หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 499 ขนมมีขาจึงสามารถวิ่งได้
ตอนที่ 499 ขนมมีขาจึงสามารถวิ่งได้?
ขณะก้มหน้าลง แววตาของเจียงโม่หานก็แฝงไปด้วยความขี้เล่น…หมินอ๋องนิสัยเหมือนตนมาก ชอบเสวยของหวาน ต้านทานขนมนานาชนิดไม่ไหว ในเวลานี้หมินอ๋องจะต้องกลืนน้ำลายแล้วกลืนน้ำลายอีก ? สมน้ำหน้า ! ใครใช้ให้ผู้ใหญ่อายุปูนนี้มาทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ แล้วแอบมองคู่หมั้นของคนอื่น ! !
ห้องครัวหลังเล็กทางปีกของบ้านสกุลฉู่ถูกสร้างขึ้นมาชั่วคราว ด้านในมีที่ให้ยืนไม่มาก อย่างมากสุดก็จุคนได้แค่สองคนเท่านั้น ในเวลาปกติหยาเอ๋อร์จะคอยดูแลเรื่องไฟ ส่วนหลินเว่ยเว่ยก็ทำงานครัวไปเรื่อย ๆ พอตอนนี้มีติงหลิงเอ๋อร์เพิ่มขึ้นมา หลินเว่ยเว่ยจึงย้ายเขียงมาที่ลานบ้าน
ขั้นตอนทำขนมซานเย่าฝูหลิงไม่ยาก แค่นำซานเย่านึ่งสุกแล้วมาบดจนเนื้อเนียน บดฝูหลิงให้เป็นผง จากนั้นก็นำมาผสมรวมกันตามอัตราส่วนที่กำหนด หลังจากเติมรสหวานจากน้ำผึ้งลงไปแล้วก็เทใส่แม่พิมพ์ที่ทาน้ำมันไว้ ท้ายที่สุดก็ใส่ลงในหม้อแล้วนึ่งให้สุกเท่านั้นเอง
เจียงโม่หานเห็นหลินเว่ยเว่ยและติงหลิงเอ๋อร์กำลังยุ่งอยู่กับงานครัว จึงเหลือบตามองหมินอ๋องที่ซ่อนอยู่บนต้นไม้ เขาใช้ข้ออ้างว่าอยากถามอะไรบางอย่างจากติงหยูเจินแล้วพาอีกฝ่ายเข้าห้องตัวเอง เป็นธรรมดาที่หลินจื่อเหยียนจะไม่ปล่อยโอกาสในการเรียนรู้ให้ผ่านไป เขาก็เดินตามไปด้วย…
ขนมซานเย่าฝูหลิงนึ่งบนเตาได้ประมาณหนึ่งก้านธูปก็ถูกยกออกแล้ว ติงหลิงเอ๋อร์แกะขนมออกจากแม่พิมพ์ใส่ถาดด้วยความตื่นเต้น จากนั้นยังราดน้ำผึ้งลงไปเพราะได้รับคำแนะนำจากหลินเว่ยเว่ย นางหยิบขนมที่ไม่ค่อยขึ้นรูปมาหนึ่งชิ้น จากนั้นก็เอาไปให้พี่ใหญ่ด้วยความดีใจ “พี่ใหญ่ นี่เป็นขนมมีสรรพคุณทางยาที่ข้าทำเอง ! ท่านรีบชิมสิ ! ”
ติงหยูเจินมองชิ้นขนมที่ไม่สมบูรณ์ เหมือนขนมซานเย่าฝูหลิงจะโดนอะไรแทะมาก็ไม่ปานแล้วหันไปมองชิ้นขนมที่ขึ้นรูปตามแม่พิมพ์บุปผาในถาดเหล่านั้น…ไม่ต้องให้น้องสาวบอก เขาก็มองออก !
ต่อจากนั้นเขาก็รีบชิม กลิ่นยาของฝูหลิงถูกกลบด้วยกลิ่นน้ำผึ้ง รสชาติหวาน ๆ เนื้อสัมผัสร่วน รสชาติพอไปได้ แต่ถ้าเอามาเทียบกันแล้วเขายังชอบเค้กพุทราแดงมากกว่า…
จากนั้นติงหลิงเอ๋อร์ก็เลือกชิ้นสวยที่สุดแล้วส่งเข้าปากตัวเองพลางพยักหน้าพูดว่า “พี่หลินบอกว่าเป็นขนมที่มีสรรพคุณทางยาช่วยบำรุงม้ามกับกระเพาะ…แต่ไม่มีกลิ่นยาแม้แต่น้อย ! หืม ? ผ่านไปครู่เดียวพวกท่านก็กินเค้กพุทราแดงหมดแล้ว ? พี่ใหญ่ พวกท่านทำเกินไปแล้ว ข้ากับพี่หลินทำกันตั้งนาน ข้าเพิ่งได้กินไปแค่ชิ้นเล็ก ๆ ชิ้นเดียวเอง ส่วนพี่หลินยังไม่ได้ชิมเลยด้วยซ้ำ ขนมก็หมดแล้วหรือ ? พวกท่านไม่กลัวจะโดนทุบหรือไร ! ”
ติงหลิงเอ๋อร์เห็นบนเขียง นอกจากเศษซากเค้กพุทราแดงแล้วก็ไม่เหลือขนมอยู่สักชิ้น นางจึงอดไม่ได้ที่จะตำหนิพี่ชาย
ติงหยูเจินคิดว่าโดนใส่ความยิ่งกว่าโต้วเอ๋อ (ตัวละครจากนิทานพื้นบ้านในประวัติศาสตร์) “ไม่ใช่พวกเรา…ข้ากินไปแค่ชิ้นเล็กที่เจ้าแบ่งให้ น้องเจียงกับน้องชายหลินก็กินไปแค่ชิ้นเดียว…เมื่อครู่ตอนที่พวกเราเข้ามาในห้อง ก็เห็นว่าบนเขียงยังมีเหลืออยู่ตั้ง 4-5 ชิ้น ! ”
ติงหลิงเอ๋อร์กระทืบเท้า “ในลานบ้านหลังนี้มีแค่พวกเราไม่กี่คน หากไม่ใช่พวกท่านกิน แล้วจะโดนหนูขโมยไปกินหรือไร ? ”
หลินเว่ยเว่ยขมวดคิ้ว “ถ้าโดนหนูหรือแมวเอาไปกิน ก็ต้องมีปากที่กว้างมาก แค่ครู่เดียวก็ขโมยไปตั้งสี่ห้าชิ้น ? บนพื้นก็ไม่มีเศษขนมตกอยู่เลย…”
“ประหลาดจริง ๆ หรือเค้กพุทราแดงจะมีขาจึงสามารถวิ่งได้ ? ” ติงหลิงเอ๋อร์เข้ามาเบียดหลินเว่ยเว่ย…ในบ้านเช่าของพี่หลินคงไม่ได้มีสิ่งลี้ลับอะไรอยู่ด้วยหรอกกระมัง ?
หลินเว่ยเว่ยมั่นใจว่าต้องเป็นฝีมือมนุษย์แน่นอน ! สามารถเข้ามาขโมยขนมที่อยู่ใกล้ครัวโดยไม่มีเสียงและทำให้พวกนางไม่รู้ตัวได้แบบนี้ จะต้องเป็นยอดฝีมือไม่ผิดเพี้ยน…จอมยุทธคนนั้นจะทำตัวไร้ศักดิ์ศรีโดยมาขโมยแค่ขนมไม่กี่ชิ้นเองหรือ ?
