หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 325 คงไม่ใช่เหลียงจิ้งหรูมอบความกล้าให้เจ้ากระมัง
ตอนที่ 325 คงไม่ใช่เหลียงจิ้งหรูมอบความกล้าให้เจ้ากระมัง ?
หลินเว่ยเว่ยเงยหน้ามองชายชราและชายวัยกลางคนที่กำลังทำสีหน้าสงสัยอยู่ “กองทัพรักษาการณ์เมืองจงโจวทิ้งทหารส่วนหนึ่งไว้นอกอำเภอจิงหยุน พวกท่านส่งคนไปรายงานว่ามีผู้อ้างนามของกองทัพมารังแกราษฎร ทำลายชื่อเสียงกองทัพ…อยากหนีเช่นนั้นหรือ ? ไม่ง่ายถึงเพียงนั้นหรอก ! ”
ระหว่างนั้นหางตาของนางก็เห็นพวกชายหนุ่มที่โดนนางถีบลงไปนอนกองกับพื้นและกำลังคิดจะหนี หลินเว่ยเว่ยจึงถีบซ้ำอีกครั้งแล้วแบ่งเชือกให้ชายชราและชายวัยกลางคน “มัดพวกมันให้หมด ! ”
“พวกเจ้าช่างกล้านัก ! ข้าเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายหุงหาอาหารใต้บัญชาของท่านแม่ทัพกัวเชียวนะ พวกเจ้าอย่าหลงกลโจรชั่วสองคนนี้ พอถึงเวลานั้นคนที่จะโดนโบยคือพวกเจ้าเอง ! ” เจ้าอ้วนหนวดเครารุงรังยังพยายามดิ้นรนเป็นครั้งสุดท้าย
หลินเว่ยเว่ยเดินเข้ามา จากนั้นก็ตบหน้ามันสองสามที ก่อนจะกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “สายตาของราษฎรนั้นเฉียบคม ให้พวกเขาดูหน่อยว่าเราสองคน ใครเหมือนคนเลวมากกว่ากัน ? ตอนเจ้าบังคับให้ซื้อขายก็เปิดเผยตัวตนของเจ้าแล้ว กล้าปลอมตัวเป็นทหารรักษาการณ์เมือง คงไม่ใช่เหลียงจิ้งหรู1 มอบความกล้าให้เจ้ากระมัง ? ”
ชายวัยกลางคนตัดสินใจไม่ได้ จึงไปเชิญผู้ใหญ่บ้านมา ! ผู้ใหญ่บ้านก็ไม่รู้จะเชื่อใครดี จึงพูดกับชายวัยกลางคนว่า “แจ้งทางการดีกว่า…”
พอเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้นก็กระวนกระวายขึ้นมาทันที มันยังอยากลองพยายามอีกครั้ง แต่โดนหลินเว่ยเว่ยทำลายด้วยถ้อยคำเสียก่อน “คิดว่าเจ้าอยู่ในกองทัพด้วยหรือ เช่นนั้นก็ดี เพราะข้าขอถามเจ้าหน่อยว่าแม่ทัพกัวมีไฝที่ใบหูข้างซ้ายหรือข้างขวา ? รองแม่ทัพข้างกายทั้งสองนายมีแซ่อันใด ท่าทางและอายุเท่าไหร่ มีสิ่งใดที่แตกต่างกันบ้าง ? ”
เจ้าอ้วนหนวดเครารุงรังทำท่าทางมั่นใจและเปลี่ยนถ้อยคำเหลวไหลให้ฟังเสมือนจริง “แม่ทัพกัวมีไฝดำที่ใบหูข้างขวา รองแม่ทัพคนหนึ่งแซ่หลี่ คนหนึ่งแซ่หวัง ! คนหนึ่งอายุ 32 ปี ส่วนอีกคนอายุ 38 ปี…”
ชายชราและผู้ใหญ่บ้านเห็นมันพูดออกมาได้อย่างมั่นใจจึงเริ่มเชื่อขึ้นมา ตอนกองทัพผ่านมาที่นี่ ไฉนเลยชาวบ้านอย่างตนจะกล้าเบียดไปอยู่ข้างหน้าจึงได้แต่ยืนมองจากที่ห่างไกล พวกตนรู้เพียงว่าแม่ทัพกัวบัญชากองทัพได้องอาจเป็นอย่างยิ่ง ไม่รู้หรอกว่าเขามีหน้าตาอย่างไรหรือมีไฝอยู่ตรงไหน ?
