หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 15 ความลับที่คาดไม่ถึง
ตอนที่ 15 ความลับที่คาดไม่ถึง
มู่ชิงอีเอ่ยตอบเสียงเบา “อาจจะเป็น…เพราะเรื่องของพระชายากง พี่ชายใหญ่ไม่ต้องเป็นกังวลเจ้าค่ะ”
สายตาของมู่เชินเป็นประกายวาววับ มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “พระชายากงบอกว่าจะชวนข้าเข้าร่วมงานเลี้ยง จะไม่ส่งเทียบมาเชิญก็คงไม่ได้”
“ทำไมถึงได้เร็วนัก” มู่เชินขมวดคิ้ว มู่ชิงอีหลุบตาลงยิ้มอย่างแผ่วเบาแล้วพูด “พระชายากงทำเรื่องเช่นนี้อยู่เสมอ จึงคล่องแคล่วเป็นธรรมดาเจ้าค่ะ”
ก้าวเข้ามาในห้องโถง มู่ฮูหยินผู้เฒ่า มู่ฉังหมิง สะใภ้ซุน ยังมีมู่อวิ๋นหรงที่ควรถูกกักบริเวณอยู่ ทั้งหมดล้วนอยู่ที่นี่ มู่ชิงอีเองก็ไม่ได้สนใจ เนื่องจากอิทธิพลของสะใภ้ซุนที่มีต่อมู่ฉังหมิง บทลงโทษของมู่อวิ๋นหรงจึงเกิดขึ้นจริงได้เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นก็ถือว่าไม่มีความผิดแล้ว มองไปยังสะใภ้ซุนที่ท่าทางสงบเสงี่ยมเชื่อฟังนั่งอยู่ถัดจากมู่ฉังหมิงอย่างครุ่นคิด
ใบหน้าสะสวยอ่อนช้อยของสะใภ้ซุนที่สามารถดึงดูดมู่ฉังหมิงให้หลงใหลได้มาเป็นเวลานาน เดิมทีไม่น่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ได้ แต่ความเป็นไปได้ก็คือ สะใภ้ซุนอาจจะเป็นรักเดียวของมู่ฉังหมิง
มู่ชิงอีค่อยๆ ละสายตามองไปทางอื่น ด้านหลังฮูหยินผู้เฒ่ามีหญิงงามอายุประมาณสามสิบกว่าปียืนอยู่ กำลังนวดหลังให้มู่ฮูหยินผู้เฒ่าอย่างระมัดระวัง
หญิงสาวผู้นั้นหน้าตาดูสง่างาม การแต่งกายสุภาพเรียบร้อยและยังมีความเยาว์วัยอยู่ เพราะว่าอายุมากแล้วจึงทำให้หญิงงามท่านนี้ยิ่งดูอ่อนโยนท่าทางใจดี แท้จริงแล้วนางคือมารดาผู้ให้กำเนิดมู่เชิน สะใภ้หลี่ ที่เป็นอนุภรรยาเช่นเดียวกัน สะใภ้ซุนสามารถนั่งเคียงข้างมู่ฉังหมิงอย่างเฉิดฉายได้ ส่วนสะใภ้หลี่กลับได้แค่ยืนปรนนิบัติมู่ฮูหยินผู้เฒ่าอย่างระมัดระวัง สะใภ้หลี่อย่างน้อยก็ได้นั่งเสลี่ยงเฉิดฉายเข้ามาเป็นอนุภรรยา ส่วนสะใภ้ซุนแท้จริงแล้วเป็นเพียงสาวใช้ห้องข้างเท่านั้น ไม่แปลกใจที่มู่เชินจะไม่พอใจนัก
“ท่านย่า ท่านพ่อ” มู่ชิงอีหยุดความคิดลงแล้วก้าวเท้าออกไปพร้อมเอ่ยทักทาย
“คารวะท่านย่า ท่านพ่อ…ท่านแม่” มู่เชินเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ เสียงเรียกท่านแม่นั้นหมายถึงสะใภ้ซุน แม้ว่าสะใภ้ซุนจะไม่ได้มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่เพื่อเป็นการชดเชยความไม่เป็นธรรมนี้ มู่ฉังหมิงจึงได้ให้สิทธิทั้งหมดทัดเทียมกับภรรยาเอก นอกจากมู่ชิงอี บุตรของอนุภรรยาทั้งหมดจะต้องเรียกนางว่าท่านแม่
