หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 236 ตัวตนถูกเปิดเผย (2)
ครั้นกู้ซิ่วถิงชะงักนิ้ว เสียงกู่เจิ้งก็เงียบลงในทันที เขาหยัดกายลุกขึ้นแล้วหันไปยิ้มบางๆ กล่าว “องค์ชายเจ็ดมีเวลามาหาถึงที่นี่ เรื่องกงอ๋องจัดการเรียบร้อยแล้วหรือ”
ตอนนี้มู่หรงจ้าวอารมณ์ดีอย่างมาก ใบหน้าเปื้อนยิ้มเต็มไปด้วยความมั่นใจ “ถึงแม้จะยังจัดการไม่เสร็จสิ้นดี แต่ข้าเชื่อว่าพี่หกคงดิ้นไม่หลุดแน่นอน โชคดีที่มีท่านคอยชี้แนะทุกอย่าง”
กู้ซิ่วถิงคลี่ยิ้มบาง “เป็นเพราะองค์ชายเจ็ดสติปัญญาเฉียบแหลม ในเมื่อเรื่องนี้จบแล้ว เช่นนั้นกระหม่อม…คงต้องขอทูลลา”
มู่หรงจ้าวชะงักไปแล้วเอ่ยด้วยท่าทีเสียดาย “ท่านเฉลียวฉลาดความสามารถล้นฟ้า เหตุใดไม่อยู่เป็นผู้ช่วยของข้าเล่า ภายภาคหน้า ข้า…จะตอบแทนท่านอย่างงาม”
กู้ซิ่วถิงส่ายศีรษะยิ้มกล่าว “อำนาจชื่อเสียงไม่สำคัญต่อกระหม่อม อีกอย่างกระหม่อมกลัวก็แต่จะช่วยอะไรองค์ชายเจ็ดไม่ได้มากกว่า”
มู่หรงจ้าวมุ่นคิ้วเล็กน้อย นัยน์ตาฉายแววไม่พอใจนัก “ว่ากันว่าพอเรียนรู้ตำราวิทยายุทธ์เสร็จก็ควรอุทิศกายทำงานให้ฮ่องเต้ หรือว่าข้าไม่คู่ควรให้ท่านติดตามอย่างนั้นหรือ”
กู้ซิ่วถิงถอยหายใจเสียงเบาเอ่ยอย่างระอา “องค์ชายเจ็ดพูดเกินไปแล้ว กระหม่อมไม่อยากอยู่ที่นี่ก็เท่านั้น โปรดองค์ชายเจ็ดอภัยให้ด้วย ในเมื่อองค์ชายเจ็ดอยู่ที่นี่พอดี เช่นนั้นกระหม่อมขอทูลลา”
พูดจบ กู้ซิ่วถิงก็ยกกู่เจิ้งวางไว้บนโต๊ะข้างกายอย่างระมัดระวังแล้วหมุนตัวเดินออกจากสวนไปเฉกเช่นตอนที่มา ในเมื่อมาตัวเปล่าก็ต้องกลับตัวเปล่า
“คุณชายกู้ เกรงว่าเจ้าคงกลับไปไม่ได้แล้วล่ะ” เสียงเย็นยะเยือกดังแว่วมาจากมุมที่ไม่ไกลนัก กู้ซิ่วถิงหันกลับไป จากนั้นก็ผู้เฒ่าวัยห้าสิบหกสิบก็เดินออกมาจากด้านหลังภูเขาปลอม ถึงแม้เส้นผมจะปะปนด้วยสีดำขาว แต่หากกล่าวถึงเสียงที่ดังก้องกังวาน พละกำลังที่แกร่งกล้า รูปร่างสูงใหญ่แข็งแรง บุคลิกน่าเกรงขามเช่นนี้กลับไม่เหมือนชายชราวัยห้าสิบหกสิบเลยสักนิด
กู้ซิ่วถิงเงียบอยู่นาน จับจ้องผู้มาเยือน “แม่ทัพใหญ่เว่ย”
“ข้าเอง คุณชายกู้ความจำดีนัก” ผู้มาเยือนก็คือเว่ยหลีแม่ทัพใหญ่ผู้ปกป้องแว่นแคว้น ท่านตาขององค์ชายเจ็ดมู่หรงจ้าวนั่นเอง
เห็นได้ชัดว่ามู่หรงจ้าวมีท่าทีตกใจอยู่บ้าง เขากวาดตามองกู้ซิ่วถิงอยู่นานก่อนจะเอ่ยว่า “เจ้าคือกู้ซิ่วถิงจริงๆ หรือ”
กู้ซิ่วถิงถอนหายใจเสียงเบามองมู่หรงจ้าวแล้วเอ่ยว่า “องค์ชายเจ็ด ท่านผิดข้อตกลงของเรา” มู่หรงจ้าวไม่ตอบโต้ใดๆ ด้วยสีหน้าเรียบตึง ข้อตกลงระหว่างเขาและกู้ซิ่วถิงก็คือห้ามบอกเรื่องการมีตัวตนอยู่ของกู้ซิ่วถิงต่อใครทั้งนั้น แต่ในฐานะที่เป็นเชื้อพระวงศ์ ในเมื่อคนที่ทำอะไรบุ่มบ่ามเอาแต่ใจอย่างมู่หรงจ้าวยากที่จะเชื่อใจคนนอกที่เดาสถานะไม่ได้ แล้วเหตุใดจะไม่บอกเรื่องนี้กับเว่ยหลีเล่า
“ไม่เป็นไร…” กู้ซิ่วถิงเลิกคิ้วพลางจับจ้องเว่ยหลี เอ่ยขึ้นว่า “แม่ทัพเว่ย มีเรื่องอันใดหรือ”
เว่ยหลีแสยะยิ้ม “คุณชายซิ่วถิงมีวิธีการดีไม่น้อย ไม่ต้องออกโรงก็จัดการโค่นกงอ๋องจนกลับมาผงาดไม่ได้อีก แม้แต่คนทั่วทั้งเมืองหลวงยังถูกคุณชายบงการปั่นหัว เพียงแต่น่าเสียดาย…คุณชายไม่เคยได้ยินสำนวนที่ว่าตั๊กแตนจับแมลง นกกระจิบจ้องหลังหรือ”
กู้ซิ่วถิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แม่ทัพเว่ยจะบอกว่าท่านรู้ตัวตนของข้าตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้นถึงหลอกใช้ข้าต่อกรกับมู่หรงอวี้อย่างนั้นหรือ”
เว่ยหลีลูบเคราแล้วเอ่ยด้วยท่าทีได้ใจ “ใช่แล้ว”
กู้ซิ่วถิงพยักหน้า เอ่ยตอบ “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ตอนนี้แม่ทัพเว่ยก็สมดั่งใจหวังแล้ว มีเรื่องใดอยากพูดอีกหรือ” เว่ยหลียิ้มกล่าว “คุณชายซิ่วถิงฉลาดหลักแหลม เหตุใดจะไม่รู้ว่าข้าคิดจะทำอันใดเล่า ตระกูลกู้…เป็นดั่งเนื้อร้ายในสายตาของฝ่าบาท ถึงแม้เวลานี้ฝ่าบาทจะถูกบีบให้รื้อคดีตระกูลกู้ขึ้นมาใหม่ แต่ฝ่าบาทคงไม่พอพระทัยหากยังเหลือลูกหลานตระกูลกู้สักคนมีชีวิตอยู่ อีกอย่างองค์ชายเจ็ดจะร่วมมือกับคนของตระกูลกู้แค่เพื่อต่อกรกับพี่ชายของตัวเองได้อย่างไรเล่า”
กู้ซิ่วถิงเลิกคิ้วเล็กน้อย “แม่ทัพเว่ยต้องการอะไร”
เว่ยหลียกยิ้ม “คุณชายซิ่วถิงอย่าโทษว่าข้าใจเหี้ยมเลย หากจะโทษก็โทษที่เจ้าหนีอันตรายมาได้แล้วครั้งหนึ่งและควรหนีออกจากเมืองไปอย่างเงียบๆ แต่ดันอยู่เมืองหลวงที่แสนวุ่นวายนี้ต่อ แล้วยังโผล่มาหาองค์ชายเจ็ดอีก ข้าคงต้องกำจัดเจ้าทิ้งเสีย”
กู้ซิ่วถิงมองมู่หรงจ้าวที่ยืนอยู่ข้างกายเว่ยหลี่แล้วเอ่ยถาม “องค์ชายเจ็ด เป็นความต้องการของท่านหรือ” มู่หรงจ้าวชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง เขามองเว่ยหลีแล้วเอ่ยเรียก “ท่านตา…”
เว่ยหลีแค่นเสียงเย็นชา “จ้าวเอ๋อร์ อย่าถูกเขาหลอกเอาได้ เจ้าคิดว่าเขาแค่อยากจัดการมู่หรงอวี้อย่างนั้นหรือ อย่าลืมสิว่ามู่หรงซียังมีชีวิตอยู่ เขาจะยอมช่วยเจ้าด้วยใจจริงได้อย่างไร คงเห็นเจ้าเป็นแค่หมากจัดการมู่หรงอวี้แล้วค่อยเข่นฆ่าสังหารจื้ออ๋องทิ้ง พอถึงตอนนั้น…คนที่ได้ผลประโยชน์ที่แท้จริงก็คือคนอื่น”
“คุณชายซิ่วถิง ตอนนั้นเจ้าหลอกล่อหนิงอ๋องมาชีวิตหนึ่งแล้ว ตอนนี้ยังคิดจะหลอกล่อองค์ชายเจ็ดอีกหรือ”
กู้ซิ่วถิงชะงักไป ชั่วขณะนั้นดวงตารูปงามสองข้างภายใต้หน้ากากก็สาดไอเย็นยะเยือกออกมา ในฐานะบุรุษผู้มีแรงดึงดูดทางเพศจนถูกมู่หรงอานต้องตาเข้า สำหรับกู้ซิ่วถิงแล้วนับว่าเป็นความอัปยศสูงสุด แต่เว่ยหลียังกล้าเอาเรื่องนี้มาเย้ยหยันต่อหน้าเขาอีก
“เว่ยหลี หากข้าปล่อยให้ท่านแก่ตาย ข้ากู้ซิ่วถิงคงรู้สึกผิด!” เสียงเย็นชาของกู้ซิ่วถิงดังแว่วออกมาจากหน้ากากซึ่งแฝงไปด้วยไอเย็นยะเยือกอยู่ไม่น้อย มู่หรงจ้าวคิดไม่ถึงว่าบุรุษที่แสนอบอุ่นนั้นเดิมทีจะมีน้ำเสียงเย็นชาโหดเหี้ยมได้ถึงเพียงนี้ ทำเอามู่หรงจ้าวอดชะงักไม่ได