หลินเว่ยเว่ยคลี่ยิ้ม “เดิมทีใบหูของแม่ทัพกัวไม่มีไฝ เจ้าเผยพิรุธออกมาแล้วรู้หรือไม่ ? ”
“แล้วแม่ทัพกัวมีไฝหรือไม่นั้น เจ้ารู้ได้อย่างไร ? ” ชายอ้วนเจ้าเล่ห์น่าดู มันจึงย้อนถาม
หลินเว่ยเว่ยยักคิ้ว “ข้าต้องรู้อยู่แล้ว ! เพราะข้าเป็นคนหมู่บ้านฉือหลี่โกว ! เพราะข้าและบัณฑิตหนุ่มเป็นคนเสี่ยงชีวิตไปรายงานให้กองทหารรักษาการณ์เมืองรับรู้ ! และก็เป็นแม่ทัพกัวเองที่เรียกตัวเราเข้าพบ พากองทัพมาปราบกบฏที่หมู่บ้านฉือหลี่โกวของพวกเรา ! เจ้าว่าข้าควรรู้หรือไม่ ? ”
ผู้ใหญ่บ้านต้าจงได้ยินเช่นนั้นก็รีบพูดว่า “พวกเจ้ามาจากหมู่บ้านฉือหลี่โกว ! ข้าก็ว่าแล้ว ปีที่ย่ำแย่เช่นนี้จะยังมีสักกี่คนที่อยากซื้อหมูทั้งตัว ถ้าเป็นคนจากหมู่บ้านฉือหลี่โกวก็เข้าใจได้ ! ”
ประเดี๋ยวก่อน ชื่อเสียงของหมู่บ้านฉือหลี่โกวโด่งดังถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? เหตุใดคนหมู่บ้านฉือหลี่โกวมาซื้อหมูแล้วถึงเข้าใจได้ พวกเจ้าคงไม่ได้เข้าใจสิ่งใดผิดเกี่ยวกับหมู่บ้านฉือหลี่โกวใช่หรือไม่ ?
“ได้ยินว่าแม่ทัพกัวได้ทราบข่าวอำเภอจิงหยุนตกเป็นเป้าจากพวกกบฏก็ตอนไปเยือนหมู่บ้านฉือหลี่โกว วันนั้นหากแม่ทัพกัวนำทหารมาช้าอีกแค่ครึ่งชั่วยาม อำเภอจิงหยุนก็จะโดนพวกกบฏกวาดล้างจนราบเป็นหน้ากลองแล้ว หมู่บ้านที่อยู่โดยรอบอย่างพวกเราก็ยากจะหลบพ้น ! ” พอนึกถึงเหตุการณ์ในคืนนั้นแล้วผู้ใหญ่บ้านก็ยังรู้สึกกลัวไม่หาย ตอนที่พวกกบฏเข้าเมืองไปประกาศว่าจะสังหารทุกคน คนในหมู่บ้านก็ได้ยินเต็มสองหู
จนถึงตอนนี้เจ้าอ้วนหนวดเครารุงรังจึงได้ตื่นกลัวจนถึงขีดสุด ลูกน้องไม่กี่คนที่พามาด้วยเริ่มร้องไห้อ้อนวอน “นี่เป็นความคิดของพ่อค้าหมูแซ่จาง พวกเราเองก็ไม่รู้ว่าเขาจะแอบอ้างนามของกองทัพ พวกเราแค่มาช่วยแบกหมูเท่านั้น ขอร้องล่ะ ช่วยเมตตาด้วย ปล่อยพวกเราไปได้หรือไม่ ? ”
“พวกเจ้าจะมีโทษหรือต้องชดใช้ด้วยสิ่งใดนั้นไม่ใช่สิ่งที่เราจะตัดสินได้ รอให้ทหารรักษาการณ์เมืองมาถึงแล้ว ทุกอย่างก็จะกระจ่างเอง ! ” หลินเว่ยเว่ยกล่าวอย่างไม่แยแส ทหารรักษาการณ์เมืองจงโจวสละเลือดเนื้อเพื่อราษฎรอำเภอจิงหยุนและเมืองจงโจว แต่กลับมีคนสวมรอยมากดขี่ประชาชนและทำลายชื่อเสียงของพวกเขา เรื่องนี้จะยอมไม่ได้เด็ดขาด !
หมู่บ้านต้าจงอยู่ห่างจากค่ายทหารไม่ไกลนัก ผ่านไปไม่นานแม่ทัพนายหนึ่งก็พาทหารจำนวนสิบนายมาที่หมู่บ้านแห่งนี้
“นี่…ไม่ใช่หลินกู่เหนียงหรอกหรือ ? ” หืม ? ทหารนายนี้ไม่ใช่รองแม่ทัพหนุ่มที่ติดตามแม่ทัพกัวมายังหมู่บ้านฉือหลี่โกวหรอกหรือ ? ม้าแก่สองตัวที่บ้านนางก็เป็นเขาออกคำสั่งให้มอบเป็นของชดเชยแก่พวกนาง !
“รองแม่ทัพโจวสบายดีหรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ยประทับใจในตัวแม่ทัพน้อยยิ่งนัก นางจึงฉีกยิ้มทักทายเขา ทันใดนั้นเจ้าอ้วนหนวดเครารุงรังและลูกน้องก็ทำหน้าอมทุกข์…จบเห่ จบเห่แล้ว !
หลังสอบถามเรื่องราวจนกระจ่างแล้ว รองแม่ทัพโจวก็เดินเข้ามาหาเจ้าอ้วน ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว “กล้านัก ! ปลอมเป็นคนของกองทัพมากดราคาและบังคับให้ชาวบ้านขายหมูแก่ตน พ่อค้าหมูแซ่จางเอ๋ยพ่อค้าหมูแซ่จาง ใครมอบความกล้าแก่เจ้า ! ”
“ใต้เท้าโปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วย ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว ! ขะ…ข้าน้อยยอมชดใช้ให้คนพวกนั้นเป็นสองเท่าขอรับ ! ” เฮอะ ! เจ้าหมอนี่คงไม่ได้ทำงานเช่นนี้เป็นครั้งแรกสิท่า !
“หมูตัวเป็น ๆ ในท้องตลาดขายราคา 50 อีแปะต่อชั่ง แต่เจ้าชั่วร้ายยิ่งนัก ให้ชาวบ้านแค่ 20 อีแปะต่อชั่ง เหตุใดเจ้าไม่ปล้นไปเลยล่ะ ? ” รองแม่ทัพโจวใช้มือตบที่ศีรษะเจ้าอ้วนหนวดรุงรัง “ในเมื่อเจ้าอยากเป็นคนของกองทหารรักษาการณ์ถึงเพียงนี้ ก็มาเป็นนักโทษของกองทัพเลยแล้วกัน ! ”
ตามกฎหมาย คือ ผู้ที่แอบอ้างเป็นนายทหารในกองทัพ ต้องรับโทษโบย 100 ไม้ ผู้ติดตาม 50 ไม้แล้วจึงจะถูกส่งไปเป็นทาสรับใช้ในกองทัพ
โทษของนักโทษแห่งกองทัพ ปกติจะโดนเนรเทศไปยังสถานที่ห่างไกลและลำบากที่สุดเพื่อทำงานหนักและอันตราย ถ้ามีศึกสงครามล่ะก็ คนที่อยู่แนวหน้าสุดก็คือคนเหล่านี้ การลงโทษขั้นพื้นฐานของนักโทษกองทัพ แทบไม่มีโอกาสได้รอดกลับมาเลย
เจ้าอ้วนหนวดเครารุงรังเป็นอัมพาตในทันใด ผู้ที่สมรู้ร่วมคิดอีกไม่กี่คนก็จะถูกส่งตัวไปทำงานหนัก เช่น ในสถานที่ผลิตเกลือ
เป็นอย่างที่หลินเว่ยเว่ยบอกไว้ว่ากองทัพปกป้องบ้านเมืองสละเลือดเนื้อ ดังนั้นเกียรติและศักดิ์ศรีจะถูกละเลยไม่ได้เด็ดขาด !
