หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 167 การสารภาพรักที่ปัญญาอ่อนที่สุดในประวัติศาสตร์ (2)
อิ๋งเอ๋อร์ทำหน้าแลบลิ้นปลิ้นตา จากนั้นก็ย่อตัวทำความเคารพเตรียมหมุนตัวไปหาหรงจิ่น ฉับพลันอู๋ซินก็เปิดปากห้ามว่า “คุณหนู หากองค์ชายเก้าตื่นแล้วจะลุกขึ้นมาเอง อย่าให้ใครไปกวนเขาเลยจะดีกว่าขอรับ”
มู่ชิงอีมุ่นคิ้วอย่างสงสัยเล็กน้อย “ทำไมหรือ”
อู๋ซินเงียบไปพักหนึ่งถึงเปิดปากกล่าวว่า “องค์ชายเก้าเกลียดคนกวนเขาเวลานอนมากที่สุด แม้แต่องครักษ์ข้างกายหากเผลอไม่ทันระวังยังอันตรายถึงชีวิตได้เลยนะขอรับ” องครักษ์ติดตามหรงจิ่นล้วนแต่เป็นยอดฝีมือที่หาได้ยากทั้งนั้น ลำพังแค่เฝิงอิ๋งยังไม่พอให้องค์ชายเก้าฟาดเลยด้วยซ้ำ
อิ๋งเอ๋อร์เบิกตากว้างด้วยความกลัวแล้วจ้องอู๋ซินตาเขม็ง “เจ้า…เมื่อคืนเจ้ารู้เช่นนี้แล้วยังห้ามไม่ให้ข้าไปหาคุณหนูอีกหรือ ถ้าเกิด…” ถ้าเกิดองค์ชายเก้าเผลอทำร้ายคุณหนูขึ้นมาจะทำเช่นใด
เจ้าอยากถูกองค์ชายเก้าซัดกระเด็นออกมาอย่างนั้นหรือ อู๋ซินมองอิ๋งเอ๋อร์ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เพียงแต่แววตาของนางไม่น่ามองเขาเลยพยายามฝืนใจอธิบายไปว่า “องค์ชายเก้าไม่ทำร้ายคุณหนูหรอก” เพราะเช่นนี้ในฐานะหนึ่งในองครักษ์ที่หรงจิ่นเชื่อใจที่สุดอย่างอู๋ซินและอู๋ฉิงจึงทึ่งในตัวมู่ชิงอีมาก อีกอย่างตอนที่อู๋ซินถูกยกให้มู่ชิงอีก็ไม่ได้เอ่ยคัดค้านอะไรเพราะมู่ชิงอีเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่เคยถูกหรงจิ่นไล่ไปไหน
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านโหว มู่ฮูหยินผู้เฒ่า สะใภ้ซุน คุณชายใหญ่และคุณหนูสามมาขอพบเจ้าค่ะ” จูเอ๋อร์รีบเดินเข้ามาแล้วเอ่ยรายงานด้วยสีหน้าตื่นตระหนก มู่ชิงอีเลิกคิ้วถาม “ทำไมหรือ”
จูเอ๋อร์เอ่ย “เมื่อครู่…คุณชายรองถูกคนส่งตัวมาจากวัง บอกว่า…เมื่อเช้าเจอตัวคุณชายรองอยู่ในทะเลสาบสวนดอกไม้ คุณชายรอง…ตายแล้วเจ้าค่ะ” อิ๋งเอ๋อร์ดวงตาลุกวาวเล็กน้อยแล้วเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “คุณชายรองตายแล้วจะมาหาคุณหนูของพวกเราทำไมกัน”
จูเอ๋อร์นิ่งไป นั่นสิ คุณชายรองตายแล้วท่านโหวก็ควรไปเตรียมเรื่องงานศพให้คุณชายรองมิใช่หรือ แล้วมาหาคุณหนูตั้งแต่เช้าตรู่ขนาดนี้ทำไมกันนะ ดูท่าทางไม่เหมือนจะมาบอกเรื่องงานศพของคุณชายรองแต่เหมือนจะมาหาเรื่องคุณหนูมากกว่าต่างหาก
มู่ชิงอีหยัดกายลุกขึ้นเอ่ย “ไปเถิด ไปดูกันว่าตกลงแล้วพวกเขาคิดจะทำอะไรกันแน่” อิ๋งเอ๋อร์เอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “หากคุณหนูไม่ชอบใจก็ไม่ต้องไปเจอพวกเขาก็ได้นี่เจ้าคะ ตอนนี้คุณหนูเป็นถึงองค์หญิงที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งให้ จะเจอหรือไม่ยังต้องขึ้นอยู่กับพวกเขาด้วยหรือเจ้าคะ”
มู่ชิงอีปิดปากหัวเราะเอ่ย “ข้าไม่อยากให้พวกเขาคิดว่าข้าเป็นองค์หญิงจริงๆ หรอกนะ” ข้อแรกนางไม่สนใจตำแหน่งองค์หญิงนี้เลย ข้อสอง…หากพวกเขาเคารพนางในฐานะองค์หญิงตามกฎธรรมเนียมจริงๆ คงมีเรื่องมากมายที่ทำได้ยากแล้ว เป็นอย่างตอนนี้ดีจะตายไป หากคิดจะกดใครสักคนค่อยเอามาใช้ดีกว่า ยามปกติก็ให้เป็นไปตามนี้เถิด
เรือนหลานจื่อเป็นเรือนที่ดีที่สุดและใหม่ที่สุดในจวนซู่เฉิงโหวแล้ว ห้องโถงรับรองแขกพื้นที่ก็ไม่เล็ก การออกแบบก็ละเอียดประณีตมาก ตอนนั้นจังฮูหยินทุ่มเทเสียแรงไปไม่น้อยเพื่อบุตรสาวคนเดียวของตน มู่ชิงอีก้าวเข้าห้องโถงใหญ่มาก็เห็นพวกมู่ฉังหมิงนั่งหน้าขรึมเหม่อลอย บางทีคนที่อารมณ์ดีไม่หยอกเพียงคนเดียวคงมีแต่มู่เชิน แต่เวลานี้มู่เชินย่อมไม่กล้าแสดงท่าทีว่าตนอารมณ์ดีอะไรเช่นนั้นออกมาแน่นอน ดังนั้นเขาเลยทำได้แค่นั่งหน้านิ่งราวกับนั่งสมาธิกำหนดจุดเพ่งอยู่ก็มิปาน
“ท่านย่า ท่านพ่อ มาหาข้าแต่เช้าขนาดนี้มีเรื่องอันใดหรือ” มู่ชิงอีเดินเข้าห้องโถงใหญ่มาก็เอ่ยถามเสียงหวานราวกับนางไม่รู้เรื่องอะไรเลย
มู่ฮูหยินผู้เฒ่าสีหน้าห่อเหี่ยวเพราะจู่ๆ ก็สูญเสียหลานชายคนสำคัญคนหนึ่งไปเลยทำให้นางรับไม่ได้ในช่วงเวลาสั้นๆ นางจ้องมู่ชิงอีอย่างดุดันแล้วเอ่ยว่า “เจ้าไม่รู้หรือว่าเกิดอันใดขึ้น” มู่ชิงอีพยักหน้าแล้วเอ่ยอย่างไม่ปิดบังว่า “เมื่อคืนข้านอนดึกเลยเพิ่งตื่นเมื่อครู่ยังไม่ทันได้ทานมื้อเช้าด้วยซ้ำเจ้าค่ะ”
อยู่ดีๆ มู่ฉังหมิงที่นั่งอยู่ด้านข้างก็ตบโต๊ะอย่างแรงแล้วจ้องมู่ชิงอีอย่างเกรี้ยวโกรธ “เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้เจ้ายังคิดจะทานมื้อเช้าอีกหรือ” มู่ชิงอีขมวดคิ้วแล้วเอ่ยเสียงแข็งว่า “ท่านพ่อ พวกท่านเองก็ไม่ได้บอกข้าว่าตกลงเกิดเรื่องอันใดขึ้น หรือว่าแค่ข้าพูดว่ายังไม่ได้ทานมื้อเช้าก็ผิดอย่างนั้นหรือ” สะใภ้ซุนที่นั่งอยู่ด้านข้างไม่มีกะจิตกะใจมากระแหนะกระแหนมู่ชิงอีแต่กลับกอดมู่อวิ๋นหรงพลางร้องไห้โฮ
มู่เชินที่นั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยเสียงเบาว่า “น้องหญิงสี่ เมื่อเช้าน้องรองถูกคนเอาตัวมาจากในวัง น้องรอง…ตายแล้ว”
เวลานี้สีหน้าของมู่ชิงอีถึงเปลี่ยนเล็กน้อย แม้ว่ามู่ฉังหมิงจะจับจ้องมู่ชิงอีไม่วางตาแต่ก็เห็นท่าทีตกใจส่งผ่านใบหน้ามาเช่นกัน จากนั้นก็สงบลงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น นางเพียงพยักหน้าเอ่ย “เป็นเช่นนี้นี่เอง ท่านพ่อ ท่านย่า เสียใจด้วยเจ้าค่ะ”
ทว่าท่าทีสงบนิ่งเช่นนี้ของมู่ชิงอีกลับยั่วโมโหมู่ฮูหยินผู้เฒ่าและสะใภ้ซุนเข้าแล้ว มู่ฮูหยินผู้เฒ่าชี้หน้ามู่ชิงอีอยู่นานแต่กลับพูดไม่ออกและได้แต่ไอไม่หยุด สะใภ้ซุนขึงตามองมู่ชิงอีด้วยแววตาแดงก่ำแล้วแหวใส่เสียงสะอื้นว่า “เป็นเพราะนาง! เป็นนางที่ทำร้ายมู่หลิงของข้า! เป็นนางที่ทำให้มู่หลิงของข้าต้องตาย!” ขณะที่พูดนางก็อยากกระโจนพุ่งเข้าไปคว้าตัวมู่ชิงอี มู่เชินเดินขึ้นไปขวางสะใภ้ซุนเอาไว้แล้วเอ่ยเสียงเข้มว่า “อนุซุน โปรดระวังคำพูดด้วย”
บัดนี้มู่ชิงอีไม่ใช่คุณหนูสี่แห่งจวนซู่เฉิงโหวที่ไม่มีสิทธิ์ไม่มีอำนาจไม่ได้รับความโปรดปรานคนก่อนแต่เป็นองค์หญิงหมิงเจ๋อที่ฮ่องเต้แคว้นหวาทรงแต่งตั้งเองกับมือ เพียงได้เห็นท่าทีที่ฮ่องเต้แคว้นหวามีต่อมู่ชิงอีก็ทำให้รู้แล้วว่าฮ่องเต้แคว้นทรงโปรดนางมากแค่ไหน หากสะใภ้ซุนทำร้ายมู่ชิงอี พวกเขาคงต้องออกจากจวนไปตัวเปล่าแน่
มู่ชิงอีกวาดตามองสะใภ้ซุนด้วยความตกใจ นางไม่เชื่อหรอกว่าสะใภ้ซุนจะเก่งกาจถึงขนาดเดาได้ว่าการตายของมู่หลิงจะเกี่ยวพันกับนางจริงๆ หลังจากดูสีหน้าเจ็บปวดคลุ้มคลั่งอีกทีก็เข้าใจในทันทีว่าที่แท้ก็เพราะเป็นความเจ็บปวดที่สูญเสียบุตรชายไปเลยคลุ้มคลั่งระบายความโกรธไปทั่วก็เท่านั้น
“ท่านพ่อมาหาข้าที่นี่มีเรื่องอันใดอย่างนั้นหรือ” มู่ชิงอีเอ่ยด้วยท่าทีสงบ
มู่ฉังหมิงกัดฟันเอ่ยด้วยสีหน้าถมึงทึงว่า “พี่รองของเจ้าตายแล้ว เจ้ากลับมีท่าทีเช่นนี้หรือ” มู่ชิงอีเอียงศีรษะแล้วคลี่ยิ้มที่ริมฝีปากบางๆ เอ่ย “ท่านพ่ออยากให้ชิงอีมีท่าทีเช่นใดหรือ ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับเขาดีมากอย่างนั้นหรือ หรือท่านพ่ออยากให้ชิงอีร้องไห้โฮใช้หัวโขกพื้นอย่างทุกข์ทรมานอย่างนั้นหรือ หากเป็นเช่นนั้นจริงท่านพ่อไม่รู้สึกว่าข้าเสแสร้ง?” ในจวนใครๆ ต่างก็รู้ดีว่านางมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับมู่หลิงเท่าไรนัก หากนางแสดงท่าทีเศร้าเสียใจจริงๆ คงทำให้ทุกคนตกใจมากกว่า
“มู่ชิงอี! ตอนนี้พี่รองตายแล้วเจ้าคงดีใจมากกว่ากระมัง!” มู่อวิ๋นหรงกัดฟันเอ่ยด้วยความชิงชัง
มู่ชิงอียิ้มบางกล่าว “ตัวละครเล็กๆ ที่ไม่สำคัญอะไรคงไม่ต้องพูดถึงเรื่องดีใจหรือไม่ดีใจหรอกกระมัง” คำพูดนี้ของมู่ชิงอีไม่ผิดเลยจริงๆ หากเทียบกับเป้าหมายคนๆ นั้นของนางแล้ว มู่หลิงก็เป็นเพียงตัวละครเล็กๆ ที่ไม่สำคัญอะไรคนหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะเขาโชคร้ายไปเห็นฉากที่นางอยู่กับหรงจิ่นเข้าละก็ มู่ชิงอีคงไม่คิดเสียเวลายุ่งยากกับเรื่องของเขา
ท่าทีเช่นนี้ของนางย่อมยั่วโทสะมู่ฮูหยินผู้เฒ่าและสะใภ้ซุนที่กำลังเศร้าโศกเสียใจอยู่โดยไม่ต้องสงสัย มู่ฮูหยินผู้เฒ่าตวาดนางว่า “มู่ชิงอี เจ้าเหิมเกริมนัก!”
มู่ชิงอีปรับสีหน้าขรึมลงเล็กน้อยแล้วมองมู่ฮูหยินผู้เฒ่าอย่างไม่แยแสว่า “เหิมเกริมหรือ ใครกันแน่ที่เหิมเกริม”
มู่ฮูหยินผู้เฒ่านิ่งไป บัดนี้มู่ชิงอีมีสถานะเป็นองค์หญิง หากซักไซ้ไล่เลียงจริงๆ มู่ฮูหยินผู้เฒ่าคงยากจะหลบพ้นข้อกล่าวหาได้ มู่ฉังหมิงจ้องมู่ชิงอีด้วยสีหน้าดุดันแล้วเอ่ยว่า “เจ้ากลายเป็นองค์หญิงแล้ว ก็ถือว่าตัวเองนั้นไม่ได้เป็นคนในตระกูลมู่แล้วอย่างนั้นหรือ”
มู่ชิงอีมองมู่ฉังหมิงพลางอมยิ้มกล่าวเสียงอ่อนหวานว่า “แล้วท่านพ่อ…เคยเห็นมู่ชิงอีเป็นบุตรสาวของท่านบ้างหรือไม่เล่าเจ้าคะ” ครั้นเห็นสีหน้าถมึงทึงของมู่ฉังหมิง ฉับพลันในใจของมู่ชิงอีก็รู้สึกชอบใจขึ้นมาแปลกๆ ทั้งรู้สึกขบขัน ทั้งเอือมระอากับท่าทีปวดใจของมู่ฉังหมิงอีกด้วย
เพราะความเกลียดชังบุตรสาวอย่างมู่ชิงอีคนนี้ถึงทำให้ปวดใจอย่างนั้นหรือ ช่างน่าขันนัก…ตอนนั้นเขาก็เป็นคนฆ่าท่านแม่ของ ‘มู่ชิงอี’ ตายเองกับมือ เพราะคนๆ นี้นี่แหละ
ตอนต่อไป