เห็นมู่ชิงอีทำท่าทีคล้ายกับว่ามารดาของตัวเองนั้นไม่ได้อยู่ที่นี่ ทีท่าไม่แยแสเลยสักนิด มู่อวิ๋นหรงก็คิดอยากจะโวยวายออกไปทันที แต่พอมองไปเห็นสายตาที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มของมู่ชิงอี ความโกรธนั้นพลันยุติลงทันที มู่อวิ๋นหรงเองก็ไม่ใช่คนโง่ หลังจากที่ช่วงนี้พ่ายแพ้ต่อมู่ชิงอีหลายครั้งหลายครา ก็รู้ว่าไม่สามารถใช้วิธียั่วยุนางท่ามกลางที่สาธารณะที่ง่ายต่อการเป็นขี้ปากของผู้คนเช่นนี้ได้แล้ว
มู่ฮูหยินผู้เฒ่ายกยิ้มมองไปยังมู่ชิงอี “อีเอ๋อร์ วันนี้ไปข้างนอกมาไปเจอใครมาล่ะ”
มู่ชิงอีตอบด้วยรอยยิ้มแผ่วเบา “เรียนท่านย่า ตอนที่ชิงอีอยู่ที่ร้านเหลิ่งเซียง บังเอิญเจอเข้ากับพระชายากงเจ้าค่ะ”
มู่ฮูหยินผู้เฒ่าหยิบเทียบเชิญที่วางอยู่ข้างๆ โต๊ะขึ้นมา “พูดเช่นนี้ก็แสดงว่าเป็นความจริง พระชายากงเชิญเจ้าให้ไปร่วมงานเลี้ยงในอีกห้าวันข้างหน้า อีเอ๋อร์กลับไปต้องเตรียมตัวให้ดี อย่าให้ขายหน้าจวนซู่เฉิงโหวได้”
มู่ชิงอีพยักหน้าตอบรับอย่างน่าเอ็นดู “ชิงอีทราบแล้ว ขอบพระคุณสำหรับคำสั่งสอนของท่านย่าเจ้าค่ะ”
มู่ฮูหยินผู้เฒ่าอารมณ์ดีขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ชี้ไปยังตำแหน่งที่ว่างอยู่ด้านข้างของตัวเอง “พวกเจ้าสองคนพี่น้องนั่งลงก่อนเถิด” ทั้งสองคนคำนับขอบคุณมู่ฮูหยินผู้เฒ่า แล้วหย่อนตัวนั่งลงตรงข้ามกับมู่ฉังหมิง มู่ชิงอีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถามขึ้น “ท่านย่า สตรีของตระกูลเรานั้นสามารถเข้าร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ทั้งหมดได้หรือไม่เจ้าคะ”
มู่ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มตอบ “ได้ เจ้ากับหรงเอ๋อร์ อวี่เฟยและสุ่ยเหลียน พวกเจ้าทั้งหมดได้รับเชิญจากพระชายากง ถึงตอนที่พวกเจ้าพี่น้องไปด้วยกัน จะได้มีเพื่อนชวนคุย”
มู่ชิงอีเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าที่งุนงง “ไม่รู้ว่าเหตุใดพระชายากงถึงต้องจัดงานเลี้ยงขึ้นหรือเจ้าคะ”
มู่ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจเฮือกใหญ่ “วันวันเจ้าไม่ยอมออกไปข้างนอก ไม่แปลกใจที่เจ้าจะไม่รู้ อีกประมาณหนึ่งเดือนข้างหน้าก็จะถึงวันคล้ายวันพระราชสมภพปีที่ห้าสิบขององค์ฮ่องเต้แล้ว ในปีนี้คณะราชทูตจากแต่ละเมืองต่างมาร่วมแสดงความยินดีล่วงหน้า ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ก็มีเหล่าราชทูตมาถึงแล้วจำนวนไม่น้อย พระชายากงจึงจัดงานเลี้ยงนี้ขึ้นมาเพื่อต้อนรับบรรดาองค์หญิงสู่แคว้นหวา”
