หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 149 ก่อนงานเลี้ยงในวัง องค์ชายเก้าหรงจิ่นผู้ไร้เหตุผล (1)
มู่ชิงอีพยักหน้าแล้วเอ่ยอย่างจริงใจว่า “ชิงอีขอขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทเป็นอย่างยิ่งเพคะ”
ดูท่าทางฮ่องเต้แคว้นหวาแล้วคงพึงพอใจในตัวมู่ชิงอีไม่น้อยเพราะรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าไม่จางหายไปไหน จนกระทั่งมีคนมากราบทูลให้ฮ่องเต้ทรงเสด็จกลับพระตำหนักฉินเจิ้งเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวสำหรับงานเลี้ยงในตอนบ่าย ฮ่องเต้ถึงทรงหยัดพระวรกายขึ้นแล้วเอ่ย “อีเอ๋อร์ งานเลี้ยงคืนนี้เจ้าติดตามเรา…ติดตามฮองเฮาเถิด” ฮ่องเต้ขบคิดอยู่ครู่หนึ่งถึงเปลี่ยนคำพูด มู่ชิงอีส่ายศีรษะไม่หยุดแล้วกล่าว “ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ แต่อย่าเลยดีกว่า ฮองเฮาทรงยุ่งมากพอแล้ว ชิงอีอย่าสร้างเรื่องวุ่นวายให้พระองค์อีกเลยจะดีกว่าเพคะ”
ฮ่องเต้แคว้นหวาไม่ได้ใส่ใจอะไรแล้วยิ้มเอ่ย “เอาเถิด โหรวเฟยดูแลจวิ้นจู่ให้ดีล่ะ”
มู่เฟยหลวนรีบโค้งตัวยิ้มแย้มแล้วเอ่ยอย่างนอบน้อม “ฝ่าบาททรงวางพระทัยได้เลยเพคะ หม่อมฉันจะดูแลจวิ้นจู่เป็นอย่างดีแน่นอน”
เมื่อทำความเคารพส่งฮ่องเต้เสด็จกลับไปแล้ว ภายในพระตำหนักก็ตกอยู่ในความเงียบราวกับทุกคนยังไม่ได้สติกลับมา ไม่มีใครเข้าใจสักคนว่าเหตุใดมู่ชิงอีที่เพิ่งได้เจอฮ่องเต้เป็นครั้งแรกและเอ่ยเยินยอด้วยความพูดเรียบง่ายไม่กี่ประโยคถึงได้ต้องพระทัยฝ่าบาทนัก กระทั่งจะให้ฮองเฮาพานางออกงานในค่ำคืนนี้ด้วย แต่ดูจากท่าทางของฮ่องเต้แล้วก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะเอานางมาเป็นสนมอยู่ในวังแม้แต่น้อย
ผ่านไปนานพักใหญ่ มู่เฟยหลวนถึงมองมู่ชิงอีพร้อมเอ่ยเสียงทุ้มต่ำว่า “น้องหญิงสี่ วิธีการไม่เลวนี่”
มู่ชิงอียิ้มอย่างแผ่วเบา “พี่หญิงพูดอะไรกันเพคะ ชิงอีฟังไม่เห็นเข้าใจสักนิด ฝ่าบาท…ทรงเมตตาและทรงเป็นกันเองอย่างมากเลยว่าไหมเพคะ”
ทรงเมตตาและทรงเป็นกันเองงั้นหรือ
มู่เฟยหลวนเบะปาก
ฝ่าบาทไม่เคยทรงเป็นกันเองกับเหล่าพระสนมเลยต่างหาก!
พอมู่ชิงอีออกจากพระตำหนักหวาหยางมาก็เห็นองค์หญิงหมิงเวยกำลังรอตนอยู่ในมุมที่ไม่ไกลนัก เมื่อเห็นมู่ชิงอีออกมาองค์หญิงหมิงเวยก็เข้ามาถามด้วยความเป็นห่วงว่า “ไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” มู่ชิงอียิ้มสดใสกล่าว “โหรวเฟยเป็นท่านพี่หญิงของหม่อมฉัน แล้วหม่อมฉันจะเป็นอะไรไปในพระตำหนักของนางได้เล่าเพคะ” องค์หญิงหมิงเวยส่ายศีรษะแล้วไม่ได้พูดอะไรอีก ทว่าสีหน้าบนใบหน้าของนางกลับแสดงให้เห็นว่านางไม่เห็นด้วยกับคำพูดของมู่ชิงอีเลยสักนิด
ดึงมือของมู่ชิงอีเดินออกมาข้างนอกแล้ว องค์หญิงหมิงเวยถึงเอ่ยกำชับเสียงเบาว่า “ถ้าไม่มีเรื่องอันใด เจ้าควรอยู่ให้ห่างโหรวเฟยไว้หน่อยจะดีกว่า”
มู่ชิงอีมององค์หญิงหมิงเวยที่แสดงความห่วงใยออกทางสีหน้าอย่างปิดไม่มิด ในใจก็พลอยรู้สึกอบอุ่นไปด้วย องค์หญิงหมิงเวยเป็นคนในเชื้อพระวงศ์ ถึงแม้นางจะออกนอกวังไปนานหลายปีแล้วแต่ยังคงรู้เรื่องในวังดีกว่าคนภายนอกอยู่มาก ดูทรงแล้วนางเองคงรู้ว่ามู่เฟยหลวนเป็นคนเช่นไรถึงได้กล่าวโน้มน้าวตนเช่นนี้ สำหรับคนที่เพิ่งเคยเจอกันเป็นครั้งที่สองแต่เป็นห่วงเป็นใยกันขนาดนี้ ถึงแม้มู่ชิงอีจะไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดแต่นางรู้สึกได้ว่าความเป็นห่วงเป็นใยขององค์หญิงหมิงเวยที่มีต่อนางนั้นไม่ใช่เรื่องโกหกเลย
“หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ ขอบพระทัยที่องค์หญิงใหญ่ที่ทรงห่วงใย”
องค์หญิงหมิงเวยส่ายศีรษะแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ไม่ต้องขอบใจ ข้าเองก็ทำอะไรไม่ได้ พวกเรารีบกลับดีกว่า หย่งจยาจวิ้นจู่จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”
เมื่อกลับไปถึงศาลาชมทิวทัศน์ก็ไม่รู้ว่าองค์หญิงไหวหยางหายไปไหนแล้วกลับทิ้งหย่งจยาจวิ้นจู่รอพวกนางอยู่ในศาลาเพียงลำพัง ทว่าในสวนดอกไม้ที่เดิมทีเงียบสงัดกลับคึกคักขึ้นไม่น้อย ด้วยนิสัยของหย่งจยาจวิ้นจู่แล้วนางยอมอดทนต่อความเหงาไม่ออกไปเที่ยวเล่นที่ไหนแต่กลับนั่งรอพวกนางอยู่ที่นี่ นับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ
พอเห็นพวกนางกลับมาหย่งจยาจวิ้นจู่ก็ถอนหายใจแล้วอมยิ้มเอ่ย “พวกท่านกลับมาสักที ถ้ายังไม่กลับมาข้าคงไปหาพวกท่านถึงพระตำหนักหวายางนั่นแล้ว” มู่ชิงอีอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างละอาย “ทำให้จวิ้นจู่เป็นห่วงแล้ว” หย่งจยาจวิ้นจู่ถอนหายใจเอ่ย “ไม่เป็นไร เพียงแต่เวลาข้าเห็นโหรวเฟยนั่นทีไรมักรู้สึกหวาดกลัวทุกที เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”
ถึงแม้ความคิดของหย่งจยาจวิ้นจู่จะเจ้าเล่ห์เทียบกับพวกองค์หญิงจวิ้นจู่ในราชนิกูลเหล่านั้นไม่ได้แต่นางกลับมีสัญชาตญาณที่น่าทึ่งอย่างหนึ่ง เพราะสัญชาตญาณนั้นสามารถชี้ขาดได้ว่าใครสามารถเข้าใกล้ได้และใครควรรักษาระยะห่างไว้ดีที่สุด
“พวกท่านกลับมาแล้วก็ดี พวกเราลงไปเดินเล่นกันเถิด พี่สิบเอ็ดของข้าก็มาแล้วด้วย” หย่งจยาจวิ้นจู่ชี้ไปยังจุดหนึ่งในสวนดอกไม้แล้วเอ่ยด้วยท่าทีรีบร้อน
ถึงแม้เวลานี้ฮ่องเต้จะทรงเสด็จกลับมาจากบูชาฟ้าดินแล้วแต่นับว่ายังห่างจากเวลางานเลี้ยงช่วงค่ำอีกนานพอสมควรจึงกักเหล่าแขกเหรื่อมากมายไว้ด้วยกันไม่ให้เดินไปไหนเลยไม่ได้ สวนดอกไม้ที่พื้นที่กว้างขวางทิวทัศน์งดงามเช่นนี้ย่อมกลายเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดไปแล้ว ทว่าคนที่เข้ามาได้อย่างน้อยต้องเป็นขุนนางระดับสองหรือบรรดาเครือญาติของพวกเขาเท่านั้น
ทั้งสองมองตามนิ้วที่หย่งจยาจวิ้นจู่ชี้ไป จากนั้นก็เห็นเหล่าคุณชายสถานะสูงศักดิ์ไม่กี่คนนั่งพูดคุยกันอยู่ริมโต๊ะหินริมทะเลสาบในสวนดอกไม้ มีบุรุษสองคนในนั้นกำลังเล่นหมากรุกอยู่ ส่วนคนอื่นๆ ต่างพากันห้อมล้อมพวกเขาไว้ อีกทั้งเหนือผิวน้ำทะเลสาบที่ไม่ไกลจากตรงนั้นยังมีเรือจอดอยู่ด้วยซึ่งบนนั้นปรากฏเงาคนโคลงเคลงไปมาตามแรงเรือ
องค์หญิงหมิงเวยกล่าว “บรรยากาศคึกคักเช่นนี้ สาวน้อยอย่างพวกเจ้าไปก็พอ ข้าขอไม่ไปเล่นสนุกด้วยจะดีกว่า”
หย่งจยาจวิ้นจู่รีบเอ่ยด้วยความรู้สึกผิดว่า “องค์หญิงเองก็ยังไม่แก่เสียหน่อย เหตุใดถึงไม่ไปเล่า”
องค์หญิงหมิงเวยอมยิ้มพลางส่ายหน้ากล่าว “ข้าอายุปาไปสามสิบกว่าแล้ว จะพูดว่ายังไม่แก่ได้เช่นไร คนอายุอย่างข้าไม่ได้ชอบเที่ยวเล่นเหมือนเด็กๆ อย่างพวกเจ้าหรอกนะ รีบไปเถิด ข้าจะพักผ่อนสักหน่อย คืนนี้ยังต้องร่วมงานเลี้ยงตอนกลางคืนอีก” จะออกไปเที่ยวหรือไม่นั้นสำหรับมู่ชิงอีแล้วอย่างไรก็ได้ อีกอย่างนางแบกหน้านี้ออกไปคงเรียกสายตาจากทุกคนไม่น้อย ทว่าหย่งจยาจวิ้นจู่ผู้รักความสนุกกลับทำได้แค่มองไปทางมู่ชิงอีด้วยท่าทีน่าสงสาร
องค์หญิงหมิงเวยเห็นมู่ชิงอีลังเลเลยยิ้มกล่าว “ข้าไม่มีแรงไปเล่นสนุกเป็นเพื่อนจวิ้นจู่ แต่อย่างไรเสียเจ้าเองก็เป็นจวิ้นจู่ เช่นนั้นก็ช่วยดูแลแขกแทนข้าทีเถิด ส่วนผ้าปิดหน้าของเจ้า…ก็เอาออกได้แล้ว เลี่ยงไม่ให้ตอนไปถึงงานเลี้ยงเกิดเรื่องวุ่นวายเพราะเรื่องนี้อีก” ระหว่างทางกลับมาเมื่อครู่มู่ชิงอีได้อธิบายสาเหตุที่นางต้องแกล้งทำเป็นเสียโฉมให้องค์หญิงหมิงเวยฟังแล้ว และเพราะเหตุนี้องค์หญิงหมิงเวยจึงได้รู้สึกเกลียดชังคนในจวนซู่เฉิงโหวยิ่งกว่าเดิม
ถึงแม้หย่งจยาจวิ้นจู่จะจับจ้องใบหน้านางไม่กะพริบแต่กลับไม่ได้ถามอะไรเลย
มู่ชิงอียังไม่ได้ทันได้ตอบอะไร หย่งจยาจวิ้นจู่ก็ร้องขึ้นว่า “ไอ๊หยา สู้กันแล้ว! เร็วเข้าฉังหนิงจวิ้นจู่ เร็วเข้าเราไปดูเรื่องสนุกๆ กัน พี่สิบเอ็ดสู้ๆ!” กลุ่มคนที่เดิมทีกำลังเล่นหมากรุกอยู่ริมทะเลสาบไม่รู้หายไปจากกระดานหมากรุกตั้งแต่เมื่อไร แล้วโผล่ไปสู้กันริมทะเลสาบเสียแทน หนึ่งในนั้นมีเลี่ยอ๋องหรือก็คือเกอซูฮั่นแห่งเป่ยฮั่น ส่วนอีกคนก็คืออานซีจวิ้นอ๋องหรือก็คือจ้าวจื่ออวี้ เพียงแต่เหมือนว่าคนที่มุงดูอยู่จะไม่แสดงท่าทีร้อนใจอะไรเลย ดูท่าคงเป็นการประลองวรยุทธธรรมดาเท่านั้น
มู่ชิงอียังไม่ทันได้พูดอะไรก็ถูกหย่งจยาจวิ้นจู่ที่นิสัยใจร้อนลากตัวไปแล้ว
ทุกคนยืนมุงห้อมล้อมดูพวกเขาสองคนปล่อยไม้เด็ดสู้กันอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลแถวริมทะเลสาบ แม้แต่พวกที่เที่ยวเล่นอยู่ในทะเลสาบยังสั่งให้ขับเรือขยับเข้ามาใกล้เพื่อดูการประลองที่หาดูได้ยากอีกด้วย
เกอซูฮั่นและจ้าวจื่ออวี้ล้วนเป็นแม่ทัพผ่านการทำศึกนองเลือดมาก่อน พวกเขาต่างเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลามากความสามารถที่ชนะศึกมานับไม่ถ้วน ขยับมือทีก็ปล่อยกระบวนท่าออกมาไม่ซ้ำกันและดุเดือดยิ่งขึ้น หากพวกเขาสองคนไม่ยั้งมือไว้บ้างเกรงว่าคงมีใครสักคนเลือดตกยางออกแน่นอน
“สมแล้วที่เลี่ยอ๋องมีสมญานามว่าเทพแห่งสงครามของเป่ยฮั่น วิทยายุทธไม่มีใครเทียบได้จริงๆ” ท่ามกลางกลุ่มคนที่รายล้อมอยู่ จื้ออ๋องมู่หรงเสียอดถอนหายใจแล้วกล่าวเช่นนั้นไม่ได้ อย่างน้อยคนในที่แห่งนี้ก็พอมีวิทยายุทธติดตัวอยู่บ้างและมีไม่กี่คนที่จะมีฝีมือเก่งกาจ แน่นอนว่าทุกคนย่อมดูออกว่าคนที่งัดไม้เด็ดออกมาสู้กันอย่างพวกเขาสองคนย่อมฝีมือไม่ธรรมดาอยู่แล้ว โดยเฉพาะเกอซูฮั่นที่มือไม้ว่องไวดั่งวายุ ทุกกระบวนท่าอิทธิฤทธิ์แรงกล้าราวกับแทบพลิกมหาสมุทรได้ ทุกคนที่ห้อมล้อมดูอยู่อดเกรงกลัวในอิทธิฤทธิ์ของเขาไม่ได้ ใครๆ ต่างบอกว่าเลี่ยอ๋องแห่งเป่ยฮั่นเป็นวีรบุรุษอันดับหนึ่ง วันนี้พอได้เห็นแล้วดูท่าจะไม่ใช่เรื่องโกหกเลย
ตอนต่อไป