หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 279 วัวแก่เคี้ยวหญ้าอ่อน
ตอนที่ 279 วัวแก่เคี้ยวหญ้าอ่อน ?
คราวนี้กว่าจะได้ใช้ข้ออ้างออกมาฉลองวันคล้ายวันเกิดให้เจียงโม่หานไม่ใช่เรื่องง่าย ในที่สุดเขาก็ได้ออกมาเดินเล่นเพื่อผ่อนคลายอารมณ์สักที เพิ่งเดินเข้าประตูบ้านตระกูลหลินมาก็ได้กลิ่นหอมหวนของเค้กและยังมีกลิ่นหอมเข้มข้นของหมูหันอีกด้วย…เผิงหยูเหยี่ยนรู้สึกว่าประสาทสัมผัสทั้งหมดในร่างกายตื่นตัวขึ้นมาทันที นี่ต่างหากถึงจะเป็นสวรรค์บนดินที่เขาโหยหามาโดยตลอด
หลินจื่อเหยียนช่วยว่าที่พี่เขยต้อนรับสหาย พวกเมิ่งจิ่งหงเดินตามหลังเข้ามาในห้องซึ่งโต๊ะริมหน้าต่างเต็มไปด้วยบทความที่เขาเอาเขียนไว้ ด้านบนยังมีคำชี้แนะและคำวิพากษ์วิจารณ์ของเจียงโม่หานเขียนกำกับไว้ด้วย
หลังขออนุญาตหลินจื่อเหยียนแล้ว หลิ่วจงเทียนก็หยิบมาอ่านอย่างละเอียดพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงตกใจ “ศิษย์น้องหลิน เจ้าก้าวหน้ามาก ! ” เมื่ออ่านคำชี้แนะและคำวิพากษ์วิจารณ์ของเจียงโม่หานแล้ว เขาก็คิดว่าข้างกายมีคนชี้แนะเช่นนี้อยู่ ไม่ก้าวหน้าสิถึงจะแปลก !
พอเผิงหยูเหยี่ยนได้ยินเช่นนั้นก็รับบทความมาจากมือหลินจื่อเหยียนแล้วอ่านไปพลางพยักหน้าไปด้วย ทันใดนั้นก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจ…หลินจื่อเหยียนก้าวหน้าได้ถึงเพียงนี้ด้วยเวลาสั้น ๆ เพียงสองเดือน ถ้าเขามาที่นี่แล้วศึกษากับศิษย์น้องเจียงก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะประสบความสำเร็จไปกว่าครึ่งแล้วหรือ ?
หอคอยใกล้น้ำได้หมายจันทร์ก่อน เขาเองก็จะสามารถเห็นหน้าคู่หมั้นบ่อย ๆ และได้กินอาหารกับขนมฝีมือนางด้วย เพื่อของกินแล้ว เขาก็สู้สุดชีวิตเช่นกัน !
กลิ่นหอมชวนหิวเริ่มอบอวลขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้บัณฑิตไม่กี่คนในห้องชะโงกหน้ามองออกไปด้านนอก หลินจื่อเหยียนจึงแนะนำ “อาหารหลักในวันนี้คือหมูหัน เพื่อทำอาหารจานนี้แล้ว พี่รองเตรียมถ่านจากต้นผลไม้ตั้งแต่เมื่อวาน หมูหันที่ย่างด้วยถ่านนี้จะมีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ ! ”
ถ้อยคำของหลินจื่อเหยียนอยากเผยให้รู้ว่า วันนี้พวกเจ้ามีลาภปากแล้ว ! ตั้งแต่พี่รองสอนพี่ใหญ่ทำอาหาร นางก็เข้าครัวทำเองน้อยมาก…แต่ก็เป็นเพราะพี่รองงานยุ่งเกินไปด้วย !
ระหว่างสนทนากันอาหารด้านนอกก็ถูกจัดเตรียมเสร็จหมดแล้ว หลินจื่อเหยียนจึงเชิญทั้งสามคนมาร่วมโต๊ะอาหาร
เดิมทีเค้กวันเกิดจะถูกเก็บไว้ตอนกลางคืนเพราะจุดเทียนตอนกลางคืนย่อมสร้างบรรยากาศให้ดีขึ้นอีกหน่อย ทว่าสหายทั้งสามของบัณฑิตน้อยเดินทางมาไกลและต้องกลับในช่วงบ่าย หลินเว่ยเว่ยจึงยกเค้กสามชั้นออกมา
“นี่คืออะไร ? ” พวกเผิงหยูเหยี่ยนรู้สึกเหมือนตนเป็นเด็กบ้านนอกเข้าเมืองหลวง แต่ละคนต่างอ้าปากตาค้างมองเค้กสามชั้นที่มีสีสันเด่นสะดุดตา รอบข้างรายล้อมไปด้วยบุปผา งดงามยิ่งกว่าสิ่งใดและปล่อยแสงเปล่งประกายชวนชิมออกมา
เจ้าหนูน้อยอธิบายให้พวกเขาฟัง “นี่คือเค้กวันเกิด ดอกไม้เหล่านี้ล้วนทำมาจากครีม ทั้งดูดีและอร่อย ! ”
“เจ้านี่…กินได้จริงหรือ ? ” นี่มันสวยเกินไปหน่อย ราวกับดอกไม้จริงไม่ผิดเพี้ยน แล้วจะให้กล้าทำลายความงดงามดั่งฤดูใบไม้ผลิได้อย่างไร ?
“สุขสันต์วันเกิด บัณฑิตน้อย ! ” คำเรียกนี้แค่มองก็รู้ว่าคู่หมั้นศิษย์น้องเจียงเป็นคนทำให้เขากับมือ ว้าว ! ช่างเป็นของขวัญที่พิเศษยิ่งนัก หาจากที่ใดบนโลกไม่ได้แล้วกระมัง…มีเพียงชิ้นเดียวถึงจะล้ำค่าที่สุด !
หลินเว่ยเว่ยยังเตรียมเทียนสีไว้อีกหนึ่งชุด เนื้อของเทียนเนียนละเอียด ด้านล่างยังมีกระดาษน้ำมันหนึ่งชั้นเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำตาเทียนหยดไปบนหน้าเค้ก จากนั้นนางก็เริ่มจุดเทียน 15 เล่ม…ไอหยา บัณฑิตน้อยเพิ่งเป็นเด็กอายุ 15 ปี ! ชาติก่อนนางอายุตั้ง 22 ปีเข้าไปแล้ว เรียกว่าวัวแก่เคี้ยวหญ้าอ่อนหรือไม่ ? ใช่ ใช่ ยังไม่ได้กินย่อมไม่ถือว่าผิดกฎหมาย !
“มา มาร้องเพลงอวยพรวันเกิดพร้อมกันเพื่ออวยพรให้เจ้าของวันเกิด…สุขสันต์วันเกิด …” ตอนแรกเริ่มยังมีหลินเว่ยเว่ยคนเดียวที่ร้อง ทว่าต่อจากนั้นเจ้าหนูน้อยก็เข้าร่วมอย่างรวดเร็ว แล้วท่วงทำนองที่แสนเรียบง่ายและงดงามนี้ก็เปล่งออกมาจากปากของทุกคน บรรยากาศของงานฉลองวันคล้ายวันเกิดจึงเริ่มสนุกสนานขึ้นทันที…
“บัณฑิตน้อย อธิษฐานสิ ! ขอพรในใจนะ ถ้ากล่าวออกมาแล้วมันจะไม่เป็นจริง ! ” หลินเว่ยเว่ยพนมมือไหว้แสดงท่าทางการอธิษฐานขอพร
เจียงโม่หานมองท่าทางของนาง…ที่แท้วันเกิดในโลกของพวกนางก็ฉลองกันเช่นนี้ ! วันเกิดของเด็กน้อยอยู่ในเดือนสิบสอง พอถึงเวลานั้นเขาเองก็ควรวางแผนจัดงานวันเกิดให้นางแบบเดียวกันนี้ ดีหรือไม่ ?
“คิดอันใดอยู่ รีบอธิษฐานแล้วเป่าเทียนสิ ! ” หลินเว่ยเว่ยดึงแขนเสื้อเขา ถ้ายังไม่เป่าอีก เทียนจะไม่เหลือแล้วนะ !
เจียงโม่หานเลียนแบบท่าทางของนางคือค่อย ๆ หลับตาลง เมื่อขอพรในใจแล้ว เขาก็ลืมตาขึ้นมา จากนั้นก็เป่าเทียน
หลินเว่ยเว่ยหัวเราะแล้วถามว่า “บัณฑิตน้อย เจ้าอธิษฐานว่าอย่างไร ? ”
“เจ้าไม่ได้บอกว่าถ้ากล่าวออกมามันจะไม่เป็นจริงหรอกหรือ ? ” เจียงโม่หานช่วยนางดึงเทียนออกจากหน้าเค้ก
หลินเว่ยเว่ยตอบพร้อมรอยยิ้ม “ไม่บอกข้าก็รู้ ! น่าจะเป็น ‘การสอบราบรื่น มีชื่อในกระดาน’ ‘คนในครอบครัวสุขภาพแข็งแรง’ ถ้าใหญ่กว่านั้นหน่อยก็ ‘ฝนตกต้องตามฤดูกาล แผ่นดินสงบสุข ราษฎรร่มเย็น’…พรของเจ้าต้องเป็นจริงแน่นอน ตัดเค้กสิ ทุกคนกำลังรอฉลองอยู่ ! ”
ตอนที่เจียงโม่หานหยิบมีดตัดเค้กขึ้นมา เขาก็มองไปที่ดอกไม้แล้วรู้สึกไม่อยากลงมีดสักเท่าไร หลินเว่ยเว่ยจึงจับมือเขาแล้วลงมีดตัดเค้กชิ้นแรก จากนั้นนางก็ยกมันให้นางเฝิง “น้าเฝิงลำบากเลี้ยงดูบัณฑิตน้อยมาตั้งแต่เด็กจนโต ไม่ใช่เรื่องง่าย ! ดังนั้นเค้กชิ้นแรก ต้องเป็นของคนสำคัญที่สุด ! ”
นางเฝิงรับเค้กไว้แล้วฉีกยิ้มหน้าบาน “ได้ ได้ ! ถ้าเช่นนั้นเค้กชิ้นที่สองก็ต้องให้เสี่ยวเว่ยใช่หรือไม่ ! เนื่องจากคนที่จะอยู่กับเขาไปชั่วชีวิตคือคู่หมั้นอย่างเจ้า ! ”
สำหรับหลินเว่ยเว่ยแล้ว นางเฝิงมีความรู้สึกซับซ้อนมาก ตอนแรกเริ่มนางรู้สึกซาบซึ้งใจเพราะตอนนั้นนางอาศัยงานปักผ้าเพื่อหาเลี้ยงชีพ แต่ถูกโรงปักผ้าตระกูลอู๋ปฏิเสธ หานเอ๋อร์ยังไม่รู้ว่าโดนใครตีศีรษะจนเลือดอาบมาอีก มันอาจส่งผลกระทบต่อการสอบจอหงวนในอนาคต ตอนนั้นนางทั้งสิ้นหวังและสับสนมาก ในปีแห่งภัยแล้งเช่นนี้ ผู้หญิงตัวคนเดียวเช่นนางนอกจากจะใช้งานปักผ้าหาเลี้ยงตนและบุตรชายแล้ว จักยังทำสิ่งใดได้อีก ?
แต่แล้วเด็กสาวผู้ที่ไม่เคยหุบยิ้มตรงหน้านี้ก็ช่วยดึงนางออกมาจากความสิ้นหวังและความสับสน ร่วมมือทำผลไม้อบแห้งและแยมผลไม้ด้วยกัน สาวน้อยมีความสามารถด้านการทำขนม ทำเนื้อแผ่นและทำแยม จะทำผลไม้อบแห้งไม่เป็นได้อย่างไร ? การร่วมมือที่ว่านี้ก็เป็นเพียงข้ออ้างที่จะให้นางมีงานหาเลี้ยงชีพเท่านั้น !
นอกจากความรู้สึกตื้นตันแล้ว สิ่งที่นางมีมากกว่านั้นคือความรักต่อเด็กคนนี้ จิตใจดี เรียบง่าย จริงใจ ไม่เสแสร้ง ! เสี่ยวเว่ยไม่ได้ชอบรูปโฉมของหานเอ๋อร์แล้วตามรังควานเขาหรือมีความคิดไม่ดีอันใด นอกจากนี้ยังไม่อาศัยบุญคุณที่มีต่อตระกูลเจียงมาเรียกร้องสิ่งใดที่มากเกินไปด้วย
‘ความสนุก’ เพียงอย่างเดียวของสาวน้อยก็คือการหยอกล้อหานเอ๋อร์ ทำให้เขาหูแดงหน้าแดง โมโหเหมือนฟ้าผ่า แล้วนางก็จะหัวเราะอยู่ด้านข้าง นิสัยที่ไม่ค่อยดีของหานเอ๋อร์ก็ค่อย ๆ ถูกขัดเกลาแล้วเปลี่ยนเป็นดีมากขึ้น เพราะเสี่ยวเว่ยทำให้หานเอ๋อร์ผู้ชอบทำตัวโตกว่าวัยได้กลับมามีชีวิตชีวาเหมือนเด็กหนุ่มอีกครั้ง (ถ้าโมโหก็จะมีชีวิตชีวาอีกแบบ ) เพราะเสี่ยวเว่ยแล้ว ชีวิตของพวกนางสองแม่ลูกจึงเริ่มมีความหวังขึ้นทุกขณะ !
นางเฝิงคิดว่าเด็กสองคนนี้เหมาะสมกันมาตั้งนานแล้ว ไม่ใช่เพราะฐานะแต่คือนิสัย เสี่ยวเว่ยประมาท หานเอ๋อร์ละเอียดรอบคอบ ถ้าเสี่ยวเว่ยเป็นดั่งแสงตะวันที่ส่องประกายตลอดเวลา หานเอ๋อร์ในอดีตที่เหมือนเอาหัวใจไปซ่อนไว้ใต้ธารน้ำแข็งก็รอให้แสงตะวันสาดส่อง เสี่ยวเว่ยใจดี หานเอ๋อร์เย็นชา…ถ้าทั้งสองคนนี้มาอยู่ด้วยกันก็จะลงตัวยิ่งนัก