หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 218 บุรุษขึ้นชื่อว่า ‘ปากไม่ตรงกับใจ’
ตอนที่ 218 บุรุษขึ้นชื่อว่า ‘ปากไม่ตรงกับใจ’
ตอนที่ 218 บุรุษขึ้นชื่อว่า ‘ปากไม่ตรงกับใจ’
หลินเว่ยเว่ยหุบปากแล้วพยายามเงี่ยหูฟัง แต่ได้ยินเพียงเสียงลมและนกร้อง นางจึงหันไปมองบัณฑิตหนุ่มด้วยความรู้สึกขอโทษและเห็นอกเห็นใจ…หนุ่มคนนี้เริ่มหลอนแล้วสินะ !
“เจ้าฟังสิ มีคนกำลังเรียกชื่อเจ้าอยู่จริง ๆ ! น่าจะเป็นหลีชิงที่สังเกตเห็นความผิดปกติแล้วขึ้นเขามาตามหา ! ” ในที่สุดคิ้วของเจียงโม่หานก็คลายออก แม้มีสิ่งสกปรกบนใบหน้าก็ไม่อาจปกปิดรูปโฉมอันโดดเด่นเหนือผู้ใดของเขาได้
หลินเว่ยเว่ยถอนหายใจ “บัณฑิตน้อย มา เจ้ามานั่งพักบ้าง เหนื่อยจนหลอนไปหมดแล้ว อย่าเพิ่งสิ้นหวังเชียว นึกถึงความฝันของการได้อยู่เหนือคนนับหมื่นแต่อยู่ใต้คนผู้เดียวของเจ้าสิ มันกำลังรอให้เจ้าทำสำเร็จอยู่นะ ! ”
“ผู้ใดหลอน ? เจ้าพูดเรื่องอันใด ? เจ้าคงกังวลว่าข้าจะเป็นอะไรไป แล้วไม่ได้เป็นฮูหยินโฉวฝู่กระมัง ? ” เจียงโม่หานโดนนางยั่วโทสะจนยิ้มออก ช่างเถิด อีกประเดี๋ยวก็ได้หลุดพ้นแล้ว ข้าจะไม่ถือสาเจ้า !
“ข้าว่านะ บัณฑิตน้อย ! มนุษย์ควรมีความมั่นใจในตนเองแต่ไม่ควรทำตัวอวดดีเกินไป เจ้าก็ดูไม่ใช่คนหลงตัวเอง แล้วเหตุใดจึงกล้าจินตนาการไปเสียทุกอย่าง ? โฉวฝู่ ? ถ้าโชคดีแล้วบางทีคงรอให้เจ้ามีเคราขาวถึงจะไปถึงจุดนั้นได้ ทว่าตำแหน่งฮูหยินโฉวฝู่นี้ ข้าไม่กล้าหวังหรอก เจ้าไปเชิญคนที่สูงส่งกว่านี้เถิด ! ” หลินเว่ยเว่ยยกมุมปากขึ้นและดูถูกเหยียดหยามเล็กน้อย
เด็กตัวแสบคิดจะเล่นลูกไม้อันใดอีก ? แสร้งปล่อยเพื่อจับหรือ ? ไม่กล้าหวังตำแหน่งฮูหยินโฉวฝู่ แล้วคนที่คอยคิดหาสารพัดวิธีเพื่อล่อลวงเขาคือใครกัน ? พอเขายอมแต่งด้วยก็มาเล่นตัว
“รู้หรือไม่ว่าการปฏิเสธของเจ้าจะทำให้ตัวเจ้าสูญเสียสิ่งใดไปบ้าง ? ” เจียงโม่หานเตือนนางอย่างไม่สบอารมณ์
หลินเว่ยเว่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจ “รู้สิ !…ชายผู้สง่างามไร้ใครเปรียบ สามีที่มีรูปโฉมงดงามหล่อเหลาชนิดหลุดโลกคนหนึ่ง ! น่าเสียดายจริง ๆ นั่นแหละ…”
ทว่าทันใดนั้นดวงตาเสี้ยวพระจันทร์ของนางก็เปล่งประกาย นางเงยหน้ามองไปด้านบนแล้วตะโกนไปที่หน้าผา “เฮ้…พวกเราอยู่นี่ ! บัณฑิตน้อย ฟังสิ เป็นเสียงพี่ใหญ่หลีชิง ! พวกท่านแม่มาตามหาเราแล้ว ! ”
เจียงโม่หานรีบเข้ามาสวมกอดนางเพราะกลัวนางจะดีใจจนอยู่ไม่สุขแล้วตกหน้าผา พี่ใหญ่หลีชิง ! เรียกอย่างสนิทสนม ใบหน้ารูปไข่อันหล่อเหลาของเจียงโม่หานเปื้อนไปด้วยความหงุดหงิด “เจ้าจำแซ่หลีได้แม่นยำเหลือเกิน ! เก็บแรงไว้หน่อย ตอนนี้เจ้าตะโกนจนคอแตกพวกเขาก็ไม่ได้ยินหรอก ! ”
หลินเว่ยเว่ยเข้าไปพิงไหล่อีกฝ่ายพลางคอยฟังเสียงครอบครัวตะโกนเรียกชื่อเงียบ ๆ ขณะที่เสียงค่อย ๆ เด่นชัดขึ้น นางก็เริ่มแสบจมูกและมีน้ำตาไหลรินอาบหน้า ! ดีเหลือเกิน ! นางกับบัณฑิตหนุ่มมีคนมาช่วยแล้ว !
