หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 158 งานเลี้ยงยามค่ำคืนที่จบลงไม่สวยนัก (1)
มู่ชิงอีชะงักไป แต่พอรู้สึกตัวก็รีบคุกเข่าลงพื้นทันทีพร้อมเอ่ยเสียงดังกังวานว่า “มู่ชิงอีน้อมฟังพระราชโองการเพคะ”
ฮ่องเต้แคว้นหวายิ้มตรัส “ทั้งสง่าสุขุมเยือกเย็น ทั้งผ่านการบ่มเพาะสั่งสอนเรื่องมารยาทเป็นอย่างดี ฉลาดหลักแหลมมากความสามารถ เราขอเลื่อนขั้นให้เป็นองค์หญิงโดยพระราชทานนามให้ว่าหมิงเจ๋อ” ชั่ววินาทีนั้นทั่วทั้งพระตำหนักก็เงียบสงัด จากนั้นทุกคนก็มองหญิงสาวที่คุกเข่าอยู่ในพระตำหนักด้วยความสับสนอยู่ในใจ
ตกลงแล้วบุตรสาวภรรยาเอกของจวนซู่เฉิงโหวมีภูมิหลังเช่นใดกันแน่ แต่งตั้งขึ้นเป็นจวิ้นจู่โดยไร้สาเหตุยังพอว่า ทว่าบัดนี้แม้แต่ภาพวาดที่ไม่นับว่าโดดเด่นอะไรและบทกลอนที่ไม่ได้เรื่องนี้กลับทำให้นางถูกแต่งตั้งเป็นองค์หญิง อีกทั้งยังไม่ใช่องค์หญิงธรรมดา บรรดาองค์หญิงของพระองค์ต่างได้รับพระราชทานนามตามลำดับดังนี้ หมิงเวย หมิงอวี้ หมิงเย่ว์ หมิงฮุ่ย หมิงเหอ...และมู่ชิงอีได้รับพระราชทานนามว่าหมิงเจ๋อ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าในสายตาของพระองค์นางก็มีสถานะเหมือนบรรดาองค์หญิงที่เป็นบุตรสาวแท้ๆ ของพระองค์เช่นกันอย่างนั้นหรือ นับว่าห่างชั้นจากการแต่งตั้งขึ้นเป็นองค์หญิงหรือจวิ้นจู่เพื่อเกี่ยวดองไม่น้อย หรือว่าฝ่าบาทจะทรงโปรดโหรวเฟยมากจริงๆ จนกระทั่งรักใคร่เอ็นดูคนในจวนของโหรวเฟยไปด้วย?
แต่พอคิดทบทวนดูแล้วก็ต้องส่ายศีรษะเพราะต้องรู้ก่อนว่าบัดนี้ท่านแม่และน้องสาวแท้ๆ ของโหรวเฟยกลับไม่มีอะไรเลย
“หมิงเจ๋อ เหตุใดถึงไม่กล่าวขอบพระทัยเล่า” ครั้นเห็นมู่ชิงอีแน่นิ่งต่อหน้าทุกคน ฮ่องเต้แคว้นหวาก็เอ่ยเตือนนางอย่างอารมณ์ดี ก่อนหน้านี้เขายังเห็นมู่ชิงอีเป็นตัวแทนของจังอานหรูอยู่ก็จริง แต่ตอนนี้ในเมื่อเห็นนางเป็นดั่งพระธิดาแล้วเลยคิดว่าสมญานามฉังหนิงดูไม่ค่อยดีเท่าไรนัก นิสัยโดยแท้ของฮ่องเต้แคว้นหวาเป็นคนตัดสินใจเด็ดเดี่ยวคนหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่คิดว่าการที่จู่ๆ ตนแต่งตั้งองค์หญิงสักคนขึ้นมาจะทำให้คนอื่นรับไม่ได้
มู่ชิงอีรู้สึกเหนือคาดจนตกตะลึงไปแล้วจริงๆ ก่อนหน้านี้นางนึกว่าฮ่องเต้แคว้นหวาจะทรงล้อเล่นเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าพระองค์จะมีพระราชโองการต่อหน้าทุกคนเช่นนี้ แต่สำหรับมู่ชิงอีแล้วกลับไม่ได้รู้สึกไม่พอใจเลย ไม่ใช่เพราะสถานะองค์หญิงนี้ แต่หากสถานะที่ฮ่องเต้แคว้นหวาพระราชทานให้ต้องอยู่กับนางไปสักระยะหนึ่ง นางไม่อยากใช้นามว่าฉังหนิงเพราะสำหรับน้าหญิงแล้วเป็นการไม่ให้เกียรติอย่างหนึ่ง
คนอื่นยังไม่เท่าไร ทว่าโหรวเฟยที่นั่งถัดลงมาจากฮ่องเต้แคว้นหวาคนแรกกลับรับไม่ได้ก่อนแล้ว โหรวเฟยนึกไม่ถึงว่าฮ่องเต้แคว้นหวาจะทรงโปรดมู่ชิงอีถึงเพียงนี้ แต่งตั้งให้เป็นจวิ้นจู่ยังไม่พอ ตอนนี้ยังแต่งตั้งให้เป็นองค์หญิงอีก โหรวเฟยเป็นเพียงสนมเอกลำดับสองคนหนึ่ง หากยังไม่ได้เลื่อนขั้นเป็นกุ้ยเฟยด้วยสถานะของนางคงกดมู่ชิงอีที่มีสถานะเป็นองค์หญิงไม่ได้
“ฝ่าบาท แบบนี้จะ…เกินไปหน่อยหรือไม่เพคะ” โหรวเฟยเอ่ยพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าที่ดูตึงเล็กน้อย
ฮ่องเต้แคว้นหวากวาดตามองนางด้วยแววตาเย็นชาเอ่ยตรัส “มีอันใดเกินไปอย่างนั้นหรือ”
อีกฝั่งหรงเฟยกลับปิดปากหัวเราะเสียงต่ำเอ่ยขึ้นว่า “น้องหญิงโหรวเฟย นี่นับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ฝ่าบาททรงมีต่อจวนซู่เฉิงโหว แล้วจะทำเกินไปได้เยี่ยงไร ยิ่งไปกว่านั้นไทเฮาและฮองเฮาเองก็มิทรงว่าอะไร เหตุใดน้องหญิงถึงไม่ชอบใจเล่า” น้องสาวของโหรวเฟยถูกแต่งตั้งเป็นองค์หญิง หรงเฟยย่อมอิจฉาอยู่แล้ว แต่พอเห็นสีหน้าดูไม่ได้ของมู่เฟยหลวน ถึงแม้จะไม่รู้ว่ามู่เฟยหลวนกำลังออดอ้อนหรือไม่ชอบใจขึ้นมาจริงๆ แต่ขอเพียงนางทุกข์ใจ หรงเฟยก็มีความสุขมากแล้ว
มู่เฟยหลวนถลึงตามองหรงเฟยแวบหนึ่งพลางแอบกัดฟัน
เหตุใดฝ่าบาทถึงทรงโปรดมู่ชิงอีถึงเพียงนี้ เพราะใบหน้างดงามนั้นของนางอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นความลำบากและความโปรดปรานตลอดระยะเวลาหลายปีมานี้ของนางจะนับอะไรได้
ฮองเฮาและไทเฮาเข้าใจนิสัยของฮ่องเต้แคว้นหวามากพอ ดังนั้นต่อให้พวกนางจะไม่รู้ว่าเหตุใดอยู่ดีๆ ถึงแต่งตั้งยศให้ กระทั่งพวกนางเองก็ยังรู้สึกว่าพระองค์ทำเกินไปเช่นกันแต่ย่อมไม่มีทางเอ่ยคัดค้านต่อหน้าพระองค์แน่นอน ดังนั้นฮ่องเต้แคว้นหวาจึงทำการแต่งตั้งโดยไร้เหตุผลเช่นนี้สำเร็จ “องค์หญิงหมิงเจ๋อ ยังไม่ขอบพระทัยอีก หรือถูกทำให้ตกใจเข้าแล้วหรือ” กระทั่งฮองเฮายังเอ่ยขบขันกับมู่ชิงอีไปด้วยอีกคน
“หมิงเจ๋อขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทเพคะ” มู่ชิงอีกล่าวขอบคุณด้วยท่าทีนอบน้อม
ฮ่องเต้แคว้นหวาคลี่ยิ้มอย่างมีความสุข โบกมือแล้วตรัสยิ้มๆ ว่า “เด็กดี เจ้าลุกขึ้นเถิด”
มู่ชิงอีหยัดกายลุกขึ้นแล้วนั่งประจำที่ เหล่าองค์หญิงไม่ว่าจะคิดเช่นไรต่างก็ทยอยแสดงความยินดีกับนาง ทุกคนในพระตำหนักเองก็ค่อยๆ ทยอยเอ่ยสดุดีแด่ไทเฮาและฮ่องเต้แคว้นหวาที่มีองค์หญิงเพิ่มมาอีกคน ถึงแม้ฮ่องเต้แคว้นหวาไม่ได้ป่าวประกาศโดยทั่วกันแต่ทุกคนต่างรู้แก่ใจดีว่านี่ไม่ได้เป็นกฎธรรมเนียมที่เขียนออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร สตรีที่ถูกแต่งตั้งเป็นองค์หญิงต้องเป็นบุตรสาวในเชื้อพระวงศ์ ไม่ว่าจะมีหน่อเนื้อเชื้อไขหรือไม่ตามหลักการแล้วก็ต้องเรียกฮ่องเต้ว่าเสด็จพ่อ
ครั้นเห็นท่าทีดีใจของฮ่องเต้แคว้นหวา คนไม่น้อยก็ใช้สายตาจับจ้องมู่ฉังหมิงด้วยความอิจฉาและเห็นใจ องค์หญิงหมิงเจ๋อเป็นบุตรสาวของเขาจริงๆ หรือเปล่านะ
มู่ฉังหมิงตั้งรับสายตาที่ทุกคนมองมาจากทุกทิศด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่าใต้โต๊ะกลับแอบบีบแหวนบนนิ้วมือวงหนึ่งจนแหลก เศษหยกที่แตกละเอียดบาดมือข้างซ้ายจนเป็นรอยแผลเต็มไปหมด
อีกด้านตำแหน่งที่นั่งฝั่งสตรี ครั้นมู่อวิ๋นหรงและสะใภ้ซุนที่นั่งอยู่ข้างมู่ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินบรรดาเหล่าฮูหยินเอ่ยแสดงความยินดีกับมู่ฮูหยินผู้เฒ่าก็โกรธจนสีหน้าบูดบึ้งไปนานแล้ว สะใภ้ซุนอดเอ่ยเสียงเบาไม่ได้ว่า “ยัยเด็กนั่นมีความสามารถอันใดกันถึงทำให้ฝ่าบาททรงแต่งตั้งนางเป็นองค์หญิงได้”
“หุบปาก!” มู่ฮูหยินผู้เฒ่าเหลือบมองสะใภ้ซุนแวบหนึ่งด้วยสีหน้าราบเรียบแล้วเอ่ยเสียงเย็นชา ไม่ว่ามู่ชิงอีจะมีความสามารถใด ถึงอย่างไรตอนนี้นางก็เป็นองค์หญิงแล้ว อีกทั้งฝ่าบาทยังทรงแต่งตั้งเป็นองค์หญิงหมิงเจ๋อด้วยพระองค์เองอีกต่างหาก!
พิธีแต่งตั้งองค์หญิงที่แสนปุบปับมาตอนปิดท้ายการแสดงความสามารถพอดี เพราะเป็นพิธีคั่นงานเลี้ยงที่ไม่ถือว่าสั้นและน่าเบื่อเท่าไรนัก ทุกคนอดรู้สึกไม่ได้ว่าเหมือนงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นฮ่องเต้แคว้นหวาก็พาทุกคนในพระตำหนักย้ายไปร่วมดื่มฉลองกับผู้ที่มาร่วมงานลานด้านนอก จากนั้นก็ชมการแสดงพลุที่กินเวลาไปครึ่งชั่วยามด้วยกัน ช่วงเวลานี้ทุกคนค่อนข้างเป็นอิสระกว่ามากเพราะไม่ต้องนั่งตรงจุดที่กำหนดไว้ตามธรรมเนียม อีกทั้งยังสามารถนั่งรวมกับเหล่าสหายหรือคนในครอบครัวของตนได้ด้วย
หลังจากรอเหล่าขุนนางนอกพระตำหนักดื่มเหล้าที่ฮ่องเต้แคว้นหวาพระราชทานพร้อมเอ่ยถวายพระพรวันคล้ายวันพระราชสมภพแด่ฮ่องเต้แคว้นหวาอย่างพร้อมเพรียงเสร็จแล้ว หย่งจยาจวิ้นจู่ก็รีบทิ้งท่านพี่สิบเอ็ดของนางทันทีแล้วมาเบียดอยู่ข้างกายมู่ชิงอีแทน
“ฉังหนิง…ไม่สิ องค์หญิงหมิงเจ๋อ องค์หญิงช่างยอดเยี่ยมจริงๆ เลยเพคะ องค์หญิงไม่เห็นสีหน้าของไหวหยางว่านางดูย่ำแย่ขนาดไหน…” สำหรับองค์หญิงไหวหยางที่คิดจะมาแย่งท่านพี่สิบเอ็ดของตน หย่งจยาจวิ้นจู่ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าใดๆ ทั้งนั้น เพียงแต่หลังจากตอนบ่ายที่แอบปะทะกันไปหลายรอบ หย่งจยาจวิ้นจู่ก็รู้ชัดแจ้งแล้วว่าผู้หญิงที่ดูบอบบางอ่อนโยนล้วนไม่ได้รับมือด้วยง่ายๆ เลยสักคน ดังนั้นพอเห็นมู่ชิงอีฉีกหน้าองค์หญิงไหวหยางได้ถึงดีใจมากขนาดนี้
มู่ชิงอีเอ่ยอย่างระอาว่า “ข้ามีนามว่ามู่ชิงอี จวิ้นจู่เรียกข้าว่าชิงอีก็พอแล้ว”
หย่งจยาจวิ้นจู่เอ่ยอย่างดีใจว่า “ข้ามีนามว่าเกอซูปิง เจ้าเรียกข้าว่าปิงเอ๋อร์ก็พอ จะว่าไปชิงอีเป็นสหายคนที่สองที่ข้าแลกเปลี่ยนชื่อด้วยตั้งแต่มาแคว้นหวานี่นา พูดถึงแคว้นหวามีแต่คนหน้าตาดีจริงๆ จังชิงก็หน้าตาหล่อเหลาเหมือนกัน…เอ๊ะ? ชิงอีกับน้องจังชิงมีคำว่าชิงเหมือนกันเลย วันหลังจะแนะนำให้พวกเจ้ารู้จักกันนะ”
มู่ชิงอีพูดไม่ออก หากข้าขอให้เจ้าแนะนำพวกเราสองคนให้รู้จักกันแล้วนางจะยังเล่นอะไรได้อีก ตอนแรกมู่ชิงอีคิดว่าตอนนั้นจงใจใช้ชื่อจังชิงดูจะทำตามใจชอบตัวเองไปสักหน่อย ในเมื่อหากใช้ชื่อจังอวิ๋นก็ยังปลอดภัยกว่าใช้ชื่อจังชิงกระมัง
“โอ๊ย เร็วเข้า!” ขณะที่มู่ชิงอีกำลังคิดว่าจะหาข้ออ้างเลื่อนเวลาทำทีว่าตนไม่สะดวกไปเจอกับจังชิงอะไรนั่นดีหรือไม่ ฉับพลันหย่งจยาจวิ้นจู่ก็ลากนางไปอีกทางแล้วดันนางเบียดเข้าฝูงชนไป “ชิงอีเร็วเข้า พวกเราไปหาท่านพี่สิบเอ็ดทางนั้นกัน”
“มีอะไรอย่างนั้นหรือ” มู่ชิงอีไม่เข้าใจ
ตอนต่อไป