หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 189 หรงจิ่นเข้าวัง (3)
พอไม่ได้เจอชิงชิงมาหลายวัน องค์ชายเก้าเลยได้ลองคิดทบทวนอย่างจริงจังดู อย่างน้อยเขาก็สำนึกได้ว่าหากยังไม่ได้อภิเษกอย่างจริงจังแต่ขอร้องให้สตรีคนหนึ่งมานอนเป็นเพื่อนเขา นับว่าเป็นเรื่องที่เสียมารยาทอย่างมาก ถึงแม้เขาคิดว่าชั่วชีวิตนี้จะต้องการชิงชิงนอนร่วมเตียงกับเขาเพียงคนเดียวแต่พวกเขาก็ต้องอภิเษกกันก่อน แต่เห็นได้ชัดว่าชิงชิงไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนี้มากนัก อย่างไรเสียเขาก็ควรชิงขออภิเษกก่อนค่อยปรึกษาเรื่องนี้กันอีกที เช่นนี้ชิงชิงก็คงไม่โกรธแล้ว
“ชิงชิง พวกเรากลับไปอภิเษกกันที่แคว้นเย่ว์ดีหรือไม่” องค์ชายเก้าเอ่ยด้วยท่าทีจริงจัง
มู่ชิงอีผงะไป ชั่วพริบตาเดียวใบหน้าอันงดงามก็ผุดความสับสนขึ้นมาให้เห็น เส้นเลือดสีเขียวเต้นตุบๆ นางกัดฟันพลางเอ่ยถามว่า “องค์ชายเก้าจะมาไม้ไหนอีกหรือเพคะ”
เหตุใดปฏิกิริยาไม่เหมือนที่คิดไว้เลยเล่า “ชิงชิงไม่อยากอภิเษกกับข้าอย่างนั้นหรือ” องค์ชายเก้าเอ่ยถามอย่างปวดใจ
“เรื่องนี้มันก็ชัดเจนอยู่แล้วมิใช่หรือเพคะ!” มู่ชิงอีขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เจ้าบ้านี่ไปเอาความคิดบ้าๆ น่าขันพวกนี้และไปเอาความคิดว่าข้าอยากจะอภิเษกกับเขามาจากไหนกัน
หรงจิ่นครุ่นคิดอย่างจริงจังโบกมือเอ่ย “ช่างเถิด อย่างไรเสียชิงชิงก็ต้องอยู่กับข้าตลอดไปอยู่แล้ว!” สำหรับเรื่องการอภิเษก หรงจิ่นไม่ได้รั้นอยากจะอภิเษกสักเท่าไร หากเขาอยากอภิเษกจริงๆ คงไม่ปล่อยให้อายุล่วงเลยมาถึงยี่สิบชันษาแล้วแต่ยังไม่มีคู่หมั้นเช่นนี้ ในเมื่อชิงชิงไม่อยากอภิเษก เขาก็ไม่อยากหาเรื่องให้นางโกรธ หรงจิ่นมองว่าการอภิเษกก็เพื่อให้คนสองคนอยู่ด้วยกันไปตราบชั่วชีวิต หากชิงชิงรับปากว่าจะอยู่กับเขาไปตลอดชีวิต แล้วจะต่างอะไรกับอภิเษกหรือไม่อภิเษกกันเล่า
องค์ชายเก้าโบกมือ รอชิงชิงเปลี่ยนใจเมื่อไรค่อยอภิเษกกันก็ได้ ตอนนี้เอาใจหว่านล้อมให้ชิงชิงรับปากว่าจะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตก่อนเพราะนี่สำคัญกว่า!
มู่ชิงอีกลอกตาใส่อย่างเอือมระอา ต่อให้ถกเถียงเรื่องนี้กับหรงจิ่นไปก็ไม่มีวันได้ข้อสรุป นางเลยเอ่ยถามไปตรงๆ ว่า “มีธุระอันใดหรือ”
หากไม่มีธุระอะไรสำคัญ หรงจิ่นคงไม่มีทางถ่อมาหานางเพียงลำพังตอนกลางวันแสกๆ เช่นนี้ หรงจิ่นพยักหน้ายิ้มกล่าว “เจ้าเข้าวังมาหลายวันแล้วไม่เห็นออกไปสักที พี่ใหญ่เป็นห่วงเจ้า” มู่ชิงอีจับจ้องหรงจิ่นอย่างตกใจแล้วเอ่ยว่า “พี่ใหญ่ไปหาท่านหรือ” ต้องรู้ก่อนว่าถึงองค์ชายหรงจิ่นผู้นี้จะชอบแสร้งโง่เขลาทำตัวเหลาะแหละจนติดเป็นนิสัย แต่ความระแวงที่พี่ใหญ่มีต่อเขาไม่เคยปล่อยวางได้เลยสักครั้ง มู่ชิงอีคิดไม่ถึงว่าพี่ใหญ่จะเป็นฝ่ายแบกหน้าไปร้องขอความช่วยเหลือจากหรงจิ่นก่อน
หรงจิ่นเชิดคางขึ้นอย่างเย่อหยิ่งเอ่ย “นอกจากข้า จะมีใครเป็นห่วงชิงชิงอีกเล่า”
มู่ชิงอีเค้นรอยยิ้มจอมปลอมส่งไปให้เขา “รบกวนฝากบอกพี่ใหญ่ทีว่าหม่อมฉันสบายดี พี่ใหญ่มีอันใดฝากมาบอกอย่างนั้นหรือ” หรงจิ่นพยักหน้าแล้วส่งยิ้มยียวนมองไปทางมู่ชิงอีกล่าว “พูดถึงก็สมแล้วที่คุณชายซิ่วถิงได้เป็นที่ปรึกษาอันดับหนึ่งรับใช้ข้างกายองค์รัชทายาทในตอนนั้น เพราะเขาทำให้องค์ชายเจ็ดเห็นเขาเป็นแขกกิตติมศักดิ์ในระยะเวลาสั้นๆ เช่นนี้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ” มู่ชิงอีเลิกคิ้วถาม “พี่ใหญ่ไปจวนองค์ชายเจ็ดแล้วหรือ แผลของเขายังไม่หายดีเลย” หรงจิ่นแค่นเสียงเย้ยหยันทีหนึ่งแล้วเอ่ย “เขาไม่ได้ไปจวนองค์ชายเจ็ดหรอก แต่องค์ชายเจ็ดเอาเรือนนอกเมืองให้เขาอยู่ สองสามวันมานี้ออกนอกเมืองทุกวัน อีกทั้งยังไหว้ขอเป็นศิษย์ ทำตัวเคารพยำเกรงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก”
ถึงแม้มู่ชิงอีจะเชื่อมั่นในฝีมือของพี่ใหญ่แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าพี่ใหญ่ใช้วิธีการใดถึงทำให้มู่หรงจ้าวเคารพนับถือได้ถึงเพียงนี้ ควรรู้ก่อนว่ามู่หรงจ้าวเป็นถึงองค์ชาย ถึงจะรับมือง่ายกว่าพวกมู่หรงเสีย แต่ด้วยท่าทีหยิ่งผยองในตำแหน่งขององค์ชายเลยทำให้เขาไม่เชื่อใจคนแปลกหน้าง่ายๆ อยู่แล้ว
หรงจิ่นเลิกคิ้วพร้อมยิ้มกล่าว “เรื่องนี้…ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ดูเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเว่ยและองค์ชายเจ็ดกับจวนกงอ๋องจะตึงเครียดเล็กน้อย เกรงว่าน่าจะสอนวิชายุทธ์ลอบจัดการมู่หรงอวี้ให้สักยกกระมัง” พี่ชายที่มู่หรงจ้าวไม่ชอบขี้หน้ามากที่สุดก็คือมู่หรงอวี้ ทว่าอาศัยเพียงมันสมองของเขาคงเอาชนะมู่หรงอวี้ไม่ได้ หากเวลานี้มีใครสักคนช่วยเสนอวิธีจัดการมู่หรงอวี้ให้เขาได้คงทำให้องค์ชายแปดยินดียกเขาขึ้นเป็นแขกกิตติมศักดิ์ได้
มู่ชิงอีขมวดคิ้วเอ่ย “ฝากบอกพี่ใหญ่ทีว่าระวังตัวด้วย”
หรงจิ่นแค่นเสียงเอ่ยว่า “คำๆ นี้เจ้าเก็บไว้พูดเองเถิด แต่ได้ยินมาว่าหลายวันมานี้องค์หญิงหมิงเจ๋อล่วงเกินคนในวังไปไม่น้อยเลยหรือ” มู่ชิงอียักคิ้วคู่งามของนางไปทีแล้วยิ้มซุกซนเอ่ย “หม่อมฉันล่วงเกินพวกนางแล้วอย่างไรหรือ”
แววตาลึกล้ำเป็นประกายแวบหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงต่ำ “ก็ไม่อย่างไรหรอก ชิงชิงของข้าจะกลัวสตรีไร้สมองเหล่านั้นได้เช่นใดเล่า”
“อ้าว น้องหญิงสี่ องค์ชายเก้า เหตุใดพวกเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า” เสียงหวานนุ่มนวลดังแว่วมาจากสวนดอกไม้ โหรวเฟยสาวเท้าเดินเข้ามาหาอย่างช้าๆ พร้อมคนประกบหน้าหลัง ด้วยความสามารถกำลังภายในของหรงจิ่นจะไม่รู้ได้เช่นใดว่ามีคนมา ครั้นเห็นโหรวเฟยเขาก็แค่เลิกคิ้วอมยิ้มพลางจับจ้องมู่ชิงอีราวกับไม่ได้ยินคำพูดของมู่เฟยหลวนเลยสักนิด
พอมู่เฟยหลวนเห็นว่าถูกเมิน ประกายความโกรธฉายวาบในแววตาอย่างฉับพลัน ถึงแม้จะฉีกยิ้มสดใสจับจ้องใบหน้าของมู่ชิงอีแต่แววตากลับผุดความเย็นชาแฝงความดีใจให้เห็น มู่ชิงอีหันไปมองมู่เฟยหลวนพร้อมเอ่ยเสียงนิ่งว่า “หม่อมฉันออกมาเดินเล่น แล้วบังเอิญเจอองค์ชายเก้าเข้าเลยคุยกันไม่กี่ประโยคเท่านั้นเพคะ”
มู่เฟยหลวนคลี่ยิ้มปิดปากหัวเราะเอ่ย “องค์หญิงหมิงเจ๋อทำไม่ถูกนะ ถึงอย่างไรเสียองค์ชายเก้าก็เป็นคนนอก สถานะองค์หญิงสูงส่ง อีกทั้งเจ้าเป็นสาวเป็นนางยังไม่ได้แต่งงานออกเรือน แบบนี้จะดีหรือ…หืม เรื่องทำนองว่าหนุ่มชาญฉลาดกับสาวงามนัดเจอกันในสวนดอกไม้อะไรนั่นเป็นเรื่องที่มีแค่ในนิยายเท่านั้นแหละ น้องหญิงสี่คงไม่ถือเป็นจริงเป็นจังหรอกกระมัง” พูดจบ นางในข้างกายมู่เฟยหลวนก็แอบหัวเราะไปตามๆ กัน แววตาที่งุดต่ำเล็กน้อยของหรงจิ่นขึงขังขึ้นมา ทว่ายังไม่ทันลงมือทำอะไรก็ถูกมือเรียวสวยกดไว้ก่อน จากนั้นก็เห็นมู่ชิงอียิ้มอย่างไม่ใส่ใจเอ่ย “ขอบพระทัยสำหรับคำเตือนของโหรวเฟยนะเพคะ หม่อมฉันคงไม่ลำบากให้โหรวเฟยต้องเป็นกังวล โหรวเฟยลองคิดดูก่อนเถิดว่า…เหล่าพระสนมในวังห้ามเจอะเจอหนุ่มด้านนอก แต่ในเมื่อโหรวเฟยรู้แก่ใจว่าองค์ชายเก้าอยู่ที่นี่แล้วยังเดินมาหา คงได้ยินว่าองค์ชายเก้าถูกขนานนามว่าหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งแคว้นเย่ว์ โหรวเฟยเลยอยากเห็นสักคราใช่หรือไม่เล่า”
หรงจิ่นก้มหน้าขำ จากนั้นก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่งแล้วไปยืนอยู่ด้านหลังของมู่ชิงอี ยิ้มเอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “ขอบพระทัยองค์หญิงหมิงเจ๋อสำหรับคำชม แต่….ข้าไม่ชอบให้สาวแก่อายุปูนนี้มามองข้าหรอกนะ” เขาทำทีราวกับกำลังถูกโหรวเฟยแอบมองอยู่จริงๆ ถึงได้หลบไปอยู่ด้านหลังของมู่ชิงอีเช่นนั้น โหรวเฟยโกรธจนหน้าเขียว ผ่านไปนานกว่าจะได้สติถึงกัดฟันเอ่ยว่า “องค์หญิงหมิงเจ๋อพูดเกินไปแล้ว ข้าก็แค่เป็นห่วงองค์หญิงเท่านั้น!”
มู่ชิงอีฉีกยิ้มบางอย่างอ่อนน้อมมีมารยาท “ขอบพระทัยเพคะ ตอนนี้เป็นห่วงเสร็จแล้วก็ไปได้แล้วเพคะ”
“ฝ่าบาทเสด็จ!” ขณะที่มู่เฟยหลวนคิดจะพูดอะไรเพื่อตอบโต้ ฉับพลันฮ่องเต้แคว้นหวาก็โผล่มาจากอีกฝั่งของสวนดอกไม้
“ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ/พ่ะย่ะค่ะ”
ครั้นฮ่องเต้แคว้นหวาเห็นทุกคนก็ขมวดคิ้วมุ่นตรัสถามว่า “นี่ทำอันใดกันอยู่หรือ” ทว่าพอเห็นมู่ชิงอีก็สีหน้าอ่อนลงเล็กน้อย อมยิ้มตรัสว่า “หมิงเจ๋อเบื่อหรือ” สีหน้าอ่อนโยนที่เห็นได้ยากเช่นนี้ยิ่งทำให้มู่เฟยหลวนแววตาหม่นลงยิ่งกว่าเดิม
มู่ชิงอีคลี่ยิ้มบางกล่าว “ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันเดินเล่นอยู่ในสวนดอกไม้แล้วบังเอิญเจอองค์ชายเก้าพอดี หม่อมฉันเลยพูดคุยกันไม่กี่ประโยค จากนั้นโหรวเฟยก็โผล่มาเพคะ” ครั้นมองไปทางมู่เฟยหลวนตามสายตาของมู่ชิงอีแวบหนึ่ง ฮ่องเต้แคว้นหวาก็ยิ่งขมวดคิ้วแน่นยิ่งกว่าเดิม เรื่องที่โหรวเฟยไม่ถูกกับองค์หญิงหมิงเจ๋อเขาย่อมรู้นานแล้ว ฮ่องเต้แคว้นหวาไม่ได้รู้สึกเหนือความคาดหมายอะไร เพราะเรื่องที่ตระกูลมู่ปฏิบัติไม่ดีกับมู่ชิงอีในหลายปีมานี้ก็ทำให้เขาไม่พอพระทัยเช่นกัน แต่อีกแง่หนึ่งยิ่งมู่ชิงอีโกรธเกลียดคนในจวนซู่เฉิงโหวมากเท่าใด ฮ่องเต้แคว้นหวาก็ยิ่งสะใจมากเท่านั้น ในเมื่อเขาเห็นมู่ชิงอีเป็นดั่งบุตรสาวจากใจจริง เขาย่อมไม่อยากให้มู่ชิงอีมีบิดาและครอบครัวอื่นอยู่ในใจอยู่แล้ว ดังนั้นในตอนแรกฮ่องเต้แคว้นหวาเลยไม่ได้ช่วยมู่ชิงอีจัดการมู่เฟยหลวน เพราะเขาอยากให้มู่ชิงอีตัดสายสัมพันธ์กับคนในจวนซู่เฉิงโหว ในขณะเดียวกันมู่เฟยหลวนเองก็กำลังตั้งครรภ์บุตรของตนอยู่เลยทำให้ฮ่องเต้แคว้นหวาที่อายุมากแล้วตื่นเต้นดีใจกับการมาเยือนของบุตรคนนี้ไม่น้อย เพียงแต่น่าเสียดายที่ฮ่องเต้แคว้นหวาไม่รู้เลยว่ามู่ชิงอีไม่ได้มีความผูกพันใดกับจวนซู่เฉิงโหวมาตั้งแต่ต้นแล้ว
ตอนต่อไป