หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 643 ฮ่องเต้ยังไม่ล้มเลิกความคิดเยี่ยงหัวขโมย
ตอนที่ 643 ฮ่องเต้ยังไม่ล้มเลิกความคิดเยี่ยงหัวขโมย
“ว่าอย่างไรนะ ? ” ฮ่องเต้หยวนชิงถลันพระวรกายลุกขึ้นยืน “ข้าวสาลีได้ถึง 500 ชั่ง ? เว่ยเว่ยเป็นดาวนำโชคของเจิ้นอย่างแท้จริง ! ! ”
“ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ นางเป็นดาวนำโชค ! ดาวนำโชคที่หล่นมาจากฟากฟ้าเพื่ออวยพรให้กับต้าเซี่ยของเรา ! ” คาดไม่ถึงว่าองค์รัชทายาทที่ยังทรงพระเยาว์ก็เริ่มเชื่อเรื่องโชคลางขนาดนี้แล้ว !
ฮ่องเต้หยวนชิงอยากเสด็จไปที่ไร่ตอนนี้ เพื่อให้เห็นช่วงเวลาน่าอัศจรรย์กับดวงเนตร ! ข้าวโพดเป็นธัญพืชหยาบ แม้ผลผลิตถึง 500 ชั่งจะทำให้ทรงประหลาดพระทัย แต่ก็ไม่ได้ดีพระทัยเหมือนในเวลานี้ ใครจะไปคาดคิดว่าข้าวสาลีที่ให้ผลผลิตได้แค่ร้อยสองร้อยชั่งจะเพิ่มไปถึง 500 ชั่งได้…เป็นอย่างที่องค์รัชทายาทตรัสว่านี่เป็นโชคอันยิ่งใหญ่ของแผ่นดิน !
“ไม่ได้การ ถ้าข่าวนี้แพร่ออกไปจะต้องมีคนนั่งไม่ติดแล้วพุ่งเป้ามาที่เว่ยเว่ยแน่นอน ความปลอดภัยของนางหนูเว่ยเว่ยจะต้องดูแลให้ดี ! ” ฮ่องเต้หยวนชิงรีบบัญชาองค์รักเงา 4 นายไปคุ้มครองหลินเว่ยเว่ยทันที
“อันที่จริง สถานที่ปลอดภัยที่สุดก็คือวังหลวง…” ฮ่องเต้หยวนชิงหันไปทอดพระเนตรพระโอรสเหมือนเห็นคนไม่เอาไหน ‘เจ้าลูกไม่ได้เรื่อง ! ตอนนั้นบอกให้เจ้าเกี้ยวพาเว่ยเว่ยให้ติด ถ้าอยู่ที่ตำหนักบูรพาแล้ว ใครจะทำร้ายนางได้ ? ’
องค์รัชทายาทแย้มโอษฐ์อย่างขมขื่น ‘ฟู่หวงยังไม่ล้มเลิกความคิดเยี่ยงหัวขโมยนั้นออกไปสิท่า ! ก่อนมาที่เมืองหลวง น้องเว่ยเว่ยก็มีคู่หมั้นอยู่แล้ว พระองค์ไปแย่งคนรักของคนอื่นมาครอง จะดูเหมาะสมหรือไร ? อีกอย่างคือน้องเว่ยเว่ยก็ไม่ใช่สตรีที่จะอยู่แต่ในเรือนหลังได้เสียหน่อย ? อินทรีไม่ควรโดนหักปีกแล้วจำกัดการบินขึ้นฟ้าใช่หรือไม่ ? ’
ผ่านไปไม่นาน ทฤษฎีข้าวงอกใหม่ของหลินเว่ยเว่ยก็ไปถึงพระกรรณของฮ่องเต้หยวนชิง ข้าวขาวรอบแรกได้ผลผลิต 400 ชั่ง แม้ข้าวงอกใหม่จะให้ผลผลิตต่ำ อย่างไรก็น่าจะได้ถึง 100 ชั่งอยู่ดี…ถ้าแบบนั้นก็ไม่ได้แปลว่าปลูกข้าวขาวหนึ่งรอบจะได้ผลผลิตถึง 500 ชั่งหรอกหรือ ? ฮ่าฮ่า ! มีเสบียงให้กองทัพแล้ว พอกองทัพแข็งแกร่งแล้วยังต้องกลัวการรุกรานจากต่างแดน ต้องกลัวพวกกบฏราชวงศ์ก่อนอีกหรือ ?
ผ่านไปอีกไม่นาน คนที่รู้ข่าวเร็วกว่าชาวบ้านก็มาเยือนถึงเรือนเพื่อขอซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวสาลีและข้าวขาว สำหรับเมล็ดพันธุ์ข้าวขาว ปีหน้าหลินเว่ยเว่ยยังต้องใช้ในการปรับปรุงข้าวพันธุ์ผสมจึงเป็นธรรมดาที่จะขายไม่ได้ ส่วนเมล็ดพันธุ์ข้าวสาลีสามารถแบ่งขายได้บางส่วน แต่จะขายให้ชนชั้นสูง พ่อค้าผู้มั่งคั่งหรือขุนนางเรืองอำนาจไม่ได้…
นางบอกไปแค่ว่าได้ปรับปรุงพันธุ์พืชแทนราชสำนัก ดังนั้นเมล็ดพันธุ์ย่อมไม่ใช่ของนาง แต่เป็นของฮ่องเต้ผู้หนุนหลังแสนยิ่งใหญ่ ! หลังจากไล่คนพวกนี้ออกไปแล้ว นางก็คำนวณเมล็ดพันธุ์ที่ตนจะใช้ในปีหน้า ก่อนจะยกส่วนที่เหลือให้สามีจัดการ
ผ่านไปอีกพักหนึ่งก็มาถึงฤดูเก็บเกี่ยวข้าวโพด ท้องไร่เป็นดินที่อุดมสมบูรณ์อยู่แล้ว กอปรกับได้ปุ๋ยอย่างเพียงพอ ปริมาณข้าวโพดที่ได้จึงเป็นธรรมดาที่จะสูงกว่าทางตะวันตกเฉียงเหนือเล็กน้อย ผลผลิตขึ้นไปเกือบ 700 ชั่งต่อหนึ่งหมู่ ส่วนไร่ของฮองเฮาได้ข้าวโพดปริมาณถึง 600 กว่าชั่ง
เขตปกครองซุ่นเทียนมีความเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว พวกเจ้าหน้าที่แบ่งกันไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ เพื่อประกาศเรื่องเมล็ดพันธุ์ให้ผลผลิตสูงของราชสำนัก แต่ละครอบครัวสามารถซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดได้ 20 ชั่งตามโฉนดที่ดินในครอบครอง…หรือก็คือปลูกได้ประมาณ 4-5 หมู่นั่นเอง
ในที่สุดงานที่เจียงโม่หานทำมา 2-3 เดือนก็ได้ใช้ประโยชน์ ชาวบ้านที่มาซื้อเมล็ดพันธุ์หน้าที่ทำการซุ่นเทียนต้องแจ้งชื่อหมู่บ้านของตัวเองก่อน จากนั้นถึงจะหาชื่อจากสมุดบัญชีเล่มนั้น หลังตรวจทะเบียนบ้านและโฉนดที่ดินแล้วก็สามารถซื้อเมล็ดพันธุ์ 1 ชั่งได้ในราคา 5 อีแปะ
มีชาวบ้านคนหนึ่งถามอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “ท่านเจ้าหน้าที่ เมล็ดพันธุ์ชนิดนี้ปลูกได้ 600-700 ชั่งจริงหรือขอรับ ? ” เมล็ดพันธุ์ชั่งละ 5 อีแปะ ถือเป็นราคาที่สมเหตุสมผล ชาวบ้านที่อยู่แถบชานเมืองหลวงยังพอหาเงินก้อนนี้ได้อยู่บ้าง แต่ผลผลิต 600-700 ชั่งต่อหมู่ ดูเกินจริงไปหน่อย จึงมีหลายคนไม่กล้าเชื่อ !
เจ้าหน้าที่คนนั้นพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “นี่เป็นเมล็ดพันธุ์ที่ฟาร์มหลวงปรับปรุงพันธุ์ขึ้นมาได้ แล้วราชสำนักจะโกหกพวกเจ้าทำไม ? จำไว้ว่าเมล็ดพันธุ์พวกนี้ต้องเอาไปปลูกเองเท่านั้น ถ้าขายให้คนอื่น จะโดนโบยแล้วถูกส่งตัวไปทำงานหนักที่ชายแดน ! ”
“ไม่ขาย ไม่ขายขอรับ ! ” ต่อจากนั้นชาวบ้านคนนั้นก็จ่ายเงินแล้วเก็บเมล็ดพันธุ์ซ่อนไว้ในอกเสื้อด้วยความระมัดระวัง เมล็ดพันธุ์ 20 ชั่งนี้เป็นความหวังของคนทั้งบ้าน ! อย่าว่าแต่ผลผลิต 600-700 ชั่งเลย แม้จะได้ 500 ชั่ง หลังจ่ายภาษีแล้วพวกเขาก็ยังเหลือไว้ตั้งหมู่ละ 400 ชั่ง…
ต้องรวมเวลาสามปีก่อนเข้าด้วยกันถึงจะได้ผลผลิตมากขนาดนี้ เจ้าหน้าที่ก็บอกแล้วว่านี่เป็นเมล็ดพันธุ์สำหรับพื้นที่ 5 หมู่ กลับบ้านไปแล้วก็รีบแผ้วถางที่ดินสักสองหมู่เพื่อทดลองปลูกข้าวโพดให้ผลผลิตสูงนี้ลงไป ปีหน้าก็ไม่ต้องกลัวว่าจะอดอยาก !
สำหรับเมล็ดพันธุ์ข้าวสาลี เนื่องจากพื้นที่หนึ่งหมู่ต้องใช้เมล็ดพันธุ์มากกว่าและราคาค่อนข้างสูง จึงมีคนซื้อไปค่อนข้างน้อย แต่แบบนี้ก็เป็นไปตามที่หลินเว่ยเว่ยคาดหวัง…เนื่องจากเมล็ดพันธุ์ข้าวสาลีมีน้อยกว่าข้าวโพด นางจึงกังวลว่าจะหมดในชั่วพริบตา !
สุดท้ายก็เป็นคนที่มีไร่อยู่ค่อนข้างมากตามหมู่บ้านต่าง ๆ และคนฐานะค่อนข้างดีที่ซื้อกลับไป เนื่องจากเป็นปีแรกในการส่งเสริมให้เพาะปลูก ดังนั้นพวกชาวบ้านจึงยังไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไร
หลินเว่ยเว่ยกินข้าวที่ปลูกเอง…แม้รสชาติแย่กว่าข้าวในห้วงมิติน้ำพุวิญญาณ แต่ถ้าเทียบกับข้าวขาวในตลาดแล้วรสชาติถือว่าดีกว่ามาก นางเชื่อว่าเมื่อไปถึงปากที่ช่างเลือกของพวกชนชั้นสูง ข้าวขาวชนิดนี้จะต้องเป็นที่นิยมแน่นอน
ในที่สุดหลินเว่ยเว่ยก็สามารถนำข้าวในห้วงมิติน้ำพุวิญญาณออกมารับประทานได้อย่างเปิดเผยแล้ว เมื่อก่อนเวลาจะกินสักครั้งต้องหาข้ออ้างจนปวดหัว บัณฑิตน้อยฉลาดถึงขนาดนั้น ไม่รู้ว่าดูออกบ้างหรือยัง…แต่ในเมื่อเขาไม่ถาม นางก็แกล้งโง่ต่อไป แสร้งไม่รู้อะไรทั้งนั้น
