หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 140 วางแผนปัดแข้งปัดขากัน เกิดเรื่องวุ่นวายในสวนดอกไม้ (2)
แต่ไม่ว่าทุกคนจะสนใจใคร่รู้เพียงใดก็มิอาจไปเค้นถามเรื่องราวอะไรจากจวนซู่เฉิงโหวได้ เพราะตอนที่พวกเขารู้ข่าวคราวก็ปาไปตอนพลบค่ำของวันนั้นแล้ว และวันพรุ่งนี้…ก็เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของฮ่องเต้แคว้นหวา ไม่ว่าเรื่องใดก็ต้องรอหลังจากวันเฉลิมพระชนมพรรษาผ่านพ้นไปก่อนค่อยว่ากัน
วันรุ่งขึ้นคนในจวนซู่เฉิงโหวก็เตรียมตัวเก็บข้าวของเข้าวังแต่เช้า งานเฉลิมพระชนมพรรษาคำนึงถึงความครึกครื้นสนุกสนาน ด้วยเหตุนี้คนที่มีสถานะจำกัดพระองค์ก็ทรงผ่อนปรนให้ไม่น้อย อย่างสถานะอนุภรรยาของสะใภ้ซุนเองก็มีสิทธิ์ที่จะได้ออกงาน แต่มารดาของมู่เชินกลับถูกปล่อยให้อยู่เฝ้าจวน
นอกจวนซู่เฉิงโหวมีเสียงรถม้าของจวนซู่เฉิงโหวหลายคันดังแว่วตามกันมา แต่คันที่สะดุดตาที่สุดคงเป็นรถม้าไม้พะยูงแกะสลักใหม่เอี่ยมอ่องคันหนึ่ง บนรถม้าแกะสลักเป็นภาพหงส์ห้อมล้อมด้วยเมฆวิจิตรประณีต มุมขอบด้านบนตกแต่งด้วยผ้าม่านสีม่วงอ่อนพร้อมพู่ห้อย ส่วนด้านหน้ามีม้าพันธุ์ดีขนยาวสวยสีขาวราวหิมะตัวหนึ่ง นี่เป็นรถม้าประจำตำแหน่งของจวิ้นจู่ที่ฝ่าบาททรงพระราชทานมาให้เมื่อวาน
เมื่อได้เห็นรถม้าคันงามสูงศักดิ์กว่ารถม้าคันอื่นๆ ของจวนซู่เฉิงโหว ดวงตาของเหล่าแม่นางทั้งหลายก็อดตาเป็นประกายไม่ได้ หลังจากได้เห็นใบหน้าของมู่ชิงอีที่โผล่ออกมาก็ต่างพากันอิจฉาริษยา มู่ชิงอีสวมชุดคลุมยาวสีเหลืองอ่อนปักลายงดงามอ่อนช้อย ด้านนอกคลุมทับด้วยชุดผ้าบางโปร่งไหมน้ำแข็งสีขาว เส้นผมสีดำขลับถูกเกล้าขึ้นอย่างหลวมๆ พร้อมปักปิ่นเงินฝังอัญมณีสีฟ้าที่มีเพียงยศบรรดาศักดิ์จวิ้นจู่เท่านั้นที่ใช้ได้ เชือกคาดเอวสีฟ้าอ่อนผูกรอบเอวเล็กบาง ครั้นได้เห็นการแต่งกายที่สง่างามและยากจะปกปิดความสูงส่งได้ก็ทำให้ทุกคนอดไม่ได้ที่จะนึกถึงสถานะของนางในตอนนี้…
นางถูกฝ่าบาทแต่งตั้งเป็นฉังหนิงจวิ้นจู่ซึ่งสถานะสูงกว่าท่านปู่และท่านพ่ออยู่มากโข