หมินอ๋องผู้ไร้ศักดิ์ศรีที่ขโมยขนมไม่กี่ชิ้นไปก็วางสมบัติล้ำค่าลงตรงเบื้องพระพักตร์ของฮ่องเต้หยวนชิง พอฮ่องเต้เห็นพระสหายทำสีหน้าภาคภูมิใจและโอ้อวด จึงบังเกิดความสงสัยขึ้นมา ก่อนจะหันไปทอดพระเนตรขนมไม่กี่ชิ้นที่บิดเบี้ยวไร้รูปทรง “หยูอัน เจ้าทำอะไร ? ”
หมินอ๋องแย้มพระโอษฐ์หนักกว่าเดิม “ทูลฝ่าบาท นี่เป็นขนมที่บุตรสาวของกระหม่อมทำเอง แค่ได้กลิ่นก็น่ากินแล้วใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ ? สมกับที่เป็นบุตรสาวของกระหม่อมจริง ๆ สู้รบก็ได้ เข้าครัวก็เป็น ! พรสวรรค์ด้านการต่อสู้เหมือนกระหม่อม มีความคิดสร้างสรรค์เหมือนเสวี่ยเอ๋อร์ หากนางไม่ใช่บุตรแท้ ๆ ของตระกูลจ้าว กระหม่อมจะยืนเอาแขนต่างเท้าแล้วกินเค้กพุทราแดงพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ฮ่องเต้หยวนชิงเบื่อจะเห็นท่าทาง ‘ค้างคกขึ้นวอ’ ของอีกฝ่าย “ทำไมหรือ ? เจ้าวิ่งไปรับนางมาเป็นบุตรสาวแล้ว ? หยูอัน เจิ้นจะตำหนิเจ้าอย่างไรดี ! เหตุใดเจ้าไม่รู้จักข่มอารมณ์ไว้บ้าง ? ”
“เปล่าพ่ะย่ะค่ะ ! ผลการสืบเรื่องราวของพระองค์ยังไม่แน่ชัด แล้วกระหม่อมจะวู่วามไปรับนางมาเลยได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ? แม้กระหม่อมจะมั่นใจว่านางหนูคนนั้นเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขจริง ๆ แต่เพื่อความรอบคอบที่สุด อย่างไรก็ต้องตรวจสอบให้ชัดเจนก่อนพ่ะย่ะค่ะ ! ” หมินอ๋องก็อยากจะพบบุตรสาวโดยเร็ว แต่พระองค์มีตำแหน่งในกองทัพและราชสำนัก จึงจำเป็นต้องป้องกันผู้มีเจตนาร้ายมาใช้อุบายต่อพระองค์และฝ่าบาท
เรื่องอาชาพยศครานั้นก็ถูกตรวจสอบจนกระจ่างแล้วว่าเป็นฝีมือของกบฏราชวงศ์ก่อน คนพวกนี้ซ่อนตัวได้เก่งมาก ในวังได้มีการกวาดล้างหลายต่อหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ยังกำจัดไม่สิ้นซากเสียที !
หากไม่ได้บังเอิญเจอเด็กสาวแซ่หลิน แม้ฮ่องเต้จะทรงอาชาเก่งเพียงใด อาชาพยศที่ห้อตะบึงได้ราวกับเหาะเหินตัวนี้ก็อาจทำให้พระองค์ได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งการปรากฏตัวของเด็กสาวตระกูลหลินดูบังเอิญเกินไป มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญหรือมีการจัดฉากไว้กันแน่…การที่ฮ่องเต้จะหวาดระแวงนั้น หมินอ๋องก็สามารถเข้าพระทัยได้
พอฮ่องเต้หยวนชิงได้สดับตรับฟังคำพูดของหมินอ๋องแล้ว พระองค์ก็เริ่มสงสัยยิ่งกว่าเดิม “ถ้าเช่นนั้น…ขนมพวกนี้เจ้าได้มาอย่างไร ? ”
หมินอ๋องดูไม่เป็นตัวเองขึ้นมาทันที ทำเพียงแย้มพระสรวลอย่างแห้งเหือด “ได้มาอย่างไร พระองค์ไม่ต้องสนพระทัยหรอกพ่ะย่ะค่ะ พระองค์รีบเสวยเถิด บุตรสาวของกระหม่อมพูดว่าขนมชนิดนี้ช่วยบำรุงม้ามและกระเพาะอาหารได้ ช่วงนี้พระองค์เบื่ออาหารไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ฮ่องเต้หยวนชิงเจริญพระชันษาขึ้นมาพร้อมกับหมินอ๋อง แล้วจะไม่รู้จักพระสหายอีกหรือ ? พอเห็นอีกฝ่ายทำตัวประหม่าและเขินอาย พระองค์ก็ทั้งโมโหและรู้สึกขำขัน “เจ้าไปขโมยขนมที่บ้านนางมาหรือ ? ”
“ฝ่าบาทตรัสผิดแล้ว ! กระหม่อมไปเอาขนมของ ‘บุตรสาว’ มาแค่ไม่กี่ชิ้น แล้วจะเรียกว่าขโมยได้อย่างไร ? อีกอย่างกระหม่อมทำเพื่อใครเล่าพ่ะย่ะค่ะ ? ”
หมินอ๋องดูขัดเขินอยู่พอสมควร จากนั้นก็ตัดแค่บริเวณมุมของเค้กพุทราแดงแล้วยัดใส่พระโอษฐ์ของตน ไม่ช้าก็บ่นในหทัยว่า ‘รู้อย่างนี้ไม่เอามาให้ในวังก็ดี ขนมอร่อยขนาดนี้เก็บไว้กินเองไม่ดีกว่าหรือ ? ’
หัวหน้าขันทีที่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างพระวรกายฮ่องเต้หยวนชิงก็เห็นหมินอ๋องแย่งงานชิมเครื่องเสวยของตนไป ดวงตาจึงแทบจะถลนออกมาอยู่แล้ว…หมินอ๋องเป็นเสาหลักของแผ่นดิน หากเสวยแล้วเกิดเป็นอะไรขึ้นมา จะเป็นเรื่องดีอย่างไร ?
ฮ่องเต้หยวนชิงรู้ว่าพระสหายเป็นผู้ที่รักศักดิ์ศรี หัวข้อนี้จึงหยุดอยู่เพียงเท่านี้ “เจิ้นรู้ว่าเจ้าเป็นห่วงสุขภาพของเจิ้น แต่โรคน่ารำคาญนี้แม้แต่สำนักหมอหลวงก็เคยลองเปลี่ยนสูตรยาให้เจิ้นแล้ว…”
“ไม่ต้องตรัสถึงหมอหลวงเหล่านั้นพ่ะย่ะค่ะ ! หากเหลียงหยวนเจิ้งจากราชวงศ์ก่อนยังอยู่ก็คงจะดี พระพลานามัยของพระองค์ก็คงได้รับการรักษาจนหายนานแล้ว ส่วนเสวี่ยเอ๋อร์ก็คง…” หมินอ๋องขมวดพระขนงมุ่น รู้สึกไม่พอพระทัยต่อหมอหลวงที่มีฝีมือปานกลางเหล่านั้นสุด ๆ
เหลียงหยวนเจิ้งมีทักษะทางการแพทย์สูงส่ง จรรยาบรรณแพทย์ก็สูงยิ่ง แต่ต้องมาพลาดท่าเสียทีให้แก่กลอุบายในวังหลังแห่งราชวงศ์ก่อน ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน !
เมื่อก่อน ตอนที่ฮ่องเต้หยวนชิงยังเป็นเพียงแม่ทัพขั้นสามก็เคยได้รับความช่วยเหลือจากเหลียงหยวนเจิ้ง จึงยังพยายามตามหาทายาทของอีกฝ่ายอย่างสุดกำลัง แต่น่าเสียดาย…พระองค์ส่ายดวงพักตร์แล้วหยิบเค้กพุทราแดงขึ้นมาหนึ่งชิ้นพลางตรัสว่า “ขนมนี้ หน้าตาอาจดูธรรมดา แต่กลิ่นหอมไม่เบา ! ”