เจียงโม่หานชิมข้าวหนึ่งคำแล้วเงยหน้าขึ้นมาถามหลินเว่ยเว่ยว่า “นี่เป็นข้าวขาวชนิดใหม่ที่มาจากไร่ ? ”
หลินเว่ยเว่ยเครียดขึ้นมาทันที แต่นางแกล้งตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ใช่แล้ว ! คาดไม่ถึงว่าดินและน้ำของไร่จะเหมาะกับการปลูกข้าวขาว มันมีรสชาติดีมาก ! ”
“อืม ! เทียบกับข้าวพันธุ์จิงซานเฉียวกับข้าวพันธุ์จูซี่กงแล้วดีกว่า ยังมีข้าวขาวที่กะเทาะเปลือกเหลืออีกหรือไม่ ? ส่งไปให้ตำหนักหมินอ๋องและพวกพี่ ๆ น้อง ๆ ของเจ้า…” ส่วนในวัง ! ด้วยนิสัยของหมินอ๋อง หากบุตรสาวปลูกข้าวรสชาติดีออกมาได้ขนาดนี้จะต้องเข้าวังไปคุยโวแล้วแน่นอน ดังนั้นพวกเขาไม่ต้องนำไปถวายด้วยตัวเองหรอก !
หลินเว่ยเว่ยพยักหน้า “ปีนี้ปลูกข้าวขาวไม่มาก กะเทาะเปลือกมาลองชิมแค่ 1,000 ชั่งเท่านั้น ส่วนที่เหลือเก็บไว้เป็นเมล็ดพันธุ์ ประเดี๋ยวส่งให้ตำหนักหมินอ๋อง 300 ชั่ง องค์หญิงเจียวเจียว 100 ชั่ง ส่วนคนที่สนิทกันก็ส่งไปให้บ้านละหนึ่งกระสอบ ในบ้านเราก็จะเหลือไว้ประมาณ 300-400 ชั่ง เพียงพอจนถึงข้าวงอกใหม่ในรอบถัดไปพอดี…พูดกันว่ารสชาติของข้าวงอกใหม่จะดีกว่าด้วย ! ”
“พูดกันว่า…ข้าวงอกใหม่นี้มาจากตำราของข้าอย่างนั้นหรือ ? ฮึ” เจียงโม่หานเลิกคิ้วพลางยิ้มเหมือนไม่ได้ยิ้มและพูดด้วยน้ำเสียงกวนเล็กน้อย
หลินเว่ยเว่ยรีบทำหน้าประจบแล้วเข้าไปหอมแก้มเขา “ใช่ ! แต่หลังกลับมาที่เมืองหลวงแล้วหนังสือเล่มนั้นก็หายไป คงไม่ได้หายไประหว่างเดินทางจากตะวันตกเฉียงเหนือหรอกกระมัง ? ”
เสแสร้ง ! เสแสร้งไปเถิด ! หนังสือพวกนั้นของข้ามีเล่มไหนที่อ่านต่ำกว่า 3-5 รอบบ้าง ? แล้วเหตุใดข้าจึงไม่เคยเห็น ‘ข้าวงอกใหม่’ อะไรนั่นมาก่อน ? ทว่าความลับของเด็กคนนี้เคยหลุดมาให้เขาเห็นอยู่บ่อยครั้งและยังมีหลายครั้งที่เขาต้องช่วยนางปกปิดไม่ให้คนนอกสงสัยมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาทั้งดีใจและกังวล…ภรรยาคงไม่ใช่เทพธิดาตกสวรรค์จริงหรอกกระมัง ? ไม่อย่างนั้นเหตุใดถึงเข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ มากกว่าคนที่กลับชาติมาเกิดใหม่อย่างเขาเสียอีก ?