ดวงตาของมู่ชิงอีสั่นไหว เม้มริมฝีปากอมยิ้ม “อย่างนี้นี่เอง ขอบคุณท่านย่าที่ชี้แนะเจ้าค่ะ”
ตั้งแต่สามปีก่อนที่ตระกูลกู้ตกต่ำ ผิงอ๋ององค์รัชทายาทถูกปลดจากตำแหน่ง ที่จริงแล้วฮ่องเต้แคว้นหวานั้นมีองค์ชายถึงสิบกว่าพระองค์ แต่มู่หรงอวี้กลับกลายเป็นผู้นำอย่างคลุมเครือ หน้าที่การต้อนรับเหล่าองค์หญิงท่านหญิงที่มาแสดงความยินดีเรื่องพวกนี้นั้น พระชายากงจึงได้เป็นผู้จัดการดูแล
มู่ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มแล้วพูด “ไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้ว เรื่องงานเลี้ยงนี้ถึงแม้ว่าจะสำคัญกับพวกเจ้านัก แต่ก็ไม่จำเป็นต้องตื่นเต้นอะไรมากมาย ได้ยินมาว่าร่างกายของหนิงอ๋องตอนนี้นั้นดีขึ้นไม่น้อย พรุ่งนี้…อีเอ๋อร์ เจ้ากับอวี่เฟยและสุ่ยเหลียน พาอวิ๋นหรงไปดูอาการหนิงอ๋องที่จวนหนิงอ๋องสักหน่อยเถิด”
“เรื่องนี้…” มู่ชิงอีเอ่ยขึ้นอย่างลังเล “คงไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรนะเจ้าคะ”
“ท่านย่า อวิ๋นหรงไปคนเดียวได้เจ้าค่ะ ไม่ต้องให้ผู้ใดติดตามไปด้วยก็ได้” มู่อวิ๋นหรงจ้องไปที่มู่ชิงอีอย่างระแวดระวัง พลางบอกกับมู่ฮูหยินผู้เฒ่าด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
ตำแหน่งพระชายาหนิงของนางนี้ เดิมทีนั้นได้ขโมยมันมาจากมือของมู่ชิงอี นางกับหนิงอ๋องยังไม่ทันได้เข้าพิธีสมรสอย่างเป็นทางการ เหตุใดตนจะต้องให้มู่ชิงอีเข้าใกล้หนิงอ๋องด้วย
“พูดจาเหลวไหล! เจ้าเป็นสาวเป็นนางยังไม่ทันได้ออกเรือน เหตุใดจะต้องไปเยี่ยมไข้หนิงอ๋องเพียงผู้เดียว” มู่ฮูหยินผู้เฒ่าสั่งสอนด้วยเสียงทุ้มต่ำ
มู่อวิ๋นหรงอดไม่ได้ที่จะหดคอลงด้วยความหวาดกลัว ตอบกลับเสียงเบา “ให้พี่ชายรองเป็นคนพาข้าไปเพียงไม่นานก็ได้เจ้าค่ะ” มู่ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยขึ้น “ข้าก็ให้พี่รองของเจ้าพาเจ้าไปด้วยอยู่แล้ว เชินเอ๋อร์เองก็ไปด้วยเช่นกัน เช่นนี้ถึงจะเป็นการแสดงว่าตระกูลของเรานั้นเคารพหนิงอ๋อง” เห็นมู่ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวตามจริงอย่างไร้ข้อกังขาเช่นนี้ มู่อวิ๋นหรงจึงได้แต่เก็บความไม่พอใจเอาไว้ที่ปาก ไม่ลืมที่จะจ้องเขม็งไปที่มู่ชิงอี มู่ชิงอีจึงยิ้มขึ้นเล็กน้อย
สายตากับสมองของมู่อวิ๋นหรงคงมีปัญหาแล้วจริงๆ ที่มู่ฮูหยินผู้เฒ่าวางแผนเช่นนี้จะต้องมีเจตนาอื่นแอบแฝงเป็นแน่ แต่…ก็กลัวว่าผลลัพธ์นั้นจะมาลงที่ตน เพราะตนก็เป็นแค่ตัวส่งเสริมบารมีของนางเท่านั้น แต่เป็นเช่นนี้ก็ดี…อยากจะดูด้วยตาตัวเองเหมือนกันว่ามู่หรงอานจะยังมีชีวิตอยู่ได้นานสักแค่ไหน