ขณะที่ทางฝั่งรองแม่ทัพโจวกำลังจับคนมัดตัวแล้วเตรียมนำกลับไปที่ค่าย ทางฝั่งของหลินเว่ยเว่ยก็ต่อรองราคาหมูกันเรียบร้อยแล้ว หมูสองตัวนั้นนางเหมาหมด ! ชายชรายังใจดีลดให้อีกชั่งละ 10 อีแปะ…ถ้าไม่ได้เป็นเพราะกู่เหนียงท่านนี้ หมูทั้งสองของเขาก็คงถูกพ่อค้าหมูแซ่จางนั้นบีบบังคับให้ขายจนแม้แต่เงินทุนก็ไม่ได้คืน !
ก่อนจากไป รองแม่ทัพโจวยังเข้ามาทักทายหลินเว่ยเว่ย ขณะมองหมูสองตัวที่กรีดร้องและถูกมัดไว้บนเกวียน เขาก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เนื้อเยอะเช่นนี้ พวกเจ้าจะกินกันหมดหรือ ? ”
หลินเว่ยเว่ยก็กล่าวด้วยรอยยิ้มเช่นกัน “ประเดี๋ยวก็ถึงเทศกาลฤดูหนาวแล้วไม่ใช่หรือ ? แต่ละบ้านต้องทำเกี๊ยวทั้งนั้น หมู่บ้านฉือหลี่โกวมีอยู่ตั้ง 30 กว่าครัวเรือน แบ่งไปคนละ 2 ชั่ง หมูตัวหนึ่งก็แทบไม่เหลือแล้ว ส่วนอีกตัวก็เหลือไว้เชือดตอนฉลองปีใหม่ ! ”
รองแม่ทัพโจวพยักหน้าแล้วมองไปยังม้าแก่ที่ถูกมัดไว้ข้างถนนและกำลังเล็มหญ้าอยู่ ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความสงสัย “นะ…นี่เป็นหนึ่งในม้าแก่ที่ยกให้พวกเจ้าเมื่อคราวก่อนใช่หรือไม่ ? เจ้าเลี้ยงอย่างไร ? เหตุใดมันถึงดูมีเรี่ยวแรงเยอะขึ้นมาได้ ! ”
หลินเว่ยเว่ยตอบพร้อมรอยยิ้ม “เอ่ยถึงเรื่องนี้แล้ว อย่างไรก็ต้องขอบคุณท่านรองแม่ทัพโจวมาก ! ”
“ไม่ใช่สิ ! ตอนนั้นม้าสองตัวแทบจะไม่ไหวแล้ว แต่ตอนนี้…เหมือนเปลี่ยนเป็นม้าตัวใหม่เลย ! ” ถ้าในเวลานั้นม้าแก่ทั้งสองตัวเป็นเหมือนในปัจจุบัน เขาก็คงทำใจยกม้าสองตัวเป็นของชดเชยไม่ไหว ! เพราะเห็นว่ามันแก่จนแทบไม่ไหวแล้วถึงยอมยกให้บ้านตระกูลหลินต่างหาก
หลินเว่ยเว่ยก็ทำราวกับไม่เข้าใจเช่นกัน “อาจ…เพราะตอนนั้นม้าแก่ตัวนี้ป่วยอยู่ พอรักษาหายแล้วมันก็เลยกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง…รองแม่ทัพโจว ท่านคงไม่ได้รู้สึกอยากกลับคำพูดหรอกกระมัง ? ”
[i]
1เหลียงจิ้งหรู คือ นักร้องชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน