หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 17 คุณชายซิ่วถิง (2)
ตอนที่ 17 คุณชายซิ่วถิง (2)
มู่ชิงอีกลับไม่ได้แปลกใจที่เห็นว่ามีคนพุ่งเข้ามา หากปล่อยให้นางได้พบกับพี่ใหญ่ง่ายๆ ที่นี่ก็คงไม่ใช่จวนองค์ชายแล้ว เมื่อครู่ข่าวคราวการมีชีวิตอยู่ของพี่ชายทำให้นางตกตะลึงไปชั่วขณะ แต่ตอนนี้…ในหัวนางพลันสว่างวาบ มู่ชิงอีสงบจิตใจลง เงยหน้ามองพ่อบ้านคนนั้นแล้วเอ่ยถาม “คุณชายซิ่วถิงอยู่ในจวนหนิงอ๋อง?”
สีหน้าพ่อบ้านเปลี่ยนไปทันที หน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างอึดอัดใจ
แม้เรื่องที่คุณชายซิ่วถิงถูกกักบริเวณอยู่ในจวนหนิงอ๋องจะเป็นที่รู้กันในเมืองหลวงอย่างลับๆ อยู่แล้ว แต่ถึงอย่างไร ตอนนั้นฮ่องเต้ก็มีพระราชโองการให้ประหารบุรุษของตระกูลกู้ทั้งตระกูล หากมีคนนำเรื่องนี้ไปพูดจนล่วงรู้ไปถึงหูพระองค์ แม้ฮ่องเต้จะไม่ลงโทษท่านอ๋อง แต่ก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกตำหนิ ดูจากความยึดติดที่องค์ชายของเขามีต่อคุณชายซิ่วถิงแล้ว ถ้าหากคุณชายถูกฮ่องเต้ประหารจริงๆ ด้วยนิสัยของท่านอ๋องนั้นจะยอมปล่อยวางเรื่องนี้ไปง่ายๆ อย่างนั้นหรือ
พอได้เห็นสีหน้าของพ่อบ้าน มู่ชิงอีก็รู้ได้ทันทีว่าเรื่องที่สาวใช้สองนางพูดนั้นเป็นความจริง
พี่ใหญ่…ท่านยังมีชีวิตอยู่จริงๆ
มู่ชิงอีระงับความรู้สึกสั่นสะท้านเอาไว้แล้วเอ่ยออกไปด้วยท่าทีที่สงบ “ข้าอยากพบคุณชายซิ่วถิงสักหน่อย”
พ่อบ้านคนนั้นมองนางด้วยสีหน้าประหลาด เห็นได้ชัดว่าเขากำลังรู้สึกว่าคุณหนูจวนโหวผู้นี้เอาแต่ใจเกินไป ที่นี่คือจวนหนิงอ๋องเชียวนะ…
มู่ชิงอีเอ่ยขึ้นเบาๆ “คุณชายซิ่วถิงเป็นลูกพี่ลูกน้องกับข้า ข้าสามารถเกลี้ยกล่อมเขาได้ หากเจ้าตัดสินใจไม่ได้ จะไปถามท่านอ๋องของเจ้าก็ได้”
พ่อบ้านอดสั่นสะท้านไม่ได้เมื่อได้ยินเช่นนั้น เพราะเรื่องของคุณชายซิ่วถิงผู้นี้ คนในจวนทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ที่ต้องรับโทสะท่านอ๋องมีน้อยเสียเมื่อไร หากคุณหนูตระกูลมู่สามารถเกลี้ยกล่อมเขาได้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พ่อบ้านก็พยักหน้าตกลง “ข้าน้อยจะไปทูลท่านอ๋อง รบกวนคุณหนูสี่รอประเดี๋ยว อีกอย่าง…คุณชายซิ่วถิงต้องโทษประหารชีวิตไปแล้ว ต่อไปนี้ คุณหนูสี่โปรดอย่าได้เอ่ยเรียกชื่อนี้อีกเลยขอรับ”
พ่อบ้านจากไปอย่างรวดเร็วและก็กลับมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน มู่หรงอานยินยอมทำตามคำร้องขอของมู่ชิงอีจริงๆ
นางเดินตามพ่อบ้านผ่านเส้นทางเล็กๆ อันเงียบสงบ ทางเดินคดเคี้ยวทอดยาว ทิวทัศน์ร่มรื่นงดงาม แต่มู่ชิงอีกลับไม่มีกะจิตกะใจจะชื่นชมทิวทัศน์เหล่านี้ ถึงแม้นางจะไม่มีวรยุทธ์ แต่ก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามีสายตาไม่ต่ำกว่าสิบคู่คอยจับตามองนางอยู่ตลอดทาง
เห็นได้ชัดว่า ถ้าไม่มีคนนำทางแล้ว แต่ละย่างก้าวบนเส้นทางที่ดูเหมือนจะสวยงามนี้คงเต็มไปด้วยอันตรายถึงตาย หากเมื่อครู่นางบุ่มบ่ามเดินเข้ามาเอง ไม่ต้องพูดถึงว่าจะได้พบหน้าพี่ใหญ่หรือไม่ เกรงว่าแค่เพิ่งจะย่างเท้าก้าวกรายเข้ามา นางคงจะกลายเป็นซากศพทันที
หลังจากเดินมาได้ครึ่งเค่อ[1] ก็เพิ่งจะได้เห็นเรือนเล็กๆ หลังหนึ่งปรากฏขึ้นอยู่ตรงมุมสวน ด้านนอกอาคารมีดอกไม้บานสะพรั่ง กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยอบอวลอยู่ในชั้นอากาศ ทะเลสาบ ภูเขาจำลอง รูปวาดที่สลักบนผนังชายคาล้วนงดงามดั่งแดนเซียน นับเป็นสถานที่ที่งดงามกว่าที่ใดๆ ในจวนหนิงอ๋อง
ทว่ายามที่เดินเข้าไปในตัวอาคารหลังเล็ก ด้านในกลับเงียบสงัด แม้ภายในจะตกแต่งอย่างหรูหราสง่างามละลานตาทั่วทุกหนทุกแห่ง แต่ดูๆ ไปแล้วกลับให้ความรู้สึกเหมือนงานจัดแสดงที่แห้งแล้งไร้ชีวิตชีวามากกว่าจะเป็นบ้านเรือนที่มีคนอยู่อาศัย
เมื่อเดินขึ้นไปชั้นสอง ก็ได้ยินเสียงเล็กๆ เสียงหนึ่งลอยเข้าหู มีคนกำลังพูดเกลี้ยกล่อมให้คนผู้หนึ่งทานข้าว แต่คนที่ถูกเกลี้ยกล่อมผู้นั้นกลับไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย ตลอดเวลาเจ้าของเรือนเล็กหลังนี้นิ่งเงียบไม่ส่งเสียงใดๆ แม้แต่สาวใช้ที่คอยปรนนิบัติก็พูดเสียงเบาลงเรื่อยๆ ราวกับกลัวว่าจะทำให้เขาตื่นตกใจขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น
“ข้าอยากพบเขาตามลำพัง” มู่ชิงอีหันกลับไปพูดกับพ่อบ้าน
พ่อบ้านพยักหน้ารับทราบแล้วเรียกสาวใช้สองนางให้ออกมา จากนั้นมู่ชิงอีจึงเดินเข้าไปอย่างช้าๆ มือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อกำแน่นขึ้นมา มีเพียงความรู้สึกเจ็บแปลบกลางฝ่ามือเท่านั้นที่ปลุกให้นางมีสติขึ้นมาบ้าง เพื่อที่นางจะได้ไม่ทำพฤติกรรมน่าสงสัยใดๆ ออกไป
“พี่ใหญ่” มู่ชิงอีเดินไปหยุดลงตรงตำแหน่งที่ห่างจากเตียงสามก้าวแล้วเอ่ยเรียกขึ้นมาเบาๆ ชายที่นอนอยู่บนเตียงขยับตัวเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ลืมตาขึ้นมามอง มู่ชิงอีมองชายหนุ่มรูปงามที่อยู่บนเตียงด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ ภายในใจพลันรู้สึกโศกเศร้าและเจ็บปวดเหลือทน
ตอนที่นางอยู่ที่หอโคมเขียวก็รู้สึกทุกข์ทนทรมานเหลือเกินแล้ว แต่พี่ใหญ่ของนาง…เกิดมาเพื่อเป็นความภาคภูมิใจของตระกูลกู้ กู้ซิ่วถิงซึ่งเคยได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นที่สุด รูปงามหล่อเหลาที่สุดในเมืองหลวง เขาจะทนผ่านช่วงเวลาหลายปีนี้มาได้อย่างไร ถ้าหากไม่ใช่เพราะนาง ด้วยนิสัยของพี่ใหญ่แล้วจะยอมถูกกักขังไว้ในเรือนเล็กหลังนี้ราวกับนางบำเรอต้องห้ามของฮ่องเต้อย่างนี้หรือ
เทียบกับคุณชายซิ่วถิงที่เคยหล่อเหลาร่าเริงคนนั้น ชายที่มีร่างกายผ่ายผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกคนนี้แทบจะไม่มีเค้าโครงของคุณชายอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงในตอนนั้นอีกแล้ว ยังมีรอยแผลเป็นน่ากลัวบนใบหน้าซีกซ้ายนั่นอีก อีกนิดเดียวก็จะทำลายไปจนถึงดวงตาของเขาแล้ว รอยแผลนั่นเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่แผลใหม่ แต่หากดูจากลักษณะของแผลเป็นแล้ว ก็รับรู้ได้ถึงความตั้งใจของผู้ลงมือ
มู่ชิงอีอดไม่ได้ที่จะก้าวขึ้นไปข้างหน้าสองก้าวจนไปหยุดยืนอยู่หน้าเตียงนอน สองมือของกู้ซิ่วถิงที่เคยใช้เขียนบทความอันยอดเยี่ยมนั้นเต็มไปด้วยรอยบาดแผล ซึ่งก็เป็นรอยแผลเก่าเช่นกัน มู่ชิงอีไม่กล้าจินตนาการว่าพี่ใหญ่ต้องลำบากทนทุกข์ทรมานเพียงใดเมื่อแรกที่เขาต้องมาอยู่ในจวนหนิงอ๋อง
หยาดน้ำตาใสๆ หยดแล้วหยดเล่าร่วงหล่นลงบนหลังมือของผู้ที่นอนอยู่บนเตียง
คนที่ปิดตาแสร้งหลับอยู่บนเตียงขยับตัวเล็กน้อย แล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ดวงตาทั้งสองคู่สบประสานกัน ทั้งสองต่างตกตะลึง เมื่อมองเห็นดวงตาที่คุ้นเคยของหญิงสาวตรงหน้า กู้ซิ่วถิงตาเป็นประกายขึ้นมาทันที แต่กระนั้นมันก็หม่นแสงลงอย่างรวดเร็ว เขาเอ่ยเสียงเบา “เจ้าคือ…ชิงอี?” น้ำเสียงต่ำและแหบแห้ง อ่อนแรงไร้พลังราวกับแต่ละคำพูดช่างเปลืองแรงยิ่งนัก
มู่ชิงอีพยักหน้าโดยไม่ส่งเสียง ย่อตัวนั่งลงข้างเตียง กระซิบเบาๆ “พี่ใหญ่…”
กู้ซิ่วถิงพลันตกตะลึง มู่ชิงอีเป็นลูกพี่ลูกน้องหญิงของเขา เขาย่อมคุ้นเคยอยู่แล้ว ตั้งแต่เด็กมู่ชิงอีไม่มีความกล้าหาญ อีกอย่างถ้าเทียบกับพี่ชายอย่างเขากู้ซิ่วถิงแล้ว เห็นได้ชัดว่านางชื่นชอบและนับถือกู้อวิ๋นเกอน้องสาวของเขามากกว่า ดังนั้นแม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองคนจะดีมาก แต่ก็ยังห่างไกลจากความสนิทสนมระหว่างพี่สาวน้องสาวของพวกนางอยู่มากนัก กระนั้นกู้ซิ่วถิงก็ยังจดจำได้ว่า แต่ไหนแต่ไรมามู่ชิงอีไม่เคยเรียกเขาว่า ‘พี่ใหญ่’ แต่เรียกเขาว่า ‘พี่ชายใหญ่’ มาโดยตลอด
“พี่ใหญ่ ท่านต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปนะเจ้าคะ” มู่ชิงอีมองกู้ซิ่วถิงแล้วเอ่ยเสียงเบา “ครอบครัวตระกูลกู้เหลือแค่…เหลือแค่ท่านคนเดียวแล้ว ท่านต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปนะเจ้าคะ!”
กู้ซิ่วถิงมองสาวน้อยที่อยู่ตรงหน้าแล้วตกอยู่ในภวังค์ เมื่อสบตากับหญิงสาวตรงหน้า กู้ซิ่วถิงพลันคิดว่าตัวเองได้เห็นหน้าน้องสาวผู้เคราะห์ร้ายคนนั้น
“ชิงอี ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าควรมา กลับไปเสียเถิด” กู้ซิ่วถิงมองมู่ชิงอีแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น น้องสาวที่เขารักมากที่สุดมีชะตาชีวิตที่น่าเวทนาเช่นนี้แล้ว เขาก็หวังว่าน้องสาวตัวน้อย ลูกพี่ลูกน้องหญิงเพียงคนเดียวของเขาผู้นี้ จะไม่ต้องตกอยู่ในวังวนแผนการชั่วร้ายนี้อีกเช่นกัน
มู่ชิงอีส่ายหน้าอย่างแรง ดวงตาที่รื้นไปด้วยน้ำตาราวกับมีไฟลุกโชนอยู่ในนั้น “ไม่มีใครเหลืออยู่แล้ว พี่ใหญ่…บนโลกใบนี้…เหลือแค่เราสองคนแล้ว ท่านต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป…” มู่ชิงอีพูดพลางแบมือของกู้ซิ่วถิงออก แล้วเขียนอักษรสองสามตัวลงบนฝ่ามือนั้นอย่างช้าๆ
แววตาของกู้ซิ่วถิงวูบไหว มองหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาล้ำลึก แม้มู่หรงอานจะให้คนวางยาสลายเอ็นเขา ทั้งเนื้อทั้งตัวจึงไม่สามารถขยับได้ แต่เขายังคงรู้ได้ว่าหญิงสาวเขียนตัวอักษรอะไรบ้างลงบนฝ่ามือ
มู่ชิงอีพยักหน้าเล็กน้อย
กู้ซิ่วถิงปิดตาลง ในที่สุดเขาก็พยักหน้ากลับให้มู่ชิงอี
มู่ชิงอีขบริมฝีปาก รอยยิ้มปรากฏขึ้นในดวงตาที่ยังคงรื้นไปด้วยน้ำตา นางเอนอิงพิงหน้าต่างกระซิบเสียงเบา “พี่ใหญ่ มันจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน เชื่อข้าเถิด”
[1]เค่อ หน่วยวัดระยะเวลาจีน 1 เค่อ เท่ากับ 15 นาที