หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 150 ก่อนงานเลี้ยงในวัง องค์ชายเก้าหรงจิ่นผู้ไร้เหตุผล (2)
หรงเหยี่ยนที่อยู่ด้านข้างยิ้มกล่าว “แม่ทัพจ้าวเองก็มีความสามารถทั้งที่ยังเยาว์วัย ถือว่าเป็นบุคคลโดดเด่นแห่งยุคทีเดียว” เกอซูฮั่นเก่งกาจมากเพียงใดนั้น ในฐานะที่เป็นองค์ชายแห่งแคว้นเย่ว์ที่ปะทะกับเป่ยฮั่นมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง หรงเหยี่ยนจึงย่อมรู้อยู่แก่ใจดี แม้แต่หนานกงเจวี๋ยแม่ทัพใหญ่ผู้มีฝีมือฉกาจเป็นอันดับหนึ่งของแคว้นเย่ว์ยังเคยเปรยว่าผ่านไปอีกไม่กี่ปีเกรงว่าเขาคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเกอซูฮั่นอีกต่อไปแล้ว จ้าวจื่ออวี้อายุเพียงเท่านี้แต่กลับงัดกระบวนท่ามากมายมาสู้กับเขาโดยที่ไม่พลาดให้อีกฝ่ายเลยสักครั้งก็เรียกได้ว่าวิทยายุทธไม่ธรรมดาแล้ว ถึงแม้จะเทียบกับเกอซูฮั่นไม่ได้ แต่ในยุทธจักรเกรงว่าคงอยู่ในอันดับต้นๆ เช่นกัน
หย่งจยาจวิ้นจู่ลากมู่ชิงอีมาด้วย ครั้นเห็นว่าพี่สิบเอ็ดของนางค่อยๆ เป็นฝ่ายได้เปรียบ ก็กรีดร้องดีอกดีใจในทันทีว่า “พี่สิบเอ็ดสู้ๆ! พี่สิบเอ็ดช่างฝีมือแกร่งกล้านัก! ฉังหนิง เจ้าดูสิท่านพี่ของข้าเป็นคนเก่งกาจคนหนึ่งเลยใช่หรือไม่เล่า” หย่งจยาจวิ้นจู่รั้นจะลากตัวมู่ชิงอีมาดูการประลองให้ได้เพราะนางแอบมีแผนในใจ
เมื่อก่อนนางเคยได้ยินเรื่องที่ท่านพี่เคยไปสู่ขอที่จวนซู่เฉิงโหวแต่กลับถูกปฏิเสธ เดิมทีนางยังรู้สึกโกรธเคืองคุณหนูซู่เฉิงโหวที่ไม่รู้จักของดีเอาเสียเลย แต่หลังจากได้เห็นมู่ชิงอีนางก็รู้สึกว่าสมแล้วที่มู่ชิงอีต้องตาพี่สิบเอ็ดเพราะนางแข็งแกร่งกว่าบรรดาองค์หญิงจวิ้นจู่หรือคุณหนูตระกูลผู้ดีในเมืองหลวงเหล่านั้นมากโข ถึงอย่างไรเสียพี่สิบเอ็ดก็ต้องขออภิเษกกับองค์หญิงสักคน แน่นอนว่าย่อมต้องเลือกคนที่ชอบที่สุดอยู่แล้ว ไม่แน่หากฉังหนิงจวิ้นจู่เห็นมาดความเป็นวีรบุรุษสู้ใครไม่เคยแพ้ของพี่สิบเอ็ดนางอาจจะตอบตกลงก็ได้
มู่ชิงอีก้มหน้าอย่างเอือมระอา หย่งจยาจวิ้นจู่เรียกฉังหนิงคำเดียวก็ทำเอาสายตาของคนมากมายจับจ้องมาที่นางแล้ว เมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางไร้ร่องรอยบาดแผลใดๆ สายตาของทุกคนก็ยิ่งแสดงท่าทีแปลกใจมากกว่าเดิม
“พี่สิบเอ็ดสู้ๆ!” หย่งจยาจวิ้นจู่ไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลย นางคอยส่งกำลังใจให้เกอซูฮั่นด้วยความตื่นเต้น ทั้งยังไม่ลืมจะดึงตัวมู่ชิงอีมาด้วย “ฉังหนิง เร็วเข้า พวกเรามาให้กำลังใจพี่สิบเอ็ดด้วยกัน”
มู่ชิงอีกลอกตาไปมาแล้วเอ่ย “ถ้าจะให้กำลังใจ ข้าก็ควรร้องให้กำลังใจอานซีจวิ้นอ๋องถึงจะถูก”
“ทำไมเล่า ฉังหนิงชอบหนุ่มหน้ามนคนเจ้าสำอางอย่างจ้าวจื่ออวี้มากกว่าหรือ” หย่งจยาจวิ้นจู่เริ่มไม่พอใจขึ้นมาแล้ว
พี่สิบเอ็ดของนางต่างหากที่เก่งที่สุด!
หนุ่มหน้ามนคนเจ้าสำอาง? มู่ชิงอีอดกระตุกยิ้มมุมปากไม่ได้แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เปล่า เพราะข้าเป็นคนแคว้นหวา และอานซีจวิ้นอ๋องก็เช่นกัน”
“หนุ่มหน้ามนคนเจ้าสำอางนั่นไม่มีทางชนะหรอก! เขาเอาชนะพี่สิบเอ็ดของข้าไม่ได้แน่นอน!” หย่งจยาจวิ้นจู่เอ่ยอย่างแน่วแน่ ในสายตาของหย่งจยาจวิ้นจู่ จ้าวจื่ออวี้นั้นรูปร่างผอมแห้ง ถึงแม้จะทำศึกมาเป็นเวลานานแต่ผิวภายนอกกลับไม่ดำคล้ำลงเหมือนทหารรักษาชายแดนเลยสักนิดทว่ากลับหน้าตาหล่อเหล่าไร้ใครเทียบเทียม สำหรับหย่งจยาจวิ้นจู่แล้วเขาก็คือหนุ่มหน้ามนคนเจ้าสำอางคนหนึ่ง แต่จากสายตาของหย่งจยาจวิ้นจู่แล้วบุรุษที่หน้าตาดูดีใช้ได้ท่ามกลางคนมากมายในที่แห่งนี้ก็คือหนุ่มหน้ามนคนเจ้าสำอางคนนี้นี่แหละ
ผ่านไปอีกเจ็ดแปดกระบวนท่า ฉับพลันพวกเขาสองคนที่กำลังปะทะกันอยู่ก็ถอยหลังมาสองสามก้าวแล้วหยุดการประลองลง จ้าวจื่ออวี้สีหน้าเยือกเย็นยกมือคำนับแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “เลี่ยอ๋องวิทยายุทธแกร่งกล้า ข้านับถือนัก”
เกอซูฮั่นไม่คิดเช่นนั้นแต่กลับหัวเราะร่า “อานซีจวิ้นอ๋องเองก็เก่งมากไม่เบา ถ้ามีโอกาสข้าค่อยประลองกับอานซีจวิ้นอ๋องใหม่” จ้าวจื่ออวี้พยักหน้าเอ่ย “ช่างเป็นเกียรตินัก” สายตาเย็นชากวาดมองไปที่ร่างของหย่งจยาจวิ้นจู่ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ถึงแม้อยู่ในระหว่างการประลองแต่คำว่าหนุ่มหน้ามนคนเจ้าสำอางเมื่อครู่ อานซีจวิ้นอ๋องกลับได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำไม่มีตกหล่น
“พี่สิบเอ็ด สรุปใครชนะหรือ” หย่งจยาจวิ้นจู่ถามอย่างใคร่รู้
เกอซูฮั่นยังไม่ทันเปิดปาก จ้าวจื่ออวี้ก็ตอบเสียงเย็นยะเยือกว่า “ข้าแพ้แล้ว” เหมือนว่าหย่งจยาจวิ้นจู่จะไม่รู้สึกถึงไอเย็นยะเยือกและน้ำเสียงที่กดต่ำของจ้าวจื่ออวี้เลยสักนิด นางรีบหันมาเอ่ยกับมู่ชิงอีอย่างดีอกดีใจในทันที “ฉังหนิง เจ้าเห็นแล้วหรือไม่ ข้าบอกแล้วว่าเจ้าหนุ่ม…อุ๊บ…” คำว่าหนุ่มหน้ามนคนเจ้าสำอางถูกมู่ชิงอียัดกลับเข้าปากไปเพราะนางปิดปากของหย่งจยาจวิ้นจู่ไว้แล้ว จากนั้นมู่ชิงอีก็ยิ้มกล่าว “ข้า…เห็นแล้ว” ถึงแม้นางจะดูไม่ออกว่าตัดสินแพ้ชนะเช่นใด แต่ปัญหานี้ไม่สำคัญในเวลาแบบนี้แน่นอน
หย่งจยาจวิ้นจู่มองมู่ชิงอีอย่างน้อยใจ ทว่าเกอซูฮั่นกลับมองจ้าวจื่ออวี้ด้วยความรู้สึกผิดจึงทำมือขอคารวะเพราะในเมื่อน้องสาวของตนปากไม่มีหูรูดจึงขอร้องได้โปรดอย่าถือโทษ จ้าวจื่ออวี้เป็นถึงจวิ้นอ๋องย่อมไม่คิดเล็กคิดน้อยกับหญิงสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่งอยู่แล้ว เขาแค่พยักหน้าอย่างเย็นชาและไม่ได้พูดอะไรอีก
“เลี่ยอ๋องแห่งเป่ยฮั่นมีวิทยายุทธที่ไร้ใครเทียมจริงๆ ไหวหยางช่างนับถือนัก” อีกฝั่งองค์หญิงไหวหยางที่มาก่อนพวกนางเล็กน้อยปรากฏตัวอยู่ข้างกายเกอซูฮั่นเอ่ยพลางอมยิ้ม เกอซูฮั่นพยักหน้าเล็กน้อยกล่าว “ขอบพระทัยองค์หญิง”
หย่งจยาจวิ้นจู่ไม่พอใจที่จู่ๆ องค์หญิงไหวหยางปรากฏตัวจนทำลายแผนการของนาง จึงเบียดแทรกตัวเข้าไประหว่างกลางของเกอซูฮั่นและองค์หญิงไหวหยาง จากนั้นก็คล้องแขนของเกอซูฮั่นแล้วยิ้มกล่าว “พี่สิบเอ็ด นี่คือสหายใหม่ของข้า ฉังหนิงจวิ้นจู่ ท่านพี่ดูสิฉังหนิงช่างงดงามนัก”
เกอซูฮั่นยกมือขึ้นเขกหน้าผากน้องสาวทีหนึ่งอย่างเอือมระอาแล้วหมุนตัวมายิ้มกล่าวกับมู่ชิงอีว่า “เจ้านับวันก็ยิ่งงามขึ้นเรื่อยๆ ไม่คิดเลยว่าจะหลอกข้าด้วยอีกคน ก่อนหน้านี้ข้านึกว่าเจ้าเสียโฉมแล้วจริงๆ เสียอีก”
เรื่องที่เกอซูฮั่นเคยไปขอหมั้นหมายแล้วถูกปฏิเสธมีคนในที่นี้รู้อยู่ไม่น้อยทีเดียว องค์หญิงไหวหยางเอ่ยถามว่า “เลี่ยอ๋องกับฉังหนิงจวิ้นจู่เคยรู้จักกันด้วยหรือ”
มู่ชิงอีที่ยืนอยู่อีกฝั่งสัมผัสได้ถึงกระแสความไม่เป็นมิตรส่งผ่านมาจากตัวนางอย่างชัดเจน นี่เป็นครั้งแรกที่มู่ชิงอีสัมผัสได้ถึงกระแสความไม่เป็นมิตรมาจากองค์หญิงผู้นี้ ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะได้ยินหรงจิ่นเกริ่นถึงบ้างแต่อย่างไรเสียองค์หญิงไหวหยางก็ตบตาเก่งเกินไปเลยชวนให้รู้สึกว่านางเป็นคนอ่อนโยนสุขุม คิดไม่ถึงว่าตอนนี้กลับหลุดเผยให้เห็นเสียแล้ว มู่ชิงอีเงยหน้าจับจ้องใบหน้าหล่อเหลาบุคลิกนักสู้ของเกอซูฮั่นพลางครุ่นคิดบางอย่าง
เกอซูฮั่นเองก็ไม่ปกปิดยิ้มกล่าว “ไม่ผิดหรอก ฉังหนิงจวิ้นจู่มีบุญคุณช่วยชีวิตข้าไว้”
ทุกคนที่ได้ยินเช่นนี้ต่างก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
หญิงสาวที่มักเก็บตัวอยู่แต่ในจวนอย่างมู่ชิงอีจะมีบุญคุณช่วยชีวิตอะไรเกอซูฮั่นได้ เกอซูฮั่นมาเมืองหลวงยังไม่ถึงหนึ่งเดือน อีกอย่างไม่เคยได้ยินว่าเขาจะเจอเรื่องอันตรายอะไรเลยนี่นา
“ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าฉังหนิงจวิ้นจู่เสียโฉม ตอนนี้ดูท่าคงเป็นเพียงข่าวเท็จกระมัง” จู่ๆ มู่หรงอวี้ก็เอ่ยขึ้นมาพร้อมแววตาจับจ้องมู่ชิงอีแน่นิ่งไม่กระพริบ มู่ชิงอีคลี่ยิ้มบางกล่าว “ความจริงก่อนหน้านี้หม่อมฉันเองก็ยากลำบากอยู่ระยะหนึ่ง แต่หลังจากนั้น…ชิงอีกับท่านพ่อโกรธกันเลยประชดประชันกันเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อครู่ชิงอีขอโหรวเฟยทรงอภัยโทษให้แล้วเพคะ ฝ่าบาทเองก็ทรงตรัสว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลยไม่กล่าวโทษชิงอีแล้ว” ในเมื่อฮ่องเต้แคว้นหวาและโหรวเฟยไม่ติดใจคิดเอาความ ฉะนั้นในฐานะกงอ๋องอย่างมู่หรงอวี้ซึ่งไม่เกี่ยวข้องอันใดกับนางย่อมไม่มีสิทธิ์มาคาดคั้นเอาความกับนางเช่นกัน
มู่หรงอวี้หน้าตึงเล็กน้อยแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ฉังหนิงจวิ้นจู่พูดก็ถูก ใบหน้างดงามเช่นนี้หากเสียโฉมไป…คงน่าเสียดายแย่”
มู่ชิงอีเม้มปากยิ้มกล่าว “กงอ๋องก็พูดเกินไปเพคะ”
ฝูอ๋องเห็นบรรยากาศดูผิดปกติ ถึงแม้เขาเองก็รู้สึกประหลาดใจเรื่องมู่ชิงอีเช่นกันแต่ก็อดพูดพลางกลั้วหัวเราะไม่ได้ว่า “ทุกคนประลองกันเสร็จหมดแล้ว เช่นนั้นก็อย่ามัวแต่ยืนอยู่ตรงนี้เลย สู้พวกเราขึ้นเรือไปพักผ่อนดื่มชากันดีกว่าเป็นอย่างไรเล่า”
ทุกคนเอ่ยเห็นด้วยอย่างไม่ขาดปาก หรงเหยี่ยนเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “ได้ยินว่าคุณชายเว่ยก็มาเหมือนกันมิใช่หรือ นี่ผ่านมาครึ่งค่อนวันแล้วเหตุใดถึงไม่เห็นแม้แต่เงาเลยเล่า” องค์หญิงไหวหยางปิดปากอมยิ้มกล่าว “คุณชายเว่ยพาคู่หมั้นมาด้วย แม่นางเชียนหลิงสุขภาพไม่ดีนักเลยพักผ่อนอยู่ที่เรือนรั่วหวา คุณชายเว่ยกำลังอยู่เฝ้าแม่นางเชียนหลิง เกรงว่าคงไม่มีเวลามาดื่มชากับทุกคนแล้วล่ะ”
กล่าวได้ว่าในบรรดาพวกเขาเว่ยอู๋จี้ดูลึกลับที่สุดและมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในสถานะไหนอย่างน้อยก็ต้องอยู่ในการควบคุมของเหล่าอ๋องและอำนาจของฮ่องเต้ มีเพียงเว่ยอู๋จี้คนเดียวเท่านั้นที่สามารถท่องไปทั่วทุกแคว้นได้ เขาครอบครองสมบัติมหาศาลจนกระทั่งแม้แต่เหล่าอ๋องแต่ละแคว้นยังปฏิบัติต่อเขาอย่างนอบน้อม คนแบบนี้ย่อมชวนให้ทุกคนอดทึ่งไม่ได้และอยากจะดึงเขาเข้ามาเป็นพวกด้วยอยู่แล้ว
ตอนต่อไป