หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 333 บัณฑิตน้อย หรือข้ายังงามไม่พอ
ตอนที่ 333 บัณฑิตน้อย หรือข้ายังงามไม่พอ ?
ต่อจากนั้นลู่เหวินจวินกับพวกเจ้าหนูน้อยก็กลับมาหาหลินเว่ยเว่ย นางเห็นในโพรงถูกรมควันได้พอสมควรแล้วจึงดึงหญ้าแห้งเหล่านั้นออก แต่ก็ยังพัดควันเข้าไปด้านในอยู่ดี…เจ้าหนูน้อยและลู่เหวินจวินก็คอยช่วยพัดอยู่ด้านข้าง
“พอแล้ว หยุดพัดได้ ! ”
เนื่องจากในโพรงเต็มไปด้วยควัน ทางเข้าออกอื่น ๆ ก็ถูกปิด หากควันทางฝั่งนี้จางหายไปแล้วมีอากาศบริสุทธิ์ถ่ายเทเข้าไปแทน กระต่ายที่เคยมึนเมากับควันก็จะออกมาสูดอากาศข้างนอกทันที
หลินเว่ยเว่ยตาไวมือไว นางรีบนำกระสอบมาปิดที่ปากโพรงไว้เพื่อรอรับเจ้าตัวน้อยมาถวายตัวถึงที่ ผ่านไปไม่นานกระต่ายหิมะที่ตื่นตระหนกก็วิ่งเข้ามาในกระสอบตามคาด แต่ก็มีตัวที่หลุดรอดไปได้เหมือนกัน พอลู่เหวินจวินเห็นจึงรีบวิ่งไล่ตามออกไปทันที
เดิมทีเจ้ากระต่ายหิมะก็ไม่ค่อยมีสติอยู่แล้ว บนพื้นยังเต็มไปด้วยหิมะ เท้าของพวกมันจึงลื่นไถล ลู่เหวินจวินตามไปได้ไม่นานนักก็ตามทัน เขาถอดเสื้อคลุมออกพลางกระโดดตะครุบมันไว้ทันที
จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ ยื่นมือเข้าไปคลำหาและดึงขาของกระต่ายหิมะออกมา เมื่อคว้าขาของกระต่ายหิมะได้แล้วเขาก็ยกตัวมันขึ้น กระต่ายหิมะพยายามดิ้นสุดกำลัง ขาหลังของมันถีบเขาจนทำให้มือปวดไปหมด แต่เขาก็อดทนไม่ยอมปล่อยมือ ฮ่าฮ่าฮ่า ! นี่เป็นตัวที่เขาจับได้ ! กระต่ายหิมะตัวนี้มีลำตัวยาวแค่ครึ่งหมี่เท่านั้น ขนก็ขาวดุจหิมะ หากนำไปทำที่อุ่นมือให้ท่านแม่ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว !
หลินเว่ยเว่ยสอนเคล็ดลับในการหาโพรงกระต่ายให้พวกเขา แม้จะมีแค่ประสบการณ์เมื่อครู่ นางก็ปล่อยให้พวกเขาไปตามหากันเอง ส่วนเรื่องจะจับได้หรือไม่ หรือจับได้กี่ตัวก็ต้องพึ่งโชคของพวกเขาเองแล้ว
หลังจากสอนเคล็ดลับพวกเขาเรียบร้อยแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็เข้ามาหาเจียงโม่หานพลางฉีกยิ้มให้ “ไปเถิด เราไปชมบุปผากลางหิมะกัน ! เมื่อวานข้ารับปากเจ้าไว้ ! ”
เจ้ายังจำได้ว่ารับปากข้าไว้หรือ ? เจียงโม่หานเหลือบตามองนาง หลังเค้นเสียงดัง ฮึ อย่างหยิ่งยโสออกมาแล้วเขาก็เริ่มเดินออกไป
“ทางนี้~…” หลินเว่ยเว่ยเห็นเขาเดินไปในทิศทางตรงข้ามกับต้นดอกเหมย นางจึงรีบเตือน
เจียงโม่หานหยุดนิ่งอยู่กับที่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปตามทางที่นางชี้ หลินเว่ยเว่ยก้มหน้ากลั้นหัวเราะ เวลาบัณฑิตน้อยหยิ่งก็ทำให้อดแกล้งไม่ได้ แต่นางก็กลัวว่าจะแกล้งจนเขาโกรธแล้วต้องตามง้ออีก
ในส่วนลึกของหุบเขา บนเนินเขาสูงแห่งหนึ่งมีต้นดอกเหมยกระจัดกระจายอยู่หลายต้น มันเป็นภาพที่งดงาม ดอกเหมยเพิ่งผลิบานเจือด้วยหิมะสีขาว แม้หลินเว่ยเว่ยจะเป็น ‘คนหยาบกระด้าง’ ไม่เข้าใจศิลปะ นางก็ยังคิดว่าภาพตรงหน้าช่างน่าตกตะลึงยิ่งนัก !
เจียงโม่หานเดินรอบต้นดอกเหมย พอเลือกมุมดีที่สุดได้แล้วเขาก็เริ่มนำอุปกรณ์วาดภาพออกมา หลินเว่ยเว่ยย้ายหินที่สูงประมาณครึ่งตัวคนมาที่ด้านหลังของบัณฑิตหนุ่มแล้วคลุมด้วยหนังผืนหนาอีกผืน หลังรอให้บัณฑิตหนุ่มนั่งลงแล้วนางก็ยังช่วยเขาฝนหมึกและผสมสีชาด…
เจียงโม่หานคิดว่าฝีมือฝนหมึกก็ดีอยู่หรอก แต่ชาดที่เจ้าผสม…จะใช้ได้หรือ ? ทำชาดดี ๆ ของข้าเสียของหมด !
หลินเว่ยเว่ยเห็นสายตาของเขาจึงรู้ว่าตนได้ทำให้เขาไม่พอใจอีกแล้ว นางจึงไปนั่งเงียบ ๆ เป็นคุณหนูอยู่ด้านข้างแทน…
จู่ ๆ คนที่มักสนุกสนานเฮฮาอย่างนางก็เปลี่ยนเป็นคนเรียบร้อย เจียงโม่หานจึงรู้สึกไม่ชินเล็กน้อยและมักรู้สึกว่านางกำลังเก็บซ่อนบางอย่าง เพื่อสร้างหายนะ !
“เป็นอะไร ? ” เจียงโม่หานสวมถุงมือขนสัตว์แบบเปิดปลายนิ้วที่หลินเว่ยเว่ยมอบให้พลางพ่นลมหายใจไปที่ปลายนิ้ว จากนั้นก็จับพู่กันจุ่มน้ำหมึกแล้วเริ่มร่างกิ่งก้านต้นดอกเหมยลงบนกระดาษ
หลินเว่ยเว่ยตอบเบา ๆ “ข้ากลัวจะรบกวนการวาดภาพของเจ้า”
ฝีมือการลงพู่กันของเจียงโม่หานดุจดั่งมังกรที่โผบิน กิ่งก้านสาขาต้นดอกเหมยทอดยาวต่อกันอย่างพลิ้วไหวอยู่บนกระดาษ เขายิ้ม “ถ้าโดนเจ้าก่อกวนได้ง่าย ข้าจะต้องแสวงหาความสามารถในการวาดภาพเพิ่มขึ้น ! ”
ที่แท้ตัวนางก็ไม่ได้ส่งผลอะไรกับบัณฑิตหนุ่ม เจ้าบอกให้เร็วกว่านี้หน่อยก็ได้ ! ทันใดนั้นหลินเว่ยเว่ยก็หยิบห่อขนมออกมาแล้วป้อนให้บัณฑิตหนุ่มก่อน จากนั้นค่อยหยิบมากินเองอย่างออกรส
“บัณฑิตน้อย เมื่อครู่ข้าฝนหมึกให้เจ้า มันเรียกว่าหงซิ่วเทียนเซียงใช่หรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ยถามด้วยความตื่นเต้น
“ข้าคิดว่าเจ้าเข้าใจอะไรผิดเกี่ยวกับ ‘หงซิ่วเทียนเซียง’ ! เพราะคำนี้หมายถึง ‘หญิงงาม’ ที่คอยปรนนิบัติบัณฑิต…” เจียงโม่หานทำสองอย่างได้ในเวลาเดียวกัน
หลินเว่ยเว่ยบิดตัวแล้วกะพริบตาใส่เจียงโม่หานทันที “หรือข้ายังงามไม่พอ ? ”
เจียงโม่หานเหลือบมองนางแล้วทำราวกับไม่เห็นท่าทางแปลกประหลาดนั้นอยู่ในสายตา “หากไม่ใช่เพราะเจ้าขาดความเข้าใจในรูปร่างหน้าตาของตน เช่นนั้นก็คือเข้าใจมาตรฐานของคำว่า ‘หญิงงาม’ ผิดไป”
ระหว่างนั้นดอกเหมยสีแดง…ก็เริ่มถูกแต่งแต้มบนกิ่งไม้ ภาพนี้คือต้นดอกเหมยกลางหิมะ ไม่ว่าจะเป็นองค์ประกอบภาพหรือด้านความรู้สึก เจียงโม่หานก็พอใจทั้งสิ้น ขอแค่อารมณ์ดี ความรู้สึกที่ได้จากภาพก็จะต่างกันออกไป ภาพนี้เขาจะเก็บไว้เอง…
หลินเว่ยเว่ยเอานิ้วจุ่มสีชาดแล้วนำนิ้วไปวางไว้เหนือภาพ ก่อนจะพูดขู่ว่า “พูดมา ข้าเป็นหญิงงามหรือไม่ ? ถ้าคำตอบทำให้ข้าไม่พอใจก็จะทำลายภาพวาดของเจ้า ฮึฮึ ! ”
เจียงโม่หานมองนางด้วยความเหนื่อยหน่ายและเหลือบมองนิ้วของนางบนภาพอีกครั้ง ก่อนจะพูดอย่างหดหู่ว่า “แม้เจ้าจะไม่ใช่หญิงงามตามที่กล่าวขานกันเอาไว้ ทว่าในใจของข้าไม่มีใครมาแทนที่เจ้าได้ เช่นนี้พอใจเจ้าหรือยัง ? ”
หลินเว่ยเว่ยอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มมุมปาก แต่แล้วนางก็ยังทำปากแข็ง “พอได้ ใครใช้ให้ข้าเป็นคนใจอ่อนล่ะ วันนี้พี่สาวจะยกโทษให้เจ้าสักครั้ง…”
ระหว่างพูดนั้น นางก็กำลังดึงนิ้วกลับมา ทว่าสีชาดที่เยอะเกินไปได้หยดลงบนกระดาษสีขาว ภายใต้แววตาแสนหวาดกลัวของหลินเว่ยเว่ย…
“ขะ…ข้าไม่ได้ตั้งใจ ! ” หลินเว่ยเว่ยรู้ว่าตนก่อเรื่องอีกแล้ว น้ำตาของนางจึงเริ่มก่อตัว นางก้มหน้าลงแล้วทำท่าทางของคนสำนึกผิดที่กำลังยอมรับการลงโทษ
เจียงโม่หานถอนหายใจเฮือกใหญ่ หลังจากลูบศีรษะนางเบาๆ แล้วเขาก็เริ่มจุ่มพู่กันลงในสีชาดเพื่อวาดแผ่นหลังของหญิงสาวในชุดคลุมสีแดงไว้บริเวณที่เปื้อนหยดชาดนั้น พร้อมกับรอยเท้าจาง ๆ บนหิมะ…
นี่คือฝีมือของเทพเซียน ทำให้อดประหลาดใจไม่ได้ ส่วนลึกของหุบเขา ณ ป่าดอกเหมย ปรากฏหญิงสาวชุดแดงที่ดูเงียบเหงาคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ท่ามกลางหิมะ นางเป็นยอดฝีมือจากยุทธภพหรือเป็นเทพเซียนในหุบเขากันแน่ ? มันเพิ่มความลึกลับให้แก่ภาพวาดนี้ทันที
หลินเว่ยเว่ยเอามือไปถูกับหิมะเบา ๆ “ข้าจะไปเด็ดดอกเหมยสักหน่อย เอาไว้ให้ท่านแม่กับน้าเฝิงตกแต่งห้อง…”
“อืม ! ” น้อยครั้งที่เจียงโม่หานจะเห็นเด็กน้อยกลายเป็นเด็กดีเช่นนี้ แม้จะตอบรับสั้น ๆ ทว่าในแววตาของเขาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ดอกเหมยท่ามกลางหิมะหรือทิวทัศน์จากหิมะเหล่านี้ทำให้แรงบันดาลใจของเจียงโม่หานพรั่งพรู เขาจึงวาดภาพต่อได้อีกหลายภาพ
ส่วนหลินเว่ยเว่ยกำลังเก็บหิมะบนดอกเหมยใส่โถ พูดกันว่าเจ้าสิ่งนี้สามารถนำไปชงชาได้และจะมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกเหมยด้วย เหล่าปัญญาชนเป็นคนมีรสนิยมด้านความสวยความงาม ตอนนี้บ้านนางมีบัณฑิตถึงสามคน บางทีพวกเขาน่าจะชอบรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้มาก
หลินเว่ยเว่ยลองชิมหิมะที่อยู่บนดอกเหมยคำหนึ่ง แต่แล้วก็ต้องมุ่ยปากด้วยความขยะแขยง…จืดสนิท ! ยังอร่อยสู้น้ำจากมิติน้ำพุวิญญาณไม่ได้เลย !