรุบกรอบ นำมาทำเป็นขนมกินเล่นของเด็กก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว
เจ้าหนูน้อยลองกินสองคำ จากนั้นก็นำส่วนที่เหลือยกให้เสี่ยวร่างซึ่งร่อนเร่เป็นขอทานอยู่ข้างนอกได้เดือนกว่า สำหรับเขาแล้ว ข้าวผัดปริมาณน้อยแค่นี้อาจเป็นอาหารในหนึ่งวันหรือในช่วงสองสามวันเลยก็ว่าได้ เขาเห็นมันเป็นของมีค่าจึงค่อย ๆ หยิบเข้าปากทีละเม็ด
“หอมจังเลย ! นี่เป็นของอร่อยที่สุดเท่าที่บ่าวเคยกินมา ! ” แม้เป็นตอนที่บิดามารดายังอยู่ ในบ้านก็ไม่ค่อยมีของกินดี ๆ สักเท่าไร นี่เป็นข้าวขาวเชียวนะ ! ทันใดนั้นดวงตาของเสี่ยวร่างก็เริ่มร้อนผ่าว หลังกินข้าวผัดเสร็จแล้ว เขาก็ดื่มน้ำตามหนึ่งถ้วย ข้าวผัดในท้องบวมขึ้นเพราะน้ำ ความรู้สึกอิ่มท้องเช่นนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่กล้าจินตนาการถึงมาก่อน
อีกด้านหนึ่ง ข้าวที่ผัดกับเนื้อก็ทำเสร็จแล้ว หลินเว่ยเว่ยจึงเริ่มทำซี่โครงต่อ นางนำซี่โครงที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งออกมาตัดแบ่งเป็นชิ้นขนาดประมาณ 3 หลีหมี่ จากนั้นนางก็เริ่มปอกเปลือกมันเทศแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ
ซอสพริกถั่วปากอ้าทำเอง ซอสถั่วเหลือง กระเทียมสับ น้ำข้าวหมัก น้ำตาลเล็กน้อย เกลือและน้ำมันถูกคลุกผสมรวมกับซี่โครง เมื่อส่วนผสมเข้ากันดีแล้วก็ราดบนข้าวผัด จากนั้นคลุกเคล้าให้ทุกอย่างเข้ากัน
หลังใส่มันเทศเป็นฐานลงในหม้อนึ่งแล้วค่อยวางข้าวคลุกซี่โครงลงไปอีกชั้นแล้วนึ่งด้วยไฟแรงประมาณครึ่งชั่วยาม เมื่อยกออกจากเตาก็โรยหน้าด้วยต้นหอมซอยอีกที สุดท้ายข้าวเหนียวนึ่งซี่โครงก็เป็นอันเสร็จสมบูรณ์ !
ตอนต่อไป