หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 247 ใครตาบอดมาชอบนาง
ตอนที่ 247 ใครตาบอดมาชอบนาง ?
เจียงโม่หานได้รู้จากปากของมารดาว่านางหวงเป็นกังวลเรื่องการออกเรือนของบุตรสาวคนโตมาก ! ก่อนที่หลินเว่ยเว่ยจะหายเป็นปกตินั้น ตระกูลหลินยากจนข้นแค้น แม้แต่ข้าวถ้วยเล็กก็ยังต้องแบ่งกันกิน คนในบ้านเริ่มอ่อนแอลงเรื่อย ๆ ตัวก็เล็ก ปัญญาก็เขลา ครอบครัวเช่นนี้ถือว่าเป็นภาระมากทีเดียว จึงไม่มีผู้ใดมาสู่ขอ
ทว่าหลังจากที่ตระกูลหลินมั่งคั่งร่ำรวยขึ้นก็มีคนมาสู่ขอบุตรสาวคนโตมากขึ้น ส่วนใหญ่ก็หวังแค่ทรัพย์สมบัติของตระกูลหลินทั้งนั้น มีบางคนถึงขั้นรุดหน้าเข้ามาถามว่าเนื้อแผ่นสร้างเงินได้มากมายเพียงใด โรงงานแปรรูปขายได้ในจำนวนเท่าไหร่ต่อหนึ่งวัน นางหวงจึงไม่กล้ายกบุตรสาวคนโตให้โดยง่าย ตอนนี้บุตรสาวคนรองก็หมั้นหมายแล้ว ทว่าบุตรสาวคนโตยังไร้วี่แวว นางหวงจึงเป็นกังวลจนผมกลายเป็นสีขาว…
แม้ว่าเผิงหยูเหยี่ยนผู้นี้จะโง่เขลาไปบ้าง แต่ไม่ได้มีนิสัยแย่เหมือนบุตรหลานตระกูลร่ำรวยคนอื่นและไร้เล่ห์เหลี่ยมให้ระวังด้วย ชาติที่แล้วก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยและยังไม่ได้แต่งงาน หากยกบุตรสาวคนโตให้คนผู้นี้ก็ถือว่าไม่เลว…
เฮอะเฮอะ แล้วเขาเป็นอันใดไปอีก ? มีความสัมพันธ์กับเด็กโง่มาตั้งนานจนติดนิสัยสามนางหกแม่1พูดเรื่องแต่งงานแทนผู้อื่นขึ้นมาเสียได้ !
ไอหยา ! ในเมื่อหมั้นหมายกับเด็กน้อยไปแล้ว เรื่องการออกเรือนของพี่สาวนางก็ต้องดูแลเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นพี่สาวคนโตหรือหลินจื่อเหยียน ในภายภาคหน้าไม่ว่าเดินในสายอาชีพใดก็ต้องคอยดูแลไม่ให้โดนเอาเปรียบได้ !
“ศิษย์พี่เผิง ผู้ที่อยู่ในชุดคลุมตัวยาวสีฟ้าอ่อนก็คือนาง ! ” ถ้อยคำของเจียงโม่หานทำให้คนอื่นพากันเบิกตากว้างเท่าไข่ห่านยิ่งกว่าเดิม ! ไม่ใช่หรอกกระมัง…ปกติสหายเจียงเป็นผู้ที่ให้ความสำคัญต่อเรื่องมารยาทและธรรมเนียมมากไม่ใช่หรือ ?
เพราะมีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้นในบ้าน บุตรสาวคนโตของตระกูลหลินจึงแต่งกายค่อนข้างพิเศษโดยสวมกระโปรงคลุมยาวที่ตัดเย็บใหม่ บนศีรษะแต่งแต้มด้วยปิ่นประดับลูกปัดรูปดอกไม้ที่น้องรองเคยให้ไว้ สองสามเดือนที่ผ่านมานี้นางได้กินอิ่มนอนหลับ ทั้งยังไปเรียนทอผ้ากับย่าหลิวโดยไม่ต้องตากแดดตากลมให้เหนื่อย ผิวกายก็ได้รับการบำรุงจนขาวผุดผ่อง กอปรกับที่นางมีหน้าตางดงามอยู่แล้ว จึงถือว่ายิ่งอ่อนหวานมากกว่าเดิม !
“พรุ่งนี้ข้าจะให้ท่านแม่มาสู่ขอนาง ! ” เผิงหยูเหยี่ยนพลันนึกถึงประโยคหนึ่งในตำราขึ้นมาได้ ‘มือสตรีนั้นบอบบาง ผิวขาวเนียนละเอียด อวบอิ่มดุจตัวด้วง ฟันคมดุจนอแรด ขนตางอนยาว หน้าผากกว้างเปิดโหงวเฮ้ง รอยยิ้มงดงามชวนหลงใหล ดวงตากลมโตงดงามอย่างไร้ที่ติ…’
เขาคีบหมูนึ่งข้าวคั่วขึ้นมาอีกหนึ่งชิ้น นั่นยิ่งทำให้เขามั่นใจมากขึ้นว่าสตรีนางนี้คือคนที่ตามหามาตลอดครึ่งชีวิต !
เจียงโม่หานยิ้มพร้อมชนจอกสุรากับเขา “ศิษย์พี่เผิงอย่าใจร้อนไปเลย เรื่องนี้ท่านควรถามความเห็นของคนในครอบครัวเสียก่อน ! ท่านกลับบ้านไปลองหยั่งเชิงคนในครอบครัวก่อนเถิด…”
“น้องรัก ครอบครัวของข้าไม่มีปัญหา แต่ไม่รู้ว่านางจะชอบข้าหรือไม่…ข้ารู้ว่านอกจากตนจะบ้าตำราแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดโดดเด่นสักอย่าง เรียนก็ไม่ได้เก่งเหมือนสหายท่านอื่น…แต่ท่านพ่อและพี่ชายเคยกล่าวไว้ว่าหลังจากที่ข้าแต่งงานแล้วจะแบ่งที่ดิน 80 หมู่ ร้านค้าในเขตฝูอันจำนวน 5 ร้าน ที่ดินก็ให้ผู้เช่าดูแลไป ร้านก็ปล่อยเช่า ไม่มีทางให้กู่เหนียงตามมาลำบากกับข้าเด็ดขาด ! ” เผิงหยูเหยี่ยนตะโกนบอกทรัพย์สินของตนอย่างสั่นสะท้านด้วยความรีบร้อนเพื่อแสดงความจริงใจ
เจียงโม่หานพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “ตกลง ! พรุ่งนี้ข้าจะช่วยถามแทนท่านแล้วกัน ! ”
“เช่นนั้นต้องรบกวนสหายเจียงน้องข้าแล้ว ! ” เผิงหยูเหยี่ยนดีใจราวกับได้อ่านตำราดี ๆ ถึง 2 เล่ม เขายื่นตะเกียบออกไปที่จานหมูตุ๋นน้ำแดง ฝีมือการทำอาหารของพี่สาวว่าที่น้องสะใภ้ไม่เลวเลย หากได้สตรีเช่นนี้มาเป็นศรีภรรยา คงโชคดีไปทั้งชาติ !
หลิ่วจงเทียนชูจอกสุราขึ้นสูง “เรื่องนี้ต้องสำเร็จเป็นแน่ ศิษย์พี่เผิงและสหายเจียงก็จะได้เป็นพี่เขยน้องเขย ต่อไปถ้าอยากขอคำชี้แนะก็สะดวกยิ่งขึ้น ! ”
ดวงตาของเผิงหยูเหยี่ยนเปล่งประกาย จริงสิ ! เหตุใดเขานึกไม่ถึงจุดนี้ ? ช่างน่าปีติยินดี น่าปีติยินดีอย่างยิ่ง !
