หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 332 ตกลงกันแล้วว่าจะเป็นสถานที่ของเราสองคนไม่ใช่หรือ
- Home
- หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง
- ตอนที่ 332 ตกลงกันแล้วว่าจะเป็นสถานที่ของเราสองคนไม่ใช่หรือ
ตอนที่ 332 ตกลงกันแล้วว่าจะเป็นสถานที่ของเราสองคนไม่ใช่หรือ ?
“โอ๊ย ! ” ฟังจากเสียงแล้วก็คงจะมีใครอยู่นอกกำแพงและโดนลูกหลงเข้าให้
เจ้าหนูน้อยและเสี่ยวร่างหันมามองหน้ากัน ก่อนจะรีบเดินไปเปิดประตู ทันใดนั้นเจ้าหนูน้อยก็พยายามปกปิดความผิดของตนด้วยรอยยิ้มอันโง่เขลา “ว่าที่พี่เขยใหญ่ ท่านกลับมาแล้วหรือ ! หิมะตก ถนนลื่น เดินลำบากเลยใช่หรือไม่ ? กินข้าวเช้ามาหรือยัง ? เกี๊ยวของเทศกาลฤดูหนาวเมื่อวานนี้ พี่ใหญ่เก็บไว้ให้ท่านด้วยล่ะ อีกประเดี๋ยวท่านก็ได้กิน ! ”
เผิงหยูเหยี่ยนปัดหิมะบนเสื้อคลุม แล้วให้คนรับใช้ที่ขับรถม้ามาส่งกลับบ้านตระกูลเผิงไป พอได้ยินว่าเมื่อวานตนไม่อยู่ ทว่าคู่หมั้นก็ยังคิดถึงกัน ใบหน้าของเขาก็เปื้อนยิ้มทันที ไฉนเลยจะยังอยากหาตัวคนปาหิมะใส่อีก ?
บุตรสาวคนโตตระกูลหลินได้ยินเสียงของเขาจึงเดินออกมาจากครัวพร้อมรอยยิ้มเขินอาย “ท่านเข้ามาทำตัวให้อุ่นในห้องต้าฮว๋าก่อนเถิด ประเดี๋ยวข้าจะต้มน้ำแกงอุ่น ๆ ให้ท่านกิน ! ”
เผิงหยูเหยี่ยนยิ้มอย่างโง่งมกว่าเดิม นอกจากพยักหน้าแล้วพูดว่า “ได้ ได้…” ก็ไม่ทำอะไรอีก บุตรสาวคนโตตระกูลหลินก็ก้มหน้าและยิ้มหน้าบานเช่นกัน คนอื่นบอกว่าเขาซื่อบื้อ แต่นางชอบที่เขาเป็นแบบนี้ เพราะคนซื่อมักไร้เล่ห์เหลี่ยม…
ลู่เหวินจวินเดินเข้ามาจากข้างนอกพลางถูมือไปมา “โอ๊ยหนาว หนาวมาก ! ”
โชคดีที่เขาให้ชิงเฟิงอยู่ต่อด้วยกัน ไม่อย่างนั้นตอนที่ต้องลุกขึ้นมาเติมไฟเตียงเตาตอนกลางดึก คุณชายผู้ก่อไฟไม่เป็นอย่างตนจะต้องแข็งตายแน่นอน
ขณะมองซากกวางที่แขวนอยู่ใต้ชายคา ดวงตาของเขาก็เปล่งประกายและพูดกับหลินเว่ยเว่ยว่า “หลินกู่เหนียง นี่ท่านขึ้นเขาไปล่ามาหรือ ? เช้าเช่นนี้…คงไม่ได้ขึ้นเขาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางใช่หรือไม่ ? ”
