หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 151 ก่อนงานเลี้ยงในวัง องค์ชายเก้าหรงจิ่นผู้ไร้เหตุผล (3)
หรงเหยี่ยนเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มเห็นใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นดูท่าคงต้องรอช่วงงานเลี้ยงตอนกลางคืนถึงจะได้เจอคุณชายเว่ยเสียแล้ว แต่นึกไม่ถึงเลยว่าคุณชายเว่ยจะเป็นคนคลั่งรักคนหนึ่งขนาดนี้” ระหว่างที่เอ่ยพลางอมยิ้มไปนั้น ทุกคนก็ค่อยๆ ทยอยขึ้นเรือกันแล้ว หย่งจยาจวิ้นจู่นึกรำคาญใจที่เรือคับแคบไปสักหน่อย เมื่อเห็นว่ามู่ชิงอีไม่คิดจะเข้าใกล้พี่สิบเอ็ดของตนเลยคร้านจะตามไปด้วยเช่นกัน ทว่าองค์หญิงไหวหยางกลับขึ้นเรือไปพร้อมหรงเหยี่ยนแล้ว
หย่งจยาจวิ้นจู่มองเรือที่ค่อยๆ ล่องเข้าสู่ใจกลางทะเลสาบแล้วเอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “องค์หญิงไหวหยางอยู่บนเรือลำพังเช่นนั้นมีอะไรน่าสนุกกัน” บนเรือล้วนมีแต่บุรุษ องค์หญิงไหวหยางขึ้นเรือไปอย่างโดดเดี่ยวเช่นนั้นเพื่อนจะคุยด้วยสักคนยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ
มู่ชิงอีปิดปากหัวเราะเสียงเบากล่าว “ท่านมองไม่ออกหรือ”
“มองเรื่องอันใดออกอย่างนั้นหรือ” หย่งจยาจวิ้นจู่ไม่เข้าใจ
มู่ชิงอียิ้มกล่าว “องค์หญิงไหวหยางอยากเป็นพระชายาของพี่สิบเอ็ดของท่านอย่างไรเล่า”
“อะไรนะ!” หย่งจยาจวิ้นจู่พลันเดือดดาลขึ้นมา “ข้าไม่อยากได้พี่สะใภ้นิสัยร้ายลึกแบบนั้นหรอกนะ!” มู่ชิงอีอดลอบปาดเหงื่อไม่ได้
ถ้าเช่นนั้นเจ้ายังคิดจะจับคู่หญิงแบบข้ากับพี่สิบเอ็ดของเจ้าอีก? แผนร้ายกาจของข้าด้อยกว่าองค์หญิงไหวหยางหรืออย่างไร
หย่งจยาจวิ้นจู่กระทืบเท้ากล่าว “ไม่ได้! จะยอมให้ผู้หญิงคนนั้นเข้าใกล้พี่สิบเอ็ดของข้าไม่ได้เด็ดขาด!”
“หลายวันมานี้พวกท่านก็ดูสนิทสนมกันดีมิใช่หรือ” มู่ชิงอีเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ นางดูไม่ออกเลยว่าหย่งจยาจวิ้นจู่จะชิงชังองค์หญิงไหวหยาง
หย่งจยาจวิ้นจู่แค่นเสียงเบาอย่างเย่อหยิ่ง “นั่นเป็นเพราะนางเอาใจเก่งต่างหาก ข้าเลยไม่อยากยุ่มย่ามอะไรกับนาง ข้าก็ว่าเหตุใดองค์หญิงคนหนึ่งอย่างนางถึงได้เกรงใจข้าที่เป็นแค่จวิ้นจู่นัก ไม่ได้การแล้ว ข้าต้องไปก่อน!” พอพูดจบประโยค หย่งจยาจวิ้นจู่ก็ถีบเท้าเด้งตัวขึ้นพุ่งตัวไปทางเรือที่อยู่ใจกลางทะเลสาบ กำลังภายในของนางยังถือว่าอยู่ในระดับธรรมดาเพราะระหว่างทางนางยังมีพักเท้าบนเรืออื่นบ้างซึ่งพักหลายยกกว่าจะไปถึงเรือของเกอซูฮั่น หลังจากหย่งจยาจวิ้นจู่ลงเรือไปแล้วก็โบกมือไปมาส่งมาให้มู่ชิงอีแล้วก็มุดเข้าเรือไป มู่ชิงอีอดส่ายศีรษะพลางยิ้มบางไม่ได้