ด้านเจียงโม่หานแสดงสีหน้าบึ้งตึง เอ่อ ! เผิงหยูเหยี่ยนมีฐานะปานกลาง เขาคงไม่สร้างปัญหาให้ข้า…ใช่หรือไม่ ?
พวกเขาดื่มกินอย่างสนุกสนาน ตั้งแต่เริ่มกินอาหารรสเลิศไปจนถึงสนทนากันเรื่องบทความ พูดคุยกันถึงเรื่องการสอบ ในระหว่างที่เมามายไม่ได้สติและกำลังมีความสุขนั้น พวกเขาก็ยังมีอารมณ์สุนทรีประพันธ์บทกวีอีกด้วย จากนั้นก็วิพากษ์วิจารณ์ผลงานซึ่งกันและกัน ในลานกว้างของบ้านตระกูลหลินนั้น ผู้ที่มาช่วยงานกลับไปหมดแล้ว สหายของเจียงโม่หานเพิ่งจะกล่าวลาอย่างอาลัยอาวรณ์ ในตอนที่แยกย้ายนั้นทุกคนพากันหอบเอาคุ้กกี้ในโถกระเบื้องเคลือบหนึ่งชุดและหมูแผ่นหนึ่งห่อติดไม้ติดมือไปด้วย แน่นอนว่าการกินไปพลางเดินไปด้วย ช่างไม่สมกับเป็นบัณฑิตเอาเสียเลย !
ผู้ที่ว่างงานก็แยกย้ายกันหมดแล้ว หลินเว่ยเว่ยจึงเดินออกมาจากห้องได้ในที่สุด จากนั้นก็รุดหน้าเข้าไปเอ่ยถามเจียงโม่หานด้วยความสนใจว่า “สหายของเจ้าคิดว่าตนเป็นยอดกวีหลี่ไป๋หรือ ตั้งใจจะท่องบทกวีเป็นร้อยรอบหรืออย่างไร ? โดยเฉพาะอย่างยิ่งชายหนุ่มที่สวมชุดยาวสีเทาผู้นั้น ทั้งยังตาเหล่ข้าง…”
เจียงโม่หานถามกลับด้วยความแปลกใจ “ตาเหล่ ? เจ้าเข้าใจผิดแล้ว เขาก็มองเห็นได้ปกติ ! ”
“ไม่ตาเหล่หรอกหรือ ? เหตุใดเขาถึงได้มองเข้าไปในลานกว้าง ? ตอนที่จะกลับนั้นสายตาของเขาก็ยังไม่วายเหล่มองอีกหลายรอบ” หลินเว่ยเว่ยอึดอัดใจอยู่ภายในห้อง นางมองไปในลานกว้างผ่านหน้าต่างห้องของตน ส่วนห้องของหลินจื่อเหยียนอยู่ตรงข้ามกันซึ่งมองเห็นเรื่องราวและคนภายในห้องอย่างชัดเจน
“หลินเสี่ยวเว่ย อย่าเที่ยววิจารณ์เรื่องมีมารยาทหรือไม่มีมารยาทอีกเลย เจ้าก็กำลังจ้องชายหนุ่มกลุ่มหนึ่ง เจ้าคิดว่าเหมาะสมหรือไม่ ? ” เจียงโม่หานมองนางอย่างหมดคำพูด
“เฮ้ เฮ้ เฮ้ ! สถานะของเราสองคนเปลี่ยนไปแล้ว เหตุใดจะต้องทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วย ? ” หลินเว่ยเว่ยยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาเท้าสะเอวเพื่อแสดงความหัวรั้นอย่างชัดเจน
เจียงโม่หานโกรธพร้อมดึงผมเปียของนางพลางกล่าวว่า “วันมงคล ทว่าเจ้ากลับแสดงกิริยาเช่นนี้ออกมา จะชวนทะเลาะใช่หรือไม่ ? ”
หลินเว่ยเว่ยมองพิจารณาเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ชะ…ชวนทะเลาะ ? เจ้าชักจะดูถูกข้าเกินไปแล้ว !