จวนหนิงอ๋องและจวนกงอ๋องนั้นห่างกันเพียงกำแพงกั้น ถึงแม้ว่าหนิงอ๋องมู่หรงอานจะไม่ใช่พระโอรสที่เฉลียวฉลาดหรือเก่งกาจที่สุดของฮ่องเต้แคว้นหวา รวมถึงไม่ได้เป็นพระโอรสที่โปรดปรานที่สุด แต่ว่าเขากลับเป็นองค์ชายที่มีนิสัยรักอิสระไม่ชอบการผูกมัด เป็นตัวของตัวเองที่สุดในแคว้นหวา มารดาผู้ให้กำเนิดเขานั้นเป็นพระสนมที่ฮ่องเต้แคว้นหวาโปรดปรานที่สุด พี่ชายท้องเดียวกันกับเขาคือมู่หรงอวี้ เป็นหนึ่งในพระโอรสที่ฮ่องเต้แคว้นหวาให้ความสำคัญที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่ตำแหน่งองค์รัชทายาทว่างขึ้น เขาก็เป็นผู้เดียวที่ถูกเลือกให้รับตำแหน่งองค์รัชทายาทมากที่สุด ส่วนมู่หรงอานนั้นไม่สนใจแยแสในตำแหน่งองค์รัชทายาทหรือฮ่องเต้ ด้วยเพราะเหตุนี้ จึงทำให้มู่หรงอวี้ให้ความสำคัญน้องชายคนนี้เป็นอย่างมาก และทำให้อวิ๋นเฟยรักบุตรชายของตนคนนี้เป็นอย่างมากเช่นกัน เพราะไม่ว่าอย่างไร ภาพที่บุตรชายทั้งสองเลือกที่จะต่อสู้แย่งชิงกันเองนั้นเป็นสิ่งที่อวิ๋นเฟยไม่ต้องการเห็นมัน ดังนั้นไม่ว่ามู่หรงอานจะทำอะไร แค่ไม่ทะลุฟ้า อวิ๋นเฟยและมู่หรงอวี้ก็ยอมตามใจทั้งสิ้น
ครั้งนี้ที่มู่หรงอานถูกปิ่นปักผมของกู้อวิ๋นเกอแทงเข้าจนได้รับบาดเจ็บ ตลอดชีวิตนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกคนทำร้าย ความโกรธแค้นที่มีต่อคนตระกูลกู้ลุกโชนอย่างแรงกล้า มู่หรงอานต้องการที่จะแก้แค้นแต่กลับหาคนมาระบายความโกรธนี้ไม่ได้ ข้ารับใช้ในจวนหนิงอ๋องรวมถึงหมอหลวงจากในวังจึงคอยปรนนิบัติรับใช้อย่างระมัดระวังมานานกว่าครึ่งเดือน ในที่สุดอาการบาดเจ็บของมู่หรงอานก็ทรงตัว แต่หากต้องการที่จะฟื้นตัวทั้งหมดนั้นต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือน ในระหว่างนี้ มู่หรงอวี้เป็นกังวลว่าเขาจะไปหาเรื่องทำให้ตัวเองบาดเจ็บอีก จึงขังเขาเอาไว้ในจวน ยิ่งเพิ่มอารมณ์หงุดหงิดฉุนเฉียวของมู่หรงอานให้มากยิ่งขึ้น
ตอนที่มู่ชิงอีและคนของนางมาถึงจวนหนิงอ๋อง ก็ได้พบกับมู่หรงอานที่กำลังโมโห จึงได้ยินเสียงมู่หรงอานดังมาแต่ไกล “นางมาทำไม ให้ไสหัวกลับไป!”
เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปยังมู่อวิ๋นหรงอย่างประหลาดใจ เดิมทีนึกว่ามู่หรงอานยอมแต่งกับบุตรสาวอนุภรรยาอย่างมู่อวิ๋นหรงแทนบุตรสาวภรรยาเอกอย่างมู่ชิงอี เพราะว่าเขารักนางอย่างจริงใจ แต่พอฟังจากน้ำเสียงมู่หรงอานแล้ว เรื่องราวกลับไม่เป็นอย่างที่คิดไว้