มู่อวิ๋นหรงยิ่งขึงตาจับจ้องมู่ชิงอีด้วยความโกรธแค้น ถึงแม้บนใบหน้าของมู่ชิงอีจะปกปิดด้วยผ้าสีอ่อน แต่นางก็รู้ดีว่าภายใต้ผ้าคลุมหน้านั้นต้องเป็นใบหน้าที่อัปลักษณ์ดูไม่ได้ ถึงกระนั้นพอเห็นมู่ชิงอีเดินออกมา มู่อวิ๋นหรงกลับอดกลั้นต่อความกลัวภายในใจไว้ไม่ได้ นางไม่เคยสังเกตอย่างชัดเจนมาก่อนว่าน้องสาวต่างมารดาที่ถูกตนรังแกมาตลอดจะหน้าตางดงามถึงเพียงนี้
โชคดี…โชคดีที่นางเสียโฉมไปแล้ว! มิเช่นนั้นคงแย่งทุกอย่างไปจากนาง
จู่ๆ มู่อวิ๋นหรงก็ลอบนึกดีใจ นางมั่นใจมากว่าหากมู่ชิงอียังมีใบหน้างดงามนั้นอยู่คงแย่งทุกอย่างไปจากนางได้อย่างง่ายดายแน่นอน
หากมู่ชิงอีรู้ความคิดในเวลานี้ของมู่อวิ๋นหรงคงแอบหัวเราะเยาะที่นางคิดมากเกินไป มู่อวิ๋นหรงในยามนี้…มีอะไรให้นางแย่งได้ด้วยหรือ
มู่ชิงอีไม่ได้หันไปมองแววตาที่จับจ้องมาที่นางของผู้คนเหล่านั้น เพียงแค่จูงมือจูเอ๋อร์แล้วพาขึ้นรถม้าไป ในวังมีผู้เยี่ยมยุทธมากมาย อีกทั้งในเมืองหลวงเองก็มีคนรู้จักอู๋ซินอยู่ไม่น้อยเลยพาเข้าวังไปกับนางไม่ได้ มู่ชิงอีจึงพาแค่จูเอ๋อร์และอิ๋งเอ๋อร์ไปเพียงสองคนเท่านั้น
เมื่อเห็นว่ามู่ชิงอีไม่มีท่าทีว่าจะกล่าวทักทายพวกนางเลยสักนิด สีหน้าของเหล่าแม่นางจวนซู่เฉิงโหวจึงต่างดูไม่ดีเท่าไรนัก พอเห็นว่ามู่อวิ๋นหรงคิดจะพุ่งเข้าไปหาเรื่องมู่ชิงอี มู่ฮูหยินผู้เฒ่าเลยแค่นเสียงเบาเอ่ยเสียงขรึมว่า “ยังขายหน้าไม่พอหรือ ไปกันได้แล้ว!” พูดจบนางก็จับมือบ่าวรับใช้ขึ้นรถม้าของตัวเองไปโดยไม่สนใจแม่ลูกสะใภ้ซุนอีก ถึงแม้ตอนนี้สะใภ้ซุนจะมีศักดิ์เป็นนายหญิงของจวนซู่เฉิงโหวแต่กลับไม่มียศใดๆ นอกเสียจากไม่นั่งไปกับมู่ฉังหมิงก็ต้องไปนั่งเบียดกับมู่อวิ๋นหรง มู่อวี่เฟยหรือมู่สุ่ยเหลียน เห็นได้ชัดว่ามู่ฉังหมิงไม่คิดมาสนใจเรื่องน้อยใจของนางแต่กลับพาตัวมู่หลิงและมู่เชินไปแล้ว
จากวังหลวงที่เงียบเหงาจนชวนให้อึดอัดไม่น้อยในยามปกติ ทว่าวันนี้กลับครึกครื้น เพิ่งจะเช้าตรู่แต่เหล่าตระกูลทรงอำนาจในเมืองหลวงก็ล้วนเข้าวังเตรียมถวายพระพรให้ฮ่องเต้กันแล้ว ส่วนงานเลี้ยงจริงๆ กลับต้องรอจนถึงตอนเย็นถึงจะจัดงานได้ ช่วงเวลากลางวันเหล่าขุนนางใหญ่ยังต้องติดตามฮ่องเต้ออกจากวังไปบูชาฟ้าดิน ส่วนบรรดาสตรีก็จะมีองค์ฮองเฮาและพระสนมตำแหน่งสูงรอต้อนรับอยู่ในวัง ดังนั้นพอเข้าประตูวังมา แขกบุรุษและแขกสตรีจะแยกออกกันเป็นสองทาง ข้าหลวงที่มีตำแหน่งและเหล่าเชื้อพระวงศ์จะไปทำความเคารพเหล่าอ๋องที่พระตำหนักฉินเจิ้งด้านหน้าราชสำนัก ส่วนพวกสตรีจะมีนางในของวังนำทางไปทำความเคารพฮองเฮา
รวมถึงบุรุษผู้ที่เกิดมาในตระกูลผู้ดีแต่ไม่มีตำแหน่งในราชสำนัก ในเมื่อไม่มีสิทธิ์ติดตามฮ่องเต้ออกไปบูชาฟ้าดินและไม่มีสิทธิ์เข้าไปทำความเคารพฮองเฮาก็จะมีนางในพาไปดื่มชาที่ศาลาริมน้ำแห่งหนึ่งในสวนดอกไม้ ทุกปีมู่หลิงจะตามฮ่องเต้ไปบูชาฟ้าดินด้วยแต่ปีนี้กลับโชคร้ายกลายเป็นหนึ่งในนั้น เขาเลยทำได้แค่มองมู่เชินตามมู่ฉังหมิงไปถวายบังคมฮ่องเต้อย่างไม่พอใจนัก ส่วนตนนั้นกลับถูกนางในพาตัวมายังจุดรวมพลพวกบุตรชายตระกูลร่ำรวยทำตัวเหลาะแหละของเมืองหลวงแทน
สิ่งที่น่าเศร้ายิ่งกว่านั้นก็คือ ต่อให้จะเป็นสถานที่แบบนั้นแต่มู่หลิงกลับไม่เป็นที่ชื่นชอบสักเท่าไร ในเมื่อข่าวลือก่อนหน้านี้ไม่น่าฟังขนาดนั้น แม้บุตรชายตระกูลร่ำรวยจะชอบกินชอบดื่มรักสนุกทำตัวเสเพล แต่คนที่ชอบบุรุษด้วยกันกลับมีน้อย ถึงต่อให้มีจริงๆ ก็ไม่มีใครกล้าเปิดตัวอย่างเปิดเผย ด้วยเหตุนี้มู่หลิงที่มีข่าวลือฉาวโฉ่ในเรื่องนี้กระทั่งเล่าลือว่าถูกจับลักลอบเป็นชู้ได้บนเตียงย่อมเป็นเป้าหมายที่ทุกคนต่างตีตัวออกห่าง มู่หลิงจึงทำได้แค่นั่งตรงมุมที่ไม่เตะตาคนแล้วดื่มสุราย้อมใจไปเพียงลำพังด้วยสีหน้าดุดัน ยิ่งเส้นเลือดที่ปรากฏบางๆ ในดวงตาคู่นั้นชวนให้ทุกคนต่างอดไม่ได้ที่จะถอยห่างไม่กล้าเข้าใกล้
อีกฝั่ง เหล่าแม่นางจากจวนซู่เฉิงโหวก็ถูกพาไปยังพระตำหนักเสียนเต๋อที่อยู่ด้านหลัง คนที่เดินตามติดใกล้นางที่สุดก็คือมู่ฮูหยินผู้เฒ่า มู่ชิงอีแค่เดินตามหลังมู่ฮูหยินผู้เฒ่าด้วยสีหน้านิ่งสงบ ส่วนมู่อวิ๋นหรง สะใภ้ซุน มู่อวี่เฟยและมู่สุ่ยเหลียนทำได้แค่เดินรั้งท้ายสุด เดิมทีด้วยสถานะของมู่ชิงอีหากจะเดินอยู่หน้ามู่ฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่ในเมื่อมู่ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นผู้อาวุโส ตามธรรมเนียมแล้วจะเดินอยู่หน้านางก็คงว่าอะไรไม่ได้ แต่จะชวนให้ทุกคนต่างคิดว่านางได้รับความโปรดปรานแล้วทำตัวหยิ่งผยองได้ใจจนลืมตัว
พอย่างเท้าก้าวเข้าสู่พระตำหนัก มู่ชิงอีก็รับรู้ได้ทันทีว่าแววตาของแทบทุกคนในพระตำหนักล้วนพุ่งเป้าจับจ้องมาที่นาง ฮ่องเต้แคว้นหวาทรงแต่งตั้งให้นางเป็นจวิ้นจู่อย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ ไม่มีความดีความชอบเหนือใคร อีกทั้งไม่ได้มีคุณธรรมดีงามที่ใครต่างคุ้นหูแม้แต่น้อย แม้แต่การจะอภิเษกกับเชื้อพระวงศ์ยิ่งเป็นไปไม่ได้ สตรีเช่นนี้จะไม่สร้างความประหลาดใจแก่ทุกคนได้เช่นไร พอมองผ้าบางที่ปกปิดใบหน้ามู่ชิงอีอีกครั้ง คนมากมายก็แอบอดเกิดความอิจฉาริษยาในใจไม่ได้ รวมถึงเกิดความรู้สึกเห็นใจแปลกๆ
หากมู่ชิงอีใบหน้าไม่เสียโฉม ทุกคนคงต่างพากันอิจฉาในความโชคดีของนาง แต่ในเมื่อใบหน้าของนางถูกทำลายแล้ว สตรีที่หน้าเสียโฉมคนหนึ่งต่อให้ถูกแต่งตั้งเป็นถึงองค์หญิงแล้วจะทำอันใดได้ เกรงว่าหากไม่มีสถานะจวิ้นจู่คุ้มหัว วันข้างหน้าคุณหนูตระกูลมู่ผู้นี้จะแต่งงานออกเรือนได้หรือไม่ยังพูดยากเลย
พอคิดได้เช่นนี้คนส่วนมากถึงค่อยรู้สึกสงบใจลงบ้าง
“ถวายบังคมฮองเฮา ถวายบังคมหรงเฟย ถวายบังคมโหรวเฟยเพคะ” ทุกคนในจวนซู่เฉิงโหวต่างก้มคำนับและเอ่ยอย่างพร้อมเพรียง
จากตำแหน่งพระสนม[1]ก็สามารถดูออกว่าฮ่องเต้แคว้นหวาเป็นฮ่องเต้ที่เย็นชาไร้หัวใจคนหนึ่งอยู่ไม่น้อย ตามกฎระเบียบในวังหลังแล้วลำดับฮองเฮาลงไปควรมีกุ้ยเฟยสองคน เฟยสี่คน ผินหกคน และกุ้ยเหรินที่มิอาจกำหนดจำนวนได้ ทว่านับตั้งแต่ฮ่องเต้แคว้นหวาสถาปนาขึ้นเป็นฮ่องเต้จนถึงตอนนี้ก็เกือบสามสิบปีแล้ว นอกจากพระมารดาขององค์หญิงหมิงฮุ่ยที่สิ้นพระชนม์ไปถูกเลื่อนขั้นตามหลังให้เป็นกุ้ยเฟย คนที่มีตำแหน่งสูงสุดก็คงเป็นตำแหน่งเฟยแล้ว อย่างในเวลานี้คนที่มีตำแหน่งเฟยก็มีเพียงโหรวเฟยและหรงเฟยท่านแม่ขององค์ชายแปดเพียงเท่านั้น ก่อนหน้านี้พระสนมจูพระมารดาของมู่อวี้หรงเดิมทีก็มีตำแหน่งเฟย แต่กลับพลอยติดร่างแหไปกับมู่หรงอวี้ด้วยจนตกไปเป็นอวิ๋นผิน ส่วนท่านแม่ขององค์ชายสามและองค์ชายห้ามีตำแหน่งเป็นเพียงผิน ส่วนท่านแม่ขององค์ชายใหญ่ฝูอ๋อง หลังจากนางสิ้นพระชนม์ถึงถูกแต่งตั้งตามหลังให้เป็นกุ้ยเหริน
——————–
[1]ตำแหน่งพระสนม ในวังแบ่งออกเป็น ตำแหน่งฮวงกุ้ยเฟย กุ้ยเฟย เฟย ผิน กุ้ยเหริน ฉังจ้าย ตาอิ้ง ซึ่งความสำคัญจะไล่ลงมาตามลำดับ
ตอนต่อไป