เจียงโม่หานเห็นท่าทางการมองของนางแล้วถึงขั้นพูดไม่ออก
เจ้าเด็กอัปลักษณ์ ! ไม่โกรธ ไม่โกรธ ! นี่คือคู่หมั้นที่เขาเป็นคนเลือกเอง !
หลินเว่ยเว่ยมองบัณทิตหนุ่มที่หันหลังและเดินจากไป “เจ้าจะไปที่ใด ? ”
“ไปหาป้าหวง ! ” เจียงโม่หานทิ้งท้ายด้วยประโยคนั้นแล้วเดินต่อไปโดยไม่หันกลับมาอีก
“ทำไม ? จะไปฟ้องหรือ ? ไม่เห็นต้องทำเช่นนี้เลย ! ” หลินเว่ยเว่ยสาวเท้าตามไป นางก้าวเท้าเสียกว้างจนเกือบจะเหยียบชายกระโปรงของตนเลยทีเดียว
เจียงโม่หานพลิกมือแล้วยื่นไปประคองตัวนางไว้ “ใครบอกว่าข้าจะไปฟ้อง ? ทำตัวเป็นเด็กอยู่ได้ ! ”
หลินเว่ยเว่ยฉีกยิ้มเผยให้เห็นฟันขาว “ขอบใจ ว่าที่สามี ! ”
เมื่อได้ยินนางเรียกเช่นนี้ มุมปากของเจียงโม่หานก็โค้งมากขึ้น จากนั้นก็ยื่นมือออกไปบีบใบหน้าซาลาเปาเล็ก ๆ ของนาง “ระวังหน่อยสิ ว่าที่ภรรยาของข้า ! ”
“ชิ ! จะกินเนื้อหรือไม่ ! ” บุตรสาวคนโตตระกูลหลินยกจานใบหนึ่งแล้วเดินออกมาจากห้องทิศตะวันออก จากนั้นก็จ้องเขม็งและส่งยิ้มโง่ ๆ ให้บ่าวสาวคู่ใหม่นี้ “ถอยไป อย่าขวางทาง ! ”
“พี่ใหญ่ ข้าไม่อยากลดตัวลงมาทะเลาะ เพราะรู้ว่าเจ้าอิจฉาที่ข้ามีสามีแต่ตนเองไม่มี ! ” หลินเว่ยเว่ยควงแขนบัณฑิตหนุ่ม ตั้งใจเอียงศีรษะอิงแอบแนบชิดบนไหล่กว้างของเขา “หืม ? บัณฑิตน้อย เจ้าสูงขึ้นอีกแล้ว ! ”
“ข้าอายุเท่านี้แล้ว ไม่สูงขึ้นสิแปลก” เจียงโม่หานหรี่ตามองนาง ในตอนที่กลับมาเกิดใหม่ เขาสูงเท่าศีรษะนางเท่านั้น ตอนนี้สูงกว่านางไป 4 ชุ่นแล้ว ระดับความสูงนี้เขาพอใจเป็นอย่างยิ่ง ! “ไม่แน่ว่าบางทีพี่สาวเจ้าอาจเลิกอิจฉาน้องสาวในเร็ววันนี้ก็ได้ ! ”
“หมายความว่าอย่างไร ? มีคนอยากมาทาบทามพี่สาวของข้าหรือ ? ” หลินเว่ยเว่ยดีใจทันที “ใครตาบอดมาชอบนาง…”
1 สามนางหกแม่ หมายถึง กลุ่มหญิงสูงวัยที่ชอบนินทาและยุ่งเรื่องชาวบ้าน