หลินเว่ยเว่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าไม่ได้ขึ้นเขาหรอก เช้านี้พอเปิดประตูหลังบ้านก็เห็นกวางตัวนี้แล้ว นี่เรียกว่าเปิดประตูมาก็พบเรื่องประหลาดใจใช่หรือไม่ ? ”
“จริงหรือ ? มีเรื่องดีถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? ” ลู่เหวินจวินคิดว่าเรื่องนี้น่าเหลือเชื่อเป็นอย่างยิ่ง
เจ้าหนูน้อยหัวเราะคิกคัก “มีสิ่งใดให้ประหลาดใจ ? บ้านเราเก็บซากสัตว์เหล่านี้ได้บ่อยจะตาย บางครั้งเป็นกวางแดง บางครั้งเป็นเก้ง แม้แต่กวางมูสหนักหลายร้อยชั่งก็ยังเคยเก็บได้ ! ”
พวกเด็ก ๆ มักจะพูดความจริงและเจ้าหนูน้อยก็ไม่ใช่เด็กเลี้ยงแกะที่ชอบโกหกไปทั่ว พอลู่เหวินจวินได้ยินเช่นนั้น ดวงตาก็เปล่งประกายกว่าเดิม “เมื่อใดจะพาข้าไปเก็บสักตัวบ้าง ? ”
เจ้าหนูน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดายเล็กน้อย “พี่รองเพิ่งเก็บมาได้ตัวหนึ่ง หากคิดจะเก็บใหม่ก็คงต้องรออีกประมาณสิบวันหรือไม่ก็ครึ่งเดือน อีกไม่กี่วันนี้คุณชายลู่ก็จะกลับเมืองหลวงแล้วไม่ใช่หรือ ? ”
ลู่เหวินจวินมีอาการไม่ต่างจากมะเขือยาวที่เหี่ยวเฉา ใช่ ! อย่างมากสุดเขาก็อยู่ที่เขตเริ่นอันได้อีกแค่สองสามวัน เพราะต้องขนสินค้ากลับเมืองหลวงแล้ว…
เจ้าหนูน้อยจึงพูดปลอบใจเขาว่า “ไม่เป็นไร ประเดี๋ยวพอกินข้าวเสร็จแล้วก็ดูว่าพี่รองมีเวลาว่างหรือเปล่า เราให้นางพาขึ้นเขาไปดักกระต่ายหิมะ (สโนว์ชู) หิมะตกลงมาแล้ว กระต่ายหิมะจะจับได้ง่ายหน่อย ถ้าโชคดีล่ะก็ คุณชายลู่สามารถลงมือทำกับดักจับได้เอง จากนั้นนำกลับไปทำถุงมือให้ท่านแม่ของท่าน นางจะต้องดีใจมากแน่ ! ”
ใช่ ! เขายังไม่เคยขึ้นเขาไปล่าสัตว์ในวันที่หิมะตกมาก่อน ทันใดนั้นแววตาของลู่เหวินจวินก็เหมือนลูกสุนัข เขาหันไปกะพริบตาปริบ ๆ พลางมองหลินเว่ยเว่ย “หลินกู่เหนียง…”
“เช่นนั้น…ก็ได้ ! ข้ารับปากบัณฑิตน้อยว่าจะพาเขาขึ้นไปเหยียบย่ำหิมะพลางชมดอกเหมยบนเขาพอดี เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเลย ! ” หลินเว่ยเว่ยไม่อยากให้แขกที่เดินทางมาไกลต้องผิดหวัง นางจึงตกปากรับคำทันที
แววตาของเจียงโม่หานเต็มไปด้วยไฟโทสะ ตกลงกันแล้วว่าจะเป็นสถานที่ของเราสองคนไม่ใช่หรือ ? เจ้าถามข้าหรือยัง ? จู่ ๆ ก็ชวนคนน่าขัดเคืองลูกตาไปด้วย ข้า…อา ! รมณ์ ! เสีย !
