หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 638 ตอนกลางวันทำงานแล้วตอนกลางคืนพวกเจ้าทำอะไรกัน
ตอนที่ 638 ตอนกลางวันทำงานแล้วตอนกลางคืนพวกเจ้าทำอะไรกัน
ผู้ดูแลฉูที่เดินตามมาข้างหลังจึงไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที “ฝูหรงกงกง ตอนพูดถึงไร่ตัวเองก็อย่าลากทางฝั่งพวกเราไปเหยียบย่ำได้หรือไม่ ? พืชผลของเราสู้ของท่านไม่ได้ตรงไหน ? ตอนเก็บเกี่ยวแล้วพวกเราค่อยมาพิสูจน์กัน ! ”
“ผู้ดูแลฉู ท่านอย่าเพิ่งโมโห ! ข้าไม่ได้เหยียบย่ำ ข้าแค่หยิบยกมาพูดเท่านั้น ! แล้วยังมีปลาในบ่อนี้อีก ข้าใช้มูลไก่ มูลวัวที่ทำความสะอาดแล้วมาทำอาหารปลา มันจึงตัวอ้วนเชียวล่ะ…” ขันทีฝูหรงยิ้มเหมือนพระศรีอริยเมตไตรย ดวงตาของเขาแทบจะกลายเป็นเส้นตรงอยู่แล้ว
ผู้ดูแลฉูทนเห็นใบหน้าชั่วร้ายของเขาไม่ได้ จึงเผลอพูดว่า “การเกษตรแบบผสมผสานเป็นความคิดของนายหญิงบ้านเรา แล้วท่านภูมิใจทำไม ? ”
“นี่ก็พิสูจน์ว่าข้ามีแววตาหลักแหลม เลือกตามเจ้านายถูกคน แล้วจะไม่ภูมิใจได้อย่างไร ? ผู้ดูแลฉู ท่านดูแลไร่สินเดิมขององค์หญิง ส่วนข้าดูแลการเกษตรแบบผสมผสาน น้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง แล้วท่านจะวางท่าทางหาเรื่องข้าทำไม ? ” สมแล้วที่ขันทีฝูหรงมาจากวังหลวง ตอนเริ่มแรกพูดเอาใจเจ้านายอย่างหลินเว่ยเว่ย จากนั้นยังวางอุบายต่อหน้าเจ้านายอีก ความหมายแฝงคือ…ผู้ดูแลฉูกำลังหาเรื่องตนเพื่อทำลายความสามัคคี !
หลินเว่ยเว่ยพูดด้วยรอยยิ้ม “พวกท่านทำงานกันได้ไม่เลว ! ตอนสิ้นปีเอาอั่งเปาซองใหญ่ ๆ ไปเลย ! สถานการณ์ของทั้งสองไร่เป็นอย่างไร ข้ารู้ดีแก่ใจ ! ฝูหรงกงกง ตอนนี้ในฟาร์มวัวมีวัวอยู่กี่ตัว ? ”
ขันทีฝูหรงเหลือบมองผู้ดูแลฉูด้วยสายตาได้ใจแวบหนึ่งแล้วหันมาตอบคำถาม “ทูลองค์หญิง ตอนนี้มีวัวโตเต็มวัย 30 ตัว ลูกวัว 18 ตัว เติบโตดีทุกตัว พระองค์จะไปดูหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ”
“ไม่ดีกว่า ฝูหรงกงกงเป็นคนจัดการ ข้าก็วางใจ แต่จำนวนวัวยังมีน้อยไปหน่อย เป้าหมายของข้าคือเมื่อถึงสิ้นปีแล้ววัวในฟาร์มจะต้องมีเพิ่มเป็นสี่เท่า ! ” วัว 48 ตัว แค่ที่ดินสองผืนนี้ยังไม่พอใช้แล้ว จะปล่อยเช่าให้ราษฎรได้อย่างไร ?
มุมปากขันทีฝูหรงกระตุก…สี่เท่า ? ก็เท่ากับเกือบสองร้อยตัว…เขายังสร้างวัวออกมาจากอากาศไม่ได้สักหน่อย ‘องค์หญิงเว่ยเว่ยทรงไม่พอพระทัยในตัวกระหม่อมหรือเปล่า ถึงได้จงใจสร้างความลำบากให้กัน ? ’
ทว่าคำพูดประโยคถัดไปของหลินเว่ยเว่ยก็ทำให้หัวใจที่เต้นรัวของเขากลับมาสงบอีกครั้ง “ข้าส่งจดหมายไปยังภาคเหนือแล้ว บอกให้พวกเขาส่งพ่อพันธุ์แม่พันธุ์วัวมาหนึ่งชุด เดือนหน้าก็ใกล้จะถึงเมืองหลวงแล้วล่ะ ฝูหรงกงกงอย่าลืมให้คนไปรับสินค้าที่ท่าเรือด้วย…”
หลังกลับจากไร่ หลินเว่ยเว่ยก็คิดว่าช่วงหลายวันนี้ตนไม่ค่อยได้กลับไปบ้านมารดาเลย นางจึงทำขนมเล็กน้อยแล้วแบ่งใส่กล่องสามใบ ใบแรกให้คนนำไปส่งที่เขตปกครองซุ่นเทียนเพื่อเป็นอาหารว่างแก่สามี ส่วนอีกสองกล่องที่เหลือนางหอบไปที่ตำหนักหมินอ๋องก่อนแล้วค่อยไปจวนสกุลหลิน…
เมื่อไปถึงตำหนักหมินอ๋องก็เห็นนางหวงกำลังสนทนาอยู่กับหมินหวางเฟย ! ทั้งสองเข้ากันได้ดีตั้งแต่สามปีก่อนในที่ว่าการอำเภอหนิงซีแล้ว หมินหวางเฟยผู้มีอารมณ์ขันกับนางหวงผู้อ่อนโยนจึงกลายเป็นพี่น้องที่รู้ใจกัน แม้จะกลับมาที่เมืองหลวงแล้ว ทั้งสองก็ยังติดต่อกันเหมือนเดิม
หมินหวางเฟยไม่ได้เสวยขนมของหลินเว่ยเว่ยนานแล้ว…นางคิดบ่อย ๆ ว่าไม่ควรสนใจสายตาคนอื่นเลย แต่ควรยืนกรานให้สองสามีภรรยาคู่นี้อยู่ในตำหนักอ๋องต่อไป ถึงแม้บ้านทั้งสองจะอยู่ห่างกันไม่ไกล แต่ก็ไม่สะดวกเท่าเวลาอยู่ด้วยกันหรอก
นางหวงอยู่ด้วยพอดี หลินเว่ยเว่ยจึงไม่ต้องไปจวนสกุลหลินอีกรอบ ขณะอยู่คุยเป็นเพื่อนมารดาทั้งสอง จู่ ๆ หมินหวางเฟยก็หันไปถามนางหวงว่า “ปีนี้เว่ยเอ๋อร์จะอายุ 19 ปีแล้วใช่หรือไม่ ? ”
นางหวงพยักหน้า “ใช่แล้ว ! เข้าเดือนสิบสองนี้ก็ครบ 19 ปีแล้วเพคะ…”
มารดาทั้งสองมองหน้ากันไปมาแล้วจู่ ๆ ก็หันมามองหน้าท้องของหลินเว่ยเว่ยพร้อมกัน หมินหวางเฟยถามขึ้นมาตามตรง “เว่ยเอ๋อร์ ตอนคนอื่นอายุเท่านี้ ลูกของพวกเขาวิ่งเต็มบ้านแล้ว ตอนแม่อายุ 19 ปี พี่ชายของเจ้าก็เรียกแม่ได้แล้วนะ ! ”
พอหลินเว่ยเว่ยได้ยินแบบนั้น ขนมที่กินอยู่ก็แทบติดคอทันที หลังจากไอเสร็จแล้วก็รีบรับถ้วยน้ำชาที่นางหวงยื่นให้ “หมู่เฟย นี่พระองค์…กำลังเร่งให้หม่อมฉันมีลูกหรือเพคะ ? ”
หมินหวางเฟยตรัสด้วยน้ำเสียงสมเหตุสมผล “อายุขนาดนี้ก็มีได้แล้ว ! จริงสิ เจ้ากับหานเอ๋อร์ร่วมหอกันหรือยัง ? ”
“หมู่เฟย…พระองค์ช่วยถามให้อ้อมค้อมหน่อยได้ไหมเพคะ ? ช่วยรักษาท่าทีหน่อยได้หรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ยดูไม่เขินอายแม้แต่น้อย เพียงกลอกตาให้หมู่เฟยเท่านั้น
หมินหวางเฟยพยักดวงพักตร์ “ได้ เช่นนั้นแม่ถามใหม่ เว่ยเอ๋อร์ เจ้ากับสามีทำกิจกรรมในห้องนอนกันแล้วหรือยัง ? ”
หลินเว่ยเว่ยถูจมูกและหัวเราะเสียงแห้งสองครั้ง “ยังเพคะ…นี่ก็เพราะ…เพราะพวกเราต่างยุ่งกันมากจึงไม่ได้สนใจมันเพคะ ! ”
“ตอนกลางวันพวกเจ้าทำงานแล้วตอนกลางคืนยังยุ่งด้วยหรือ ? ” หมินหวางเฟยจ้องนางด้วยความไม่พอพระทัย “หานเอ๋อร์เล่า ? เขาไม่ได้แสดงท่าทีอะไรเลยหรือ ? ”
“บัณฑิตน้อยเป็นคนค่อนข้างขี้อายเพคะ…” หลินเว่ยเว่ยช่วยพูดแทนสามี
หมินหวางเฟยขมวดพระขนง “พวกเจ้ายังอยู่ห้องเดียวกันและนอนเตียงเดียวกันหรือไม่ ? ”
เมื่อเห็นหลินเว่ยเว่ยพยักหน้า นางก็ตรัสด้วยความสงสัย “ไม่ถูก ! ตามหลักแล้ว วัยของหานเอ๋อร์น่าจะเลือดร้อน อยากแสดงพลัง ภรรยาก็งดงามขนาดนี้มานอนอยู่ข้าง ๆ จะไม่แสดงท่าทีได้อย่างไร ? หรือว่า…เขาป่วยเป็นโรค ? ถ้าเป็นอะไรก็ต้องรีบรักษา ! จะเก็บซ่อนไม่ได้เด็ดขาด ! ”
นางหวงเอื้อมมือมาดึงหมินหวางเฟยด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ “เว่ยเอ๋อร์ยังเด็ก พระองค์ตรัสเรื่องพวกนี้ต่อหน้านางจะเหมาะสมหรือเพคะ ? ”
“มีอะไรไม่เหมาะสม ? นางแต่งงานมาสามปีแล้ว น่าจะรู้เรื่องบนเตียงของสามีภรรยาได้แล้วเช่นกัน” ทันใดนั้นนางก็ลุกขึ้นแล้วหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกจากกล่องสินเดิมของตน จากนั้นยัดใส่มือหลินเว่ยเว่ย “เอาไปแล้วค่อย ๆ อ่าน ! ”
เมื่อเห็นหลินเว่ยเว่ยพลิกอ่านด้วยความอยากรู้อยากเห็น หมินหวางเฟยก็รีบจับมือนางไว้ด้วยสีพระพักตร์แดงก่ำพร้อมดุว่า “อย่าเพิ่งอ่านตอนนี้ กลับไปอ่านกับสามีของเจ้าโน้น ! ”
หลินเว่ยเว่ยมีลางสังหรณ์บางอย่างจึงแอบหัวเราะในใจ ‘หนังสือที่หมู่เฟยให้นางมา คงไม่ใช่หนังสือผู้ใหญ่ของคนสมัยโบราณหรอกกระมัง ? ไม่รู้ว่าหนังสือของคนสมัยโบราณจะเผ็ดร้อนเหมือนหนังสือ ‘…’ ของยุคอนาคตหรือไม่ ! ’
นางแกล้งทำเป็นใสซื่อแล้วเก็บหนังสืออย่างคนไม่รู้ความ หลังรับประทานอาหารเย็นเป็นเพื่อนมารดาทั้งสองแล้วถึงได้นำหนังสือลึกลับเล่มนั้นกลับมาที่เรือนหลังน้อยอันแสนอบอุ่นของตนกับบัณฑิตน้อย
ช่วงบ่าย เจียงโม่หานออกไปเดินสำรวจหมู่บ้านสองสามแห่งในแถบชานเมืองแล้วกลับมาจดบันทึกที่ห้องหนังสือ เมื่อมีสมุดบัญชีที่ตีพิมพ์ออกมาแล้ว งานของเขาก็เสร็จเร็วขึ้นมาก
นับตั้งแต่ที่เขานำข้อมูลของอดีตและปัจจุบันมาเปรียบเทียบกันด้วยรูปแบบตารางให้ฮ่องเต้ทอดพระเนตร มันก็ได้รับการสนับสนุนจากฮ่องเต้ การจดบันทึกในรูปแบบแผนภูมินี้จึงกลายเป็นที่นิยมในหมู่สำนักและกรมต่าง ๆ ผ่านไปไม่นานทุกคนก็เริ่มเล็งเห็นถึงความสะดวกสบายและความใช้งานง่ายของการจดบันทึกประเภทนี้ แม้แต่นักบัญชีของตระกูลต่าง ๆ ยังเริ่มศึกษาและใช้วิธีจดบันทึกรูปแบบนี้เช่นกัน ! ตอนแรกเริ่มสมุดบัญชีของร้านโม่เซียงถูกถามซื้อตามปกติจนไปถึงแย่งซื้อ ทำให้ก่อเกิดกำไรอย่างมหาศาล
ทว่าแผนภูมิประเภทนี้ถูกเลียนแบบได้ง่าย ผ่านไปไม่นานจึงมีร้านอื่นเริ่มทำเลียนแบบ กั๋วจิ้วเย่จึงไปหาเจียงโม่หาน ทั้งสองคนร่วมมือกัน คนหนึ่งออกแบบ คนหนึ่งตีพิมพ์จำหน่ายและยังออกสมุดบัญชีที่ให้ประโยชน์สูงมาอีกสองสามแบบ แม้ผ่านไปไม่นานก็มีของเลียนแบบออกมาอีก แต่กิจการร้านโม่เซียงกลับดำเนินไปได้อย่างยั่งยืน