“เด็กตัวแสบ เจ้า…ร้องไห้หรือ ? ” เจียงโม่หานสังเกตเห็นเสื้ออันเปียกชื้นที่ไหล่ของตน ทันใดนั้นน้ำเสียงของเขาก็อ่อนลง
หลินเว่ยเว่ยสูดจมูก ฮือฮือฮือ จากนั้นนางก็กล่าวพร้อมร้องไห้ “ในใจข้ากลัวมาก ! ตอนที่พวกเราตกลงมาจากข้างบน ข้าตกใจจนจะตายอยู่แล้ว ข้างล่างก็ลึกถึงเพียงนี้ สภาพตอนตกไปตายเกรงว่าศพไม่สวยแน่ บัณฑิตน้อย เจ้ารูปงามมากหากกลายเป็นกองเลือด ข้าคงให้อภัยตนเองไม่ได้…”
เจียงโม่หานถึงขั้นหมดคำพูด
“เลิกร้องได้แล้ว ตอนนี้เราก็ยังอยู่กันดีไม่ใช่หรือ ? ” เจียงโม่หานช่วยเช็ดน้ำตาให้นางอย่างเก้อเขิน เขาไม่เคยมีประสบการณ์ปลอบเด็กผู้หญิงที่อารมณ์อ่อนไหวมาก่อน
“ฮือฮือฮือ…ข้า…ขาแข็งจนงอไม่ไหวแล้ว มือก็เจ็บมาก แขนก็เจ็บมากเหมือนกัน…” หลินเว่ยเว่ยร้องไห้เหมือนเด็กอายุสิบสี่สมวัย
เจียงโม่หานตบแผ่นหลังนางเบา ๆ พลางพูดปลอบด้วยเสียงอ่อนโยน “ไม่เป็นไร ประเดี๋ยวก็ได้ขึ้นไปแล้ว พอกลับไปก็ให้หมอเหลียงสั่งยาดีที่สุดให้เจ้า คราวก่อนตอนที่ข้าโดนงูกัด ยาที่เจ้าเอากลับมาด้วยก็ใช้ดีเหมือนกัน พอทาแล้วก็จะไม่เจ็บอีกเลย”
คาดไม่ถึงว่าเด็กน้อยที่ปกติไม่เคยมีสิ่งใดสามารถเอาชนะนางได้ ก็มีด้านที่อ่อนแอเช่นกัน เจียงโม่หานจึงตระหนักได้ว่านางก็เป็นเพียงเด็กน้อยอายุ 14 ปีคนหนึ่งเท่านั้น…ในความเป็นจริงแล้วท่าทางร้องห่มร้องไห้ของเด็กน้อยก็ดูน่ารักไม่หยอก !
“ฮือฮือฮือฮือ…” หลินเว่ยเว่ยไม่อยากร้องไห้แต่ทำอย่างไรมันก็ไม่ยอมหยุด “เจ้าห้ามหัวเราะ ข้าก็แค่ดีใจที่เราจะรอดไปได้ ! ”
“อืม ไม่หัวเราะเจ้าหรอก ! ไม่รู้สึกว่าเจ้าใช้สำนวนได้คล่องแคล่วขึ้นหรือ ? ” เจียงโม่หานลองเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
หลินเว่ยเว่ยสูดจมูก “คล่องแคล่วอันใดกัน ? แค่ที่บ้านมีบัณฑิตน้อยสองคน ข้าน่ะเป็นคนฉลาด พอได้ยินบ่อยครั้งจึงจำได้หมดเท่านั้นเอง”
“เท่าที่รู้คือข้ากับจื่อเหยียนไม่ได้เป็นคนชอบพูดสำนวน ! ” เจียงโม่หานจงใจเอ่ย
หลินเว่ยเว่ยใช้ดวงตากระต่ายสีแดงอ่อนจ้องอีกฝ่าย “แต่ในบางครั้งพวกเจ้าก็ยังหลุดพูดหนึ่งหรือสองประโยค แค่พวกเจ้าไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง ที่เจ้าพูดหมายความว่าอย่างไร ? เหตุใดเจ้าไม่ถามว่าข้าไปเรียนสำนวนมากจากใครดีกว่า ? ”
“ท่าทางมั่นอกมั่นใจของเจ้ากำลังพยายามปกปิดความผิดของตน ! ” เจียงโม่หานใช้สำนวนที่เอาไว้พูดแทงใจดำ
ทันใดนั้นหลินเว่ยเว่ยก็ชี้มาที่เขา “เจ้าดูเถิด ตอนนี้เจ้าก็ไม่ได้ใช้สำนวนแล้วหรือ ? อีกอย่างนะ การที่ข้าเรียนสำนวนมาจากไหนเป็นเรื่องสำคัญหรือไร ? ”
“สำคัญหรือไม่ก็ต้องดูที่สถานการณ์ ! ” หากเจ้าเป็นภรรยาข้า ไม่ว่ามีที่มาอย่างไร ภายใต้จมูกข้าผู้นี้ เจ้าก็อย่าหวังจะได้เล่นลูกไม้ทั้งสิ้น ถ้าเจ้ายังยืนกรานไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานของพวกเรา…เช่นนั้นข้าก็จะไม่ยอมให้ตัวแปรสำคัญอยู่ห่างจากสายตาเด็ดขาด !
อือ ! เจียงโม่หานพอใจในคำตอบนี้มาก เพราะดูเหมือนเขาจะหาข้อแก้ตัวดี ๆ ได้หลังจากที่อยากแต่งงานกับหลินเว่ยเว่ยขึ้นมาเสียดื้อ ๆ บุรุษขึ้นชื่อว่า ‘ปากไม่ตรงกับใจ’ ที่สุดแล้ว
นางเฝิงกำลังประคองนางหวงพลางเดินหอบหายใจขึ้นมาบนยอดเขา เพราะกลัวนางหวงจะร้อนใจจนเป็นอะไรขึ้นมา นางเฝิงจึงกลั้นความกังวลในใจเอาไว้พลางปลอบว่า “ไม่ต้องกังวล ! เด็กทั้งสองดวงแข็ง พวกเขาไม่เป็นไรหรอก ! ”
นางหวงหอบหายใจพลางพยักหน้ารับ จากนั้นก็ถามเสี่ยวฉาวน้องชายของซัวถัวว่า “เจ้าเห็นเว่ยเว่ยขึ้นเขาลูกนี้มาจริงหรือ ? ”
เสี่ยวฉาวพยักหน้าด้วยความมั่นใจ “ใช่ ! วันนี้ไม่มีอะไรทำ ข้ากับเด็กในหมู่บ้านอีกสองสามคนจึงมาเก็บฟืนที่หลังเขา พี่รองหลินแบกกระบุงเดินผ่านพวกเราไป ข้าถามว่าจะไปไหนนางก็บอกว่าจะไปดูที่ยอดเขา”
นางหวงเดินวนรอบยอดเขาด้วยความวิตกกังวล “ยอดเขากว้างแค่นี้แล้วเงาคนอยู่ที่ใด ? คง…คงไม่ได้เจอสัตว์ร้ายใช่หรือไม่ ? ”
หลีชิงก้มมองเพื่อตรวจสอบอย่างละเอียด ทันใดนั้นเขาก็พบร่องรอยบางอย่าง “ที่นี่เคยมีมนุษย์ผ่านมาจริง ๆ…”
“เจ้ารอง เจ้าอยู่ที่ใด ? เจ้าอยู่ที่ไหน ? ขานรับแม่หน่อย” น้ำเสียงของนางหวงแหบพร่า เสียงที่ฟังอ้างว้างของนางสะท้อนก้องไปทั่วหุบเขา
“ท่านแม่…หน้าผา…” ภายใต้สายลมแรง เสียงจึงดังอย่างไม่ต่อเนื่อง
ทันใดนั้นนางหวงก็เหมือนคนที่โดนฉีดเลือดไก่เข้าเส้นเลือด ราวกับความเหนื่อยล้าบนร่างกายจางหายไปทันที “เจ้ารอง…เว่ยเว่ย…เจ้าอยู่ที่ไหน ? ”
“…ใต้หน้าผา…”
หลีชิงตั้งใจฟัง ในที่สุดก็ฟังออกบางคำจึงรีบมาที่ริมหน้าผา “นี่คือกระบุงของเว่ยเว่ย…แล้วยังมีตำราของบัณฑิตเจียง ! ”
สีหน้าของนางเฝิงเปลี่ยนไปทันที นางพูดด้วยความกระวนกระวายใจ “เด็กทั้งสอง…คงไม่ได้ตกลงไปกระมัง ? ”
เสี่ยวฉาวมองไปยังก้นเหว มันลึกจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดและทำให้ตาลายไปเสียหมด “หน้าผาสูงชันมาก ถ้าตกลงไปล่ะก็ไม่มีทางรอดแน่นอน”