อาหารเช้าคือเกี๊ยวที่เหลือจากเมื่อวาน พวกมันถูกนำมาทำเป็นเจี่ยวจือ…โดยมีการเทไข่ลงไปทอดด้วย พวกเด็ก ๆ รวมถึงเผิงหยูเหยี่ยนที่เพิ่งกลับมาก็มีคนมากกว่า 5 คนแล้ว พวกเด็กวัยกำลังโตย่อมกินได้มากกว่าผู้ใหญ่ จึงเป็นธรรมดาที่ปริมาณอาหารจะมีจำนวนมาก เมื่อรวมกับหลินเว่ยเว่ยที่กินเก่งเหมือนผู้ชาย ทุกคนจึงต้องขอบคุณที่บ้านตระกูลหลินมีกระทะใบใหญ่ ไม่อย่างนั้นต้องทำอาหารเช้ากันหลายชั่วยามเป็นแน่
หลังกินอาหารเช้าแสนอร่อยเสร็จแล้ว ลู่เหวินจวินและเจ้าหนูน้อยก็ใช้ดวงตาเปล่งประกายราวกับดวงดาวระยิบระยับจับจ้องไปที่หลินเว่ยเว่ย เจ้าดำก็เข้าร่วมด้วย มันนั่งอยู่ข้างเท้าของคนทั้งสองแล้วเงยหน้าจ้องนายหญิงด้วยความตื่นเต้น…มีของอร่อยให้อีกแล้วใช่หรือไม่ ?
หลินเว่ยเว่ยเดินไปสวมเสื้อคลุมแล้วพูดกับทั้งสองว่า “ใส่เสื้อผ้าให้หนาหน่อย เราจะขึ้นเขากันแล้ว ! ”
“เย่ ! ขึ้นเขาจับกระต่ายหิมะ ขึ้นเขาจับกระต่ายหิมะ ! ” เจ้าหนูน้อยตะโกนเสียงดังจนหิมะหล่นมาจากกิ่งไม้
ส่วนเจียงโม่หานก็ถือขาตั้งสำหรับวาดภาพ กระดาษและพู่กันเพื่อขึ้นไปตามหาแรงบันดาลใจบนภูเขา หลินจื่อเหยียนและเผิงหยูเหยี่ยนก็อยากตามไปด้วย แต่พอนึกถึงการบ้านอันหนักหน่วงและการสอบในฤดูใบไม้ผลินี้แล้ว พวกเขาก็ได้แต่ตัดใจ
หลินเว่ยเว่ยและเจียงโม่หานเดินอยู่ด้านหน้า ตามด้วยลู่เหวินจวินและชิงเฟิงเดินตามหลัง ด้านหลังสุดเป็นเจ้าหนูน้อยและเจ้าดำที่กระโดดโลดเต้นไปมาอย่างสนุกสนาน
พอเดินมาถึงหน้าหมู่บ้าน พวกนางก็บังเอิญเจอกับพรานหวังและบุตรชาย สังเกตจากการเตรียมอาวุธและอุปกรณ์อันครบคันแล้วก็น่าจะขึ้นเขาไปจับกระต่ายเช่นกัน พอหิมะตกแล้วกระต่ายป่าจะเคลื่อนไหวในหิมะไม่สะดวก ดังนั้นจึงสามารถจับตัวได้ง่าย
ขณะมองเจ้าดำที่ตัวเล็กจนแทบถูกหิมะกลบ พรานหวังก็หัวเราะขึ้นมา “นางหนูรอง เจ้าขึ้นเขาก็เอาสุนัขล่าเนื้อไปด้วยหรือ นี่เป็นตัวเดียวในหมู่บ้านเราเลยนะ ! ”
เจ้าหนูน้อยหันไปมองเจ้าดำที่กำลังเดินอย่างยากลำบากในหิมะ ก่อนจะย่อตัวไปอุ้มมันขึ้นมาแล้วหัวเราะเช่นกัน “รอให้เจ้าดำโตขึ้น มันจะต้องเป็นนักล่าที่เก่งกาจแน่นอน พอถึงเวลานั้นพี่รองก็จะไม่ต้องขึ้นเขาเองเพราะมีเจ้าดำอยู่ เราจะไม่ขาดแคลนสัตว์ป่าให้กินอีกต่อไป ! ”
