หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 368 หรือว่าพี่รองไปทำอะไรไม่ดีไว้
ตอนที่ 368 หรือว่าพี่รองไปทำอะไรไม่ดีไว้ ?
นี่คือเทศกาลปีใหม่ที่หลินเว่ยเว่ยมีความสุขที่สุด อบอุ่นที่สุดและยากจะลืมที่สุด ในโลกที่แปลกประหลาดกับฤดูหนาวแสนหนาวเหน็บนี้ นางกลับได้รับความอบอุ่นและความรักล้ำค่า ทั้งยังได้ครอบครองห่านฟ้าผู้เป็นที่หมายปองของทุกคนอีกด้วย
ใช่ ! ผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ในโลกใบนี้ก็คือนาง !
เดือนแรก นอกจากทำของอร่อยแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็ไม่ทำงานอย่างอื่นอีก ทำให้คนในบ้านน้ำหนักเพิ่มขึ้นหลายจินรวมถึงตัวนางด้วย
ในขณะที่นางคิดจะ ‘ลดน้ำหนัก’ เดือนที่สองก็มาถึงแล้ว ฤดูใบไม้ผลิในปีนี้เป็นฤดูแห่งการสอบระดับท้องถิ่น (ถงเซิง) เดือนสองเป็นการสอบท้องถิ่นระดับแรกเรียกว่าเซี่ยนซื่อ เดือนสี่เป็นการสอบท้องถิ่นระดับสองเรียกว่าฝู่ซื่อ แล้วต่อด้วยระดับสามเรียกว่าเยวี่ยนซื่อ…
ด้วยเหตุนี้ หลังหมดเดือนแรกแล้ว หลินจื่อเหยียนก็เริ่มเก็บข้าวของและออกเดินทางมาที่สนามสอบของตน ในฐานะคนมาเป็นเพื่อน หลินเว่ยเว่ยจึงเก็บข้าวของด้วย นางได้รบกวนให้คุณชายหนิงเช่าบ้านหลังเล็กที่เก็บกวาดจนสะอาดเอี่ยมไว้ที่ตัวอำเภอแล้ว
หลินจื่อเหยียนเพิ่งเคยเข้าร่วมการสอบอย่างเป็นทางการแบบนี้ครั้งแรกจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหม่า ทว่าเมื่อมีพี่รองคอยดูแลเรื่องเสื้อผ้า อาหารการกิน ที่อยู่ แล้วยังมีพี่เขยใหญ่เข้าร่วมการสอบในครั้งนี้ด้วย เขาจึงไม่ได้กังวลขนาดนั้นแล้ว
“ศิษย์พี่เจียง นี่ท่าน…” ตอนที่หลินจื่อเหยียนเข้ามาในรถม้าก็พบว่าเจียงโม่หานนั่งอยู่ข้างในแล้ว เขาจึงถามด้วยความแปลกใจ
เจียงโม่หานตอบกลับเบา ๆ “ข้าเคยสอบมาก่อน สามารถถ่ายทอดประสบการณ์บางอย่างแก่เจ้าได้ ยังมีเวลาเหลืออีกสองสามวัน ยังสามารถช่วยชี้แนะประเด็นสำคัญให้พวกเจ้าได้ ! ”
หลินจื่อเหยียนยิ้มหน้าบานทันที “ดี ! มีศิษย์พี่เจียงอยู่ ข้าก็เหมือนได้กินยาคลายเครียดแล้ว ! ”
“ศิษย์พี่เจียง ? เหตุใดเวลาเรียกเผิงหยูเหยี่ยน เจ้าจึงเรียกว่าพี่เขยใหญ่ ส่วนข้ากลับกลายเป็นศิษย์พี่เจียง ? ” เจียงโม่หานไม่พอใจต่อคำเรียกขานของเขาตั้งนานแล้ว ทำไมหรือ ? เป็นพี่เขยเหมือนกัน แต่เลือกปฏิบัติหรืออย่างไร ?
หลินจื่อเหยียนรีบพูด “ไม่ใช่ว่าเรียกจนชินแล้วหรือ ? ถ้าพี่เขยรองไม่พอใจคำเรียกก่อนหน้านั้น ข้าเปลี่ยนก็ได้ ! ”
ศิษย์พี่เจียงเปลี่ยนไปมาก ! เมื่อก่อนเป็นคนหยิ่งยโสและเย็นชา แต่ตอนนี้ถูกพี่รองทำให้แสดงอารมณ์มากกว่าเดิม โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับพี่รอง…แม้แต่คำเรียกยังคิดเล็กคิดน้อย หรือนี่จะเป็นพลังวิเศษแห่งความรัก ? สามารถเปลี่ยนคนให้…ไม่เหมือนเดิม ?
หลินเว่ยเว่ยตรวจสอบสัมภาระอีกรอบ ของที่ควรเอาไปด้วยก็เอามาหมดแล้ว นางจึงกระโดดขึ้นรถม้าแล้วพูดกับนางหวง นางเฝิงและพี่สาวที่ยืนส่งอยู่หน้าบ้านว่า “ท่านแม่ น้าเฝิง กลับเข้าไปเถิด ! พวกข้าจะไปกันแล้ว ! ”
หลินจื่อเหยียนก็นอนฟุบอยู่กับหน้าต่างแล้วโบกมือให้คนในครอบครัว “รอฟังข่าวดีจากข้านะขอรับ ! ”
หลินเว่ยเว่ยเข้ามาในรถม้าแล้วไปนั่งข้างเจียงโม่หาน ก่อนจะซบไหล่เขาราวกับร่างนางไม่มีกระดูก แต่ปากยังไม่หยุดแกล้งหยอกน้องชาย “เฮอะ ! มั่นใจขนาดนั้นเชียว ? หืม แล้วใครกันที่หลายวันนี้นั่งไม่ค่อยติด จิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว ? ”
รถม้ากว้างถึงเพียงนี้ แต่ยังไปเบียดศิษย์…ว่าที่พี่เขยรอง ช่างน่าเบื่อจริง ๆ ! ราวกับพี่รองมีวิชาเคลื่อนย้ายวารีบดขยี้ขุนเขาจึงได้ครอบครองตัวพี่เขยรอง
ตอนนั้นคนทั่วทั้งฉือหลี่โกวต่างไม่ชอบคู่นี้ คิดว่าพี่รองเพ้อฝันไปเรื่อย พี่ใหญ่ก็เคยพูดบ่อย ๆ ว่านางเป็น ‘คางคกอยากกินเนื้อห่านฟ้า’ ไม่ใช่หรือ ? หืม ? แต่ดูเหมือนเนื้อห่านฟ้านี้นางจะได้กินจริง ๆ แล้ว !
วันนั้น หลังช่วยพี่รองและว่าที่พี่เขยรองขึ้นมาจากหน้าผาแล้ว ว่าที่พี่เขยรองก็ไม่ทำตัวเย็นชาเหมือนก่อนหน้านั้นอีก เป็นฝ่ายมาสู่ขอพี่รองเอง คนทั้งบ้านถึงขั้นตกตะลึง ! หรือว่า…พี่รองไปทำอะไรไม่ดีกับพี่เขยรองตอนอยู่ตรงหน้าผา ดังนั้นว่าที่พี่เขยรองจึงเรียกร้องให้นาง ‘รับผิดชอบ’ ?
“หลินต้าฮว๋า ! ” หลินเว่ยเว่ยตบศีรษะเขา “กำลังคิดเรื่องเหลวไหลอะไรอยู่ ? ”
หลินจื่อเหยียนลูบศีรษะตัวเอง “พี่รอง ประเดี๋ยวข้าก็จะเข้าสอบแล้ว ท่านไม่รู้หรือไรว่าตนแรงเยอะขนาดไหน ? ถ้าตีแล้วข้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมา ท่านจะไม่ได้เป็นพี่สาวบัณฑิตถงเซิงแล้วนะ ! เมื่อครู่ข้าคิดเรื่องที่จะสอบไม่ได้หรือ ? เหตุใดจึงคิดว่าข้ากำลังนึกเรื่องเหลวไหลอยู่ ? ท่านเข้าไปดูในสมองข้าหรือไร ! ”
“ยังต้องดูอีก ? แค่สายตาแปลก ๆ และรอยยิ้มชั่วร้ายที่เจ้ามองข้ากับบัณฑิตน้อยก็พิสูจน์ได้แล้วว่าในสมองของเจ้าไม่ได้มีเรื่องดี ๆ อยู่ ! ” หลินเว่ยเว่ยส่งลูกอมสาลี่หนึ่งเม็ดเข้าปาก จากนั้นก็ป้อนให้บัณฑิตน้อยหนึ่งเม็ด
หลินจื่อเหยียนกลอกตาแล้วเอ่ยเตือนนางด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พี่รอง พอไปถึงอำเภอแล้วอย่าได้หลุดปากเรียกข้าว่าหลินต้าฮว๋าเด็ดขาด ข้าขอร้องท่านเลย ! ”
“เจ้าเด็กอกตัญญู ! เรียกชื่อเล่นฟังแล้วสนิทสนมจะตายไป มันหมายถึงความรักและความสนิทสนมที่พ่อแม่มีต่อบุตร เจ้าดูข้าสิ คนอื่นยังเรียกข้าว่านางหนูรอง แล้วข้าเคยไปบอกให้คนอื่นแก้ไขอะไรไหม ? คนเราน่ะ ห้ามลืมรากเหง้าเด็ดขาด ! แม้วันหน้าเจ้าจะเป็นนายอำเภอ เจ้าเมืองหรือขุนนางขั้นหนึ่งในราชสำนัก เวลาเจ้าอยู่ต่อหน้าท่านแม่ก็ยังเป็นหลิน ! ต้า ! ฮว๋า ! ” เวลาสั่งสอนคนอื่นนั้น หลินเว่ยเว่ยจะพูดออกมาเป็นฉาก ๆ
หลินจื่อเหยียนขยับปากและเหงื่อตกพอสมควร…คำสอนของพี่รองฟังดูมีเหตุผล เขาควรจะทำอย่างไรดี ?
“เอาเถิด ! ข้าผิดไปแล้ว ! พี่รอง ต่อไปท่านอยากเรียกข้าว่าอะไรก็เรียก ! ” หลินจื่อเหยียนยอมรับคำสั่งสอนอย่างเชื่อฟัง
เจียงโม่หานหันไปมองเขา “รอให้เจ้ายืนอยู่บนตำแหน่งที่สูงมากพอแล้ว แม้เจ้าจะชื่อเอ้อร์โกวจื่อ (ไอ้ลูกหมา) ก็ไม่มีใครกล้าหัวเราะเยาะ มีแต่ประจบและเคารพเจ้า ! มีแค่ผู้ที่อ่อนแอกว่าเท่านั้น ถึงจะยึดติดกับคำเรียก ! ”
หลินจื่อเหยียน “…” ว่าที่พี่เขยรองพูดได้มีเหตุผลเช่นกัน ! เวลาว่าที่สามีภรรยาคู่นี้สั่งสอน คนหนึ่งมักใช้คำพูดตรง ๆ ฟังเข้าใจง่าย ส่วนอีกคนชอบพูดมีหลักการ…จะว่าไปพวกท่านก็เข้ากันได้ดีมาก
หลังเดินทางมาได้ประมาณหนึ่งชั่วยาม ระหว่างมาถึงทางแยก รถม้าก็หยุดวิ่งเสียดื้อ ๆ แล้วตามด้วยสายลมเยือกเย็นจากการเลิกม่านบนรถม้าขึ้น เผิงหยูเหยี่ยนเดินเข้ามาพร้อมตำราหลายเล่ม
หลินจื่อเหยียนมองเขาด้วยความสงสัย “พี่เขยใหญ่ เหตุใดท่านไม่นั่งรถม้าของตน จะมาเบียดกับพวกเราทำไม ? ท่านดูรถม้าของพวกเราสิ แทบไม่มีที่วางเท้าอยู่แล้ว”
เมื่อเห็นเจียงโม่หานแล้ว เผิงหยูเหยี่ยนก็ทำหน้าดีใจ “ช่วงเดือนกว่ามานี้ ข้ามีข้อข้องใจอยู่พอสมควร เดิมทีอยากจะมาคุยกับเจ้า แต่ในเมื่อมีศิษย์น้องเจียงอยู่ด้วย ข้าก็ขอคำชี้แนะจากเขาดีกว่า”
ขณะพูดก็เข้าไปเบียดเจียงโม่หานแล้วพูดหัวข้อยาก ๆ กับเรื่องที่ตนไม่เข้าใจออกมาเพื่อขอคำชี้แนะจากอีกฝ่าย
หลินจื่อเหยียนที่กำลังผ่อนคลายอยู่ พอเห็นอีกฝ่ายเป็นแบบนั้นจึงเริ่มกลับมาเครียดอีกครั้ง เขารีบหยิบตำราขึ้นมาพลิกอ่านบนรถม้าที่ส่ายไปมา ปากก็ท่องพึมพำ อันที่จริงเขาท่องตำราเล่มนี้จนจำขึ้นใจแล้ว
หลินเว่ยเว่ยเข้าไปคว้าตำรามาจากเขา จากนั้นก็กางกระดานหมากออกแล้วหยิบถุงใส่ก้อนกรวดสองสีออกมา “อย่ากอดขาข้าศึกตอนเข้าประชิด ระวังสายตาจะเสียไปด้วย มา พี่รองจะเล่นเกมฝึกสมองกับเจ้า ! ”
หลินจื่อเหยียนพูดด้วยความสับสน “แต่ว่า…ใกล้จะสอบแล้ว พอคิดว่าคนอื่นอ่านตำรา แต่ตัวเองกลับเอาเวลาว่างมาเล่น ข้าก็รู้สึกไม่ดี…”