“เด็กโง่นั่นน่าขันนักหรือ” เสียงเข้มแฝงความเจ้าเล่ห์ดังขึ้นหลังมู่ชิงอี มู่ชิงอีสะดุ้งตกใจเฮือกใหญ่แต่พอหันไปมองกลับเจอสีหน้าบูดบึ้งของหรงจิ่นที่ทำทีราวกับว่านางติดเงินเขาหลายล้านตำลึงแล้วยังไม่คืนก็ไม่ปาน ไม่รอให้นางได้ทันพูดอะไร หรงจิ่นก็คว้าหมับลากมือนางเดินไปอีกฝั่ง
ครั้นถูกหรงจิ่นลากตัวเดินไปข้างหน้า มู่ชิงอีที่คิดอยากดิ้นให้หลุดเลยจนใจ ถึงอย่างไรเสียหากเทียบแรงของนางกับหรงจิ่นคงไม่ต้องเอ่ยถึงอยู่แล้ว สุดท้ายนางก็ถูกลากมาหยุดอยู่หลังศาลาพักผ่อนที่บดบังไปด้วยต้นหลิวสีเขียวชอุ่มมุมหนึ่งของริมทะเลสาบ มู่ชิงอีสลัดมือของเขาออกอย่างไม่สบอารมณ์กล่าว “องค์ชายเก้า ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่เพคะ”
ใบหน้าหล่อเหลาของหรงจิ่นถมึงทึงราวกับวิญญาณร้ายโผล่ออกมาจากร่าง พอมู่ชิงอีเห็นเช่นนั้นก็อดเดินถอยหนีไปด้านหลังไม่ได้ เมื่อเห็นเหมือนมู่ชิงอีไม่สำนึก หรงจิ่นเลยแค่นเสียงเบาเอ่ย “ชิงชิงเคยมีบุญคุณช่วยชีวิตเกอซูฮั่นไว้ด้วยหรือ”
มู่ชิงอีกลอกตาใส่ไปทีแล้วเอ่ย “เรื่องตั้งแต่วัยเยาว์แล้ว ต่อให้เป็นบุญคุณก็คงเป็นของท่านแม่ของหม่อมฉัน” หรงจิ่นเอามือจับคางของมู่ชิงอีไว้แล้วเอียงศีรษะกวาดตามองความงดงามของนาง อีกทั้งคำพูดที่เปล่งออกมาก็เหน็บแนมเหลือเกิน “ชิงชิงแต่งหน้าสะสวยขนาดนี้เพราะอยากไปเป็นพระชายาเลี่ยที่แคว้นเป่ยฮั่นอย่างนั้นหรือ”
มู่ชิงอีปัดมือเขาออกอย่างไม่สบอารมณ์ “ที่นี่คือวังหลวง เลิกโวยวายได้แล้ว พระชายาเลี่ยอะไรกัน หม่อมฉันพูดว่าอยากไปเป็นพระชายาเลี่ยตั้งแต่เมื่อไรหรือ” หรงจิ่นไม่สนใจสักนิดว่าตนจะถูกปัดมือออก พอดึงมือกลับมาเขาก็ยกมือขึ้นมาจับหน้าของมู่ชิงอีใหม่อีกครั้งแล้วเอ่ยเสียงทุ้มต่ำว่า “ชิงชิงห้ามพูดคุยกับเกอซูฮั่นเป็นอันขาด แล้วก็ห้ามไปเป่ยฮั่ยกับเขาด้วย ไม่เช่นนั้นข้าจะโกรธแล้วนะ”
“องค์ชายโกรธแล้วอย่างไรหรือ” มู่ชิงอีไม่ใส่ใจสักนิด หรงจิ่นชอบโวยวายจนเป็นนิสัย บางทีคำพูดที่เขาเอ่ยออกมามักชวนให้รู้สึกว่าเขากำลังล้อเล่นอยู่อย่างง่ายดาย หรงจิ่นเอ่ยด้วยท่าทีจริงจังว่า “ข้าอยากจับชิงชิงโยนลงทะเลสาบไปเสีย…ไม่สิ ข้าอยากมัดตัวชิงชิงแล้วซ่อนไว้ แล้ววันหลังจะไม่ให้ผู้ใดได้เห็นอีก เหอะ! ก็ยังไม่ดีสักเท่าไร…ข้าอยากพาตัวชิงชิงกลับแคว้นเย่ว์ไปกักขังไว้ แล้วมีเพียงแต่ข้าเท่านั้นที่เชยชมเจ้าได้…”
เมื่อเห็นสีหน้าแสร้งทำเป็นจริงจังของหรงจิ่น มู่ชิงอีก็อดกลอกตาใส่ไม่ได้ “สู้องค์ชายฆ่าหม่อมฉันเสียดีกว่า”
หรงจิ่นขยับใบหน้าถมึงทึงเข้าใกล้มู่ชิงอีแล้วเอียงคอเอ่ยด้วยท่าทีจริงจังว่า “เป็นความคิดที่ดี…อืม แต่ไม่เอาดีกว่า ข้าตัดใจฆ่าชิงชิงไม่ลง ไปฆ่าเกอซูฮั่นดีกว่า” เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของหรงจิ่น มู่ชิงอีก็ตระหนักได้ว่าเขาไม่ได้ล้อนางเล่นเหมือนอย่างเคย เขากำลังขบคิดว่าจะฆ่าเกอซูฮั่นอย่างไรจริงๆ พอคิดถึงตรงนี้มู่ชิงอีก็อดยกมือขึ้นก่ายหน้าผากไม่ได้
ตนรู้ว่าหรงจิ่นเป็นคนร้ายกาจใจดำอำมหิต และรู้ว่าเขาไม่เคยเกรงกลัวว่าใต้หล้านี้จะวุ่นวายขนาดไหนเลยสักนิด แต่กลับไม่รู้ว่าสมองจะมีปัญหาด้วย เขาพูดว่าอยากฆ่าเลี่ยอ๋องแห่งเป่ยฮั่นเพื่อเรื่องแค่นี้อย่างนั้นหรือ สมองของหรงจิ่นไม่ได้มีปัญหาอะไรจริงๆ ใช่หรือไม่
“องค์ชายเก้า ท่านกำลังล้อเล่นอยู่สินะเพคะ?” มู่ชิงอีเอ่ยถามพร้อมความหวังอันน้อยนิด
หรงจิ่นจับจ้องริมฝีปากสีแดงสดของสาวน้อยตรงหน้าแน่นิ่ง เขากะพริบตาปริบๆ แล้วทันใดนั้นก็โน้มตัวลงไปประกบริมฝีปากของมู่ชิงอี จากนั้นก็เอียงศีรษะลิ้มรสอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะปล่อยมือออกจากคางของมู่ชิงอีแล้วเอ่ยเสียงจริงจังว่า “หวาน…ข้าจริงจังต่างหากเล่า”
เพราะเหตุนี้ด้านหลังศาลาพักผ่อนที่บดบังไปด้วยใบต้นหลิวเรียวยาว คุณหนูสี่ตระกูลมู่ที่ถูกคนล่วงเกินกะทันหันจึงสติล่องลอยยืนแน่นิ่งไป ส่วนองค์ชายหรงจิ่นที่เป็นฝ่ายล่วงเกินก็พิงตัวข้างศาลาพักผ่อนอย่างไม่รู้สึกอะไรแล้วกัดนิ้วพลางขบคิดว่าทำเช่นใดถึงจะฆ่าเลี่ยอ๋องแห่งเป่ยฮั่นได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย
รอจนกระทั่งมู่ชิงอีได้สติก็พบว่านี่เป็นครั้งแรกในชั่วชีวิตสองชาติภพของนางที่ถูกคนเอาเปรียบ นางมองหรงจิ่นที่กำลังก้มหน้าขบคิดพลางพิงตัวยืนอยู่อีกฝั่งด้วยสีหน้าจริงจัง ชั่วขณะนั้นนางก็หมดคำพูดจะเอื้อนเอ่ย หากคนที่เป็นฝ่ายล่วงเกินแสดงท่าทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เช่นนั้นคนที่ถูกล่วงเกินก็คงหาเหตุผลอะไรไม่ได้
หรือว่าตนควรถามองค์ชายเก้าดูว่าเหตุใดถึงจูบนางอย่างนั้นหรือ ยิ่งไปกว่านั้นนี่ไม่เรียกว่าจูบด้วยซ้ำเพราะเหมือนถูกแมวเลียปากมากกว่า แต่หากเอ่ยขึ้นมาอีกก็จะเหมือนนางเก็บเอามาใส่ใจ แต่เสียเปรียบไปมากขนาดนี้ คุณหนูสี่ตระกูลมู่ก็กล้ำกลืนความโกรธนี้ไปไม่ได้เช่นกัน!
นางถลึงตามองหรงจิ่นอย่างไม่สบอารมณ์แวบหนึ่ง มู่ชิงอีตัดสินใจว่าค่อยสะสางเรื่องนี้หลังจากออกวังไปเพราะอย่างไรเสียก็มีโอกาสตั้งมากมาย ตอนนี้อยู่ในวังควรระมัดระวังอย่าก่อเรื่องวุ่นวายอะไรขึ้นมาเลยจะดีกว่า พอคิดได้เช่นนี้มู่ชิงอีก็หยัดกายลุกขึ้นเตรียมตัวกลับ ปล่อยให้หรงจิ่นคิดว่าจะฆ่าเกอซูฮั่นเช่นไรไปคนเดียว แต่คิดไปคิดมาแล้วหากคิดจะฆ่าเกอซูฮั่นให้ได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ
“ชิงชิง ห้ามไป!” พอสังเกตเห็นว่ามู่ชิงอีเตรียมตัวจะกลับแล้ว หรงจิ่นก็พุ่งเข้าไปคว้าตัวของมู่ชิงอีไว้โดยไม่คิดเลยแม้แต่น้อย
“มิน่าเล่าถึงเมินใส่ท่านเลี่ยอ๋อง ที่แท้ก็คบอยู่กับองค์ชายของแคว้นเย่ว์ตั้งนานแล้วนี่เอง” ขณะที่มู่ชิงอีคิดจะผลักตัวหรงจิ่นออกไป ฉับพลันเสียงแหลมแสบหูก็ดังขึ้น พอพวกเขาสองคนหมุนตัวไปก็เห็นมู่หลิงยืนแสยะยิ้มเย็นชาพลางมองมู่ชิงอีด้วยสีหน้าดูแคลนอยู่ตรงภูเขาปลอมเหนือศาลาพักผ่อน
หรงจิ่นหรี่ตาแล้วเอ่ยเสียงขรึมว่า “อู๋ฉิง”
อู๋ฉิงปรากฏตัวด้านหลังมู่หลิงเงียบๆ เวลาชั่วพริบตาเดียวมู่หลิงก็ถูกหิ้วแล้วโยนมาตรงแทบเท้าของพวกเขาทั้งสอง “กระหม่อมไร้ความสามารถ องค์ชายโปรดลงโทษด้วย”
หรงจิ่นแค่นเสียงเบาเอ่ย “กลับไปรับโทษเอาเอง”
ความจริงถือว่าอู๋ฉิงถูกกล่าวหามากกว่าเพราะมู่หลิงไม่ได้โผล่มาหลังจากที่พวกเขามาถึงที่นี่เสียทีเดียว เดิมทีมู่หลิงซ่อนตัวอยู่ในภูเขาปลอมตั้งนานแล้ว เวลานี้มู่หลิงถูกเหล่าคุณชายตระกูลสูงศักดิ์ทั่วทั้งเมืองหลวงขับออกจากกลุ่ม หลังจากออกมาจากพระตำหนักหวาหยาง มู่ฮูหยินผู้เฒ่าก็พาเหล่าสตรีไปทักทายคนอื่น มู่หลิงคนเดียวกลับไม่มีที่ไปและยิ่งไม่อยากไปเจอใครด้วยเลยซ่อนตัวอยู่ในภูเขาปลอมด้านบนศาลาพักผ่อนที่ไม่มีคนพลุกพล่านเพื่อชดเชยให้กับความรู้สึกของตัวเอง แต่ใครจะไปรู้ว่าจะมาได้ยินบทสนทนาเช่นนี้เล่า
ตอนต่อไป