เนื่องจากพ่อของเจ้าดำเป็นจ่าฝูงหมาป่า ดังนั้นพ่อเป็นพยัคฆ์ ลูกย่อมไม่มีทางเป็นหมาบ้านทั่วไป มันจะต้องเติบโตเป็นนักล่าแห่งพงไพรแน่นอน ! เจ้าหนูน้อยลูบศีรษะเจ้าดำ เจ้าดำก็เลียมือของเขา ทว่าปุ่มบนลิ้นของมันทำให้เขารู้สึกคันแทน หน้าหมู่บ้านจึงมีเสียงหัวเราะของเด็กน้อยดังก้องไปทั่ว
พอมาถึงทางแยกบนเขาแล้ว พวกหลินเว่ยเว่ยและพรานหวังสองพ่อลูกก็แยกทางกัน ภูเขาที่อยู่โดยรอบนี้ หลินเว่ยเว่ยแทบคุ้นเคยทั้งหมดแล้ว นางรู้ว่าภูเขาลูกไหนมีหุบเขาซ่อนอยู่ เพราะที่นั่นจะมีกระต่ายอยู่เยอะ แต่ที่สำคัญคือทางนั้นมีต้นดอกเหมยอยู่หลายต้น ไม่รู้ว่าตอนนี้มันจะบานหรือยัง !
กว่าจะมาถึงหุบเขาก็ใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วยามแล้ว คนที่ไม่ได้เรื่องที่สุดคือลู่เหวินจวิน เพราะเขากลายเป็นตัวถ่วงของกลุ่ม แม้แต่เจ้าหนูน้อย เขาก็ยังสู้ไม่ได้ !
ลู่เหวินจวินคิดในใจว่าหากเขามีพี่สาวมาด้วยและต้องคอยช่วยดึงนางเป็นครั้งคราว เขายังจะเป็นคนช้าที่สุดของกลุ่มอีกหรือไม่ ?
ตอนกลางวันกระต่ายหิมะจะออกมาเคลื่อนไหวน้อยมาก หลินเว่ยเว่ยจึงตัดสินใจใช้วิธีรมควันเพื่อจู่โจมโพรงกระต่ายหิมะโดยตรง ผ่านไปไม่นานพวกนางก็เจอขุยดินที่หันหน้าไปทางแสงแดดหรือเจอโพรงกระต่ายแล้วนั่นเอง
หลินเว่ยเว่ยถอนหญ้าแห้งมาสองสามต้นแล้วหันไปพูดกับเจ้าหนูน้อย ลู่เหวินจวินและชิงเฟิงว่า “กระต่ายเจ้าเล่ห์นัก มันต้องไม่ทำโพรงไว้แค่โพรงเดียวแน่นอน อีกประเดี๋ยวพอข้ารมควันเข้าไปแล้ว ทุกคนต้องจับตาดูดี ๆ ว่าตรงไหนมีควันออกมาบ้าง แล้วก็ไปอุดรูตรงนั้นไว้…”
“เข้าใจขอรับ ! ” เจ้าหนูน้อยยืดอกตั้งตรงและขานรับเป็นคนแรก ส่วนลู่เหวินจวินกับชิงเฟิงก็พยักหน้าตาม
หญ้าแห้งที่เปียกชุ่มไปด้วยหิมะ พอจุดไฟแล้วจึงสร้างควันได้จำนวนมาก หลินเว่ยเว่ยเปิดโพรงกระต่ายออกเล็กน้อย จากนั้นก็ยัดหญ้าแห้งเข้าไปและยังใช้กระสอบในมือพัดไปที่โพรงนั้นแรง ๆ…
“ทางนี้มีควันออกมา ! ” เจ้าหนูน้อยรีบหยิบก้อนหิน ก้อนดินและหญ้าอีกสองสามต้นมาปิดปากโพรงอย่างแน่นหนา ลู่เหวินจวินและชิงเฟิงก็พบอีกโพรงเหมือนกันจึงหาของมาปิดเอาไว้อย่างรวดเร็ว !