หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 2 เกิดใหม่ด้วยความเกลียดชัง
ตอนที่ 2 เกิดใหม่ด้วยความเกลียดชัง
“พวกเจ้ายังคิดจะหลอกข้าต่อไปอีกหรือ พี่ชายของข้านั้นได้ตายไปแล้ว! มู่หรงอวี้ มู่หรงอาน พวกเจ้าต้องไม่ตายดี!” หากไม่ใช่เพราะกังวลต่อความปลอดภัยของพี่ชายแล้ว ด้วยยศศักดิ์บุตรีของอัครเสนาบดีชั้นสูง จะมอบตัวให้กับหอคณิกาด้วยความภาคภูมิใจได้อย่างไร นางคงตายตามท่านแม่และหญิงสาวในตระกูลไปยังปรโลกตั้งนานแล้ว
หลังจากพูดจบ หว่านอวิ๋นก็เพิกเฉยต่อผู้คนที่กำลังตกตะลึงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น หันหลังและเดินขึ้นบันไดไปอย่างเชื่องช้า ทิ้งร่องรอยเลือดสีแดงเข้มไว้ที่เบื้องหลัง เสียงร้องเพลงแผ่วเบาดังขึ้นมาจากชั้นบนอย่างช้าๆ
“ความทรงจำยามฤดูใบไม้ผลิที่สวยงามเอย ความฝันกลายเป็นความทุกข์ ธุลีที่ร่วงหล่นเอย ดวงใจดั่งน้ำค้างแข็ง ความแค้นเอย ความเกลียดชังเอย ยากที่จะลืมเลือนไปชั่วชีวิต หมดสิ้นความยุติธรรม เหตุใดแคว้นยังไม่สูญสิ้น…”
“เกิดไฟไหม้ขึ้นเช่นนั้นหรือ” เหล่าผู้คนชั้นล่างยังคงเหม่อลอยเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว คนจากจวนหนิงอ๋องและกงอ๋องต่างก็อลหม่านเพราะอาการบาดเจ็บสาหัสของหนิงอ๋อง ไม่มีผู้ใดเลยที่มีความคิดจะสนใจคนอีกผู้หนึ่งที่กำลังจะตายเช่นกัน แม้อยากจะขึ้นไปแต่ก็ต้องกลับออกมาเนื่องจากมีการลุกไหม้ของเปลวไฟขึ้นที่ชั้นบน เพียงชั่วพริบตา ไฟก็ลุกลามชั้นบนโดยทั่วในทันที แม้ว่ากำลังเกิดไฟไหม้แต่ปกติแล้วก็ไม่สามารถลุกลามไปได้รวดเร็วขนาดนี้แน่นอน เห็นได้ชัดว่าหว่านอวิ๋นตระเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว
“ไฟไหม้! หนีเร็ว…” เพราะความคึกคักในค่ำคืนนี้จึงไม่มีผู้ใดขึ้นไปที่ชั้นบนเลย ผ่านไปครู่หนึ่ง ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็วิ่งออกไปทีละคน มีเพียงคนชราเท่านั้นที่ร้องขอความช่วยเหลือจากภายในกองไฟ ท่ามกลางแสงสว่างของท้องฟ้า ผู้คนต่างมองเห็นราวกับว่าสาวงามในชุดแดงนั้นกำลังร่ายรำอยู่ในกองเพลิง
“ความทรงจำยามฤดูใบไม้ผลิที่สวยงามเอย ความฝันกลายเป็นความทุกข์ ธุลีที่ร่วงหล่นเอย ดวงใจดั่งน้ำค้างแข็ง ความแค้นเอย ความเกลียดชังเอย ยากที่จะลืมเลือนไปชั่วชีวิต หมดสิ้นความยุติธรรม เหตุใดแคว้นยังไม่สูญสิ้น…” เสียงร้องเพลงที่แผ่วเบาล่องลอยอยู่ท่ามกลางเปลวไฟที่ลุกไหม้ มีเพียงน้ำตาที่ร่วงหล่นอย่างเงียบงัน…
“คุณหนู ตื่นหรือยังเจ้าคะ” กู้อวิ๋นเกอขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนที่จะค่อยๆ ลืมตาขึ้น มองไปยังเด็กสาวในชุดสีเขียวด้วยความงุนงง
นางยังไม่…ตายหรอกหรือ
นางยังคงจดจำความรู้สึกจากฝ่ามือของมู่หรงอวี้ที่กระทบร่างของนางได้และยังจำความรู้สึกจากเปลวไฟที่แผดเผาผิวของนางได้อย่างชัดเจน มันเจ็บปวดเป็นอย่างมาก แต่ถึงแม้ว่าจะต้องเจ็บปวดอีกกี่ครั้ง ก็เทียบไม่ได้กับความเจ็บปวดและความเกลียดชังที่ต้องทนเห็นคนในตระกูลตายไปอย่างไม่ยุติธรรม
“คะ…คุณหนู?” จู่ๆ เด็กสาวในชุดเขียวก็ต้องสะดุ้งกับความเย็นชาและความเกลียดชังที่ปรากฏในสายตาของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า จนอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา
กู้อวิ๋นเกอหลับตาลงแต่ในไม่ช้าก็รวบรวมสติทั้งหมดได้ การอยู่ในหอนางโลมชุ่ยหงมาสามปี ล้วนเป็นการกลับตาลปัตรของชีวิตนางที่ถูกเลี้ยงดูจากตระกูลสูงส่งจนกระทั่งกลายมาเป็นนางโลมในหอคณิกาที่น่าอับอาย การรวบรวมสติจึงกลายมาเป็นเรื่องปกติที่ทำได้ง่าย เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง แววตาก็เปลี่ยนเป็นสงบเยือกเย็น
เด็กสาวในชุดเขียวมองหญิงสาวด้วยสายตาแปลกๆ พลันรู้สึกว่าหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าของตนนั้นแตกต่างจากเดิมเล็กน้อย แต่…อาจเป็นเพราะการตายของพี่หญิงของนางนั้นคงจะน่าเศร้าเกินไปกระมัง เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เด็กหญิงในชุดเขียวก็รีบพูดปลอบใจอย่างรวดเร็ว “คุณหนู ท่านพี่หญิงไปสบายแล้ว ท่านอย่าเศร้าอีกเลยนะเจ้าคะ อย่าได้พูดเรื่องนี้กับนายท่านโหวและฮูหยินอีกเลยนะเจ้าคะ มิฉะนั้นล่ะก็…”
กู้อวิ๋นเกอฟังคำแนะนำของเด็กสาวอย่างสงบพลางสังเกตรอบๆ ห้อง นี่คือห้องของคุณหนูจากจวนโหว? แม้ว่ากู้อวิ๋นเกอจะตกต่ำแต่ด้วยความที่ตั้งแต่เล็กนั้นนางเติบโตขึ้นมาในจวนใหญ่ของอัครเสนาบดี ห้องเล็กที่เรียบง่ายตรงหน้าของนางจึงเรียกได้ว่าค่อนข้างธรรมดา อย่าว่าแต่จวนโหวที่อื่นเลย เกรงว่าแม้แต่ห้องส่วนตัวของครอบครัวเล็กๆ ห้องนี้ก็ยังเทียบไม่ได้
“เจ้า…พยุงข้าไปตรงนั้นหน่อย” อวิ๋นเกอไอเบาๆ แล้วชี้ไปยังโต๊ะเครื่องแป้งที่อยู่ไม่ไกล
เด็กสาวในชุดเขียวจ้องมองสักพัก ก่อนที่จะเข้ามาพยุงนางไปนั่งลงที่โต๊ะเครื่องแป้ง
กู้อวิ๋นเกอมองไปยังหญิงสาวร่างผอมในกระจกทองแดงอย่างไร้ความรู้สึก แทบจะไม่สามารถมองเห็นคลื่นพายุภายในจิตใจของนางได้เลย ใบหน้านี้…นี่คือใบหน้าที่นางคุ้นเคยเป็นอย่างมาก คิ้วที่โค้งมน ริมฝีปากสีแดง ฟันสีขาวสะอาด ดวงตาที่มีขนตายาวโค้งงอนเล็กน้อยราวกับแอ่งน้ำที่เงียบสงบในฤดูใบไม้ร่วง ภายในความทรงจำนั้นยังมีหญิงสาวบอบบางขี้อายที่คอยติดตามนาง…
‘พี่หญิง ท่านช่างงดงามเหลือเกิน…อีเอ๋อร์อยากงดงามเช่นเดียวกับพี่หญิงบ้าง’
‘พี่หญิง บทกวีนี้หมายความว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ’
‘พี่หญิง หากท่านเป็นพี่สาวแท้ๆ ของอีเอ๋อร์ก็ดีน่ะสิ อีเอ๋อร์จะได้อยู่กับท่านตลอดไป…’
“…”
นี่คือ…ลูกพี่ลูกน้องของนาง มู่ชิงอีบุตรสาวแห่งจวนซู่เฉิงโหว แม้ว่าจะเป็นเวลากว่าสามปีมาแล้วที่ไม่ได้พบกันแต่ใบหน้าสวยงามที่ค่อยๆ ถูกเผยออกนี้นางยังจดจำได้
อีเอ๋อร์…เจ้าเติบโตเป็นสาวงามยิ่งกว่าข้าไปเสียแล้ว ว่าแต่…ตอนนี้เจ้าไปอยู่ที่ใดกัน
มารดาของมู่ชิงอี ฮูหยินแห่งจวนซู่เฉิงโหวกับมารดาของกู้อวิ๋นเกอ อดีตฮูหยินใหญ่แห่งจวนอัครเสนาบดีนั้นเป็นพี่น้องกันแท้ๆ เมื่อสามปีก่อนชายทุกคนในจวนตระกูลกู้ถูกกุดศีรษะและหญิงในตระกูลถูกเนรเทศไปเป็นทาส แต่หลังจากที่ชายในตระกูลกู้ถูกสอบสวน หญิงทุกคนในตระกูลกู้…ตั้งแต่ฮูหยินผู้เฒ่าที่อายุใกล้จะหกสิบปี ไปจนถึงฮูหยินอายุน้อยที่เพิ่งเข้ามาได้ไม่ถึงสองเดือน ทั้งหมดต่างก็ปลิดชีพตัวเอง แต่สำหรับกู้อวิ๋นเกอนั้น ด้วยความโกรธเคืองของกงอ๋องมู่หรงอวี้ นางกลับถูกส่งไปยังหอนางโลมแลกด้วยชีวิตของกู้ซิ่วถิงบุตรชายคนโตของตระกูลกู้ซึ่งเป็นชายเพียงคนเดียวของตระกูลที่รอดชีวิต แม้กู้อวิ๋นเกออยากจะร้องขอความตายแต่ก็ไม่สามารถเป็นไปได้ ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ถูกจองจำไว้ที่หอฉิน ภายในเรือนรับรองฉู่ เพื่อทำให้เหล่าวิญญาณตระกูลกู้ไม่สามารถเป็นสุขได้
หนึ่งเดือนหลังจากการล่มสลายของตระกูลกู้ ฮูหยินใหญ่ซู่เฉิงโหวน้องสาวแท้ๆ ของฮูหยินใหญ่ตระกูลกู้ก็ปลิดชีพของตนตามไปเช่นเดียวกัน มีเพียงมู่ชิงอีบุตรีวัยสิบสามปีเท่านั้นที่ยังคงหลงเหลืออยู่ กู้อวิ๋นเกอไม่รู้ว่าเหตุใดน้าหญิงของตนจึงได้ฆ่าตัวตาย แต่นางรู้ว่ามันต้องมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลกู้อย่างแน่นอน เพราะในบรรดาผู้ที่เคยมีส่วนร่วมในการใส่ร้ายตระกูลกู้นั้น มีมู่ฉังหมิงจากจวนซู่เฉิงโหวด้วย เมื่อกลับมามองดูห้องนี้จึงทำให้รับรู้อีกด้วยว่า ตั้งแต่น้าหญิงจากไป ชีวิตของน้องหญิงก็คงจะไม่ง่ายเลย
“คุณหนูเป็นอะไรหรือเจ้าคะ ไม่สบายที่ใดหรือ จูเอ๋อร์จะไปเชิญท่านหมอนะเจ้าคะ” เด็กสาวในชุดเขียวถามด้วยความห่วงใย
กู้อวิ๋นเกอส่ายหัวพลางพูดว่า “ไม่มีอะไร เพียงแต่ข้าเพิ่งตื่น…จึงยังสับสนเล็กน้อย จูเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้นกับข้าหรือ”
เด็กสาวในชุดเขียวที่มีนามว่าจูเอ๋อร์มองดูนางอย่างกังวลใจ พูดขึ้นอย่างเป็นห่วง “คุณหนู…ลืมแล้วหรือเจ้าคะ พี่หญิง…ท่านพี่หญิงได้จากโลกนี้ไปเมื่อวันก่อน คุณหนูต้องการตั้งสุสานให้ท่านพี่หญิง แต่นายท่านโหวไม่เห็นด้วยจึงลงมือทุบตีคุณหนู จนคุณหนูยืนไม่ไหวล้มศีรษะกระแทกกับเสา คุณหนูยังเจ็บอยู่หรือไม่เจ้าคะ”
กู้อวิ๋นเกอยกมือขึ้นลูบที่ด้านหลังศีรษะ ทันใดนั้นความเจ็บปวดอย่างรุนแรงก็ถาโถมเข้ามา ในตอนที่เพิ่งตื่นขึ้นภายใต้ความน่าตกใจที่มหาศาลจึงยังไม่ทันได้สนใจสภาพร่างกายของตัวเอง กู้อวิ๋นเกอมองดูหญิงสาวผิวขาวซีดและบอบบางในกระจกทองแดง น้องหญิง…เพราะข้าเจ้าถึง…
เมื่อเห็นนางเริ่มเหม่อลอยอีกครั้ง ในที่สุดจูเอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะกระทืบเท้าพร้อมพูดว่า “บ่าวควรไปเชิญท่านหมอให้มาดูสักหน่อยแล้ว คุณหนูเป็นเช่นนี้…ต้องเป็นเพราะหัวของท่านถูกกระแทกเป็นแน่” นางพูดพลางหันกลับไป กำลังจะเดินออกไปด้านนอก กู้อวิ๋นเกอก็รีบคว้าตัวนางไว้และพูดว่า “จูเอ๋อร์ ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว เพียงแต่ข้าคิดถึงพี่หญิงก็เลยเศร้าใจเล็กน้อย…”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จูเอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจและพูดว่า “ท่านพี่หญิงของท่านช่างโชคร้ายนัก หญิงงามเช่นนั้นกลับถูกไฟแผดเผาจนเป็นเถ้าถ่าน แต่…ท่านพี่หญิงลงมือทำร้ายหนิงอ๋อง หากนางมีชีวิตอยู่ต่อ บ่าวเกรงว่าต้องได้รับโทษหนักเป็นแน่ ดังนั้น คุณหนูปล่อยวางเสียเถิดนะเจ้าคะ คนดีๆ อย่างท่านพี่หญิงสวรรค์ต้องให้นางได้กลับมาเกิดใหม่อย่างดีแน่นอนเจ้าค่ะ”
“มู่หรงอานยังไม่ตายอย่างนั้นหรือ” กู้อวิ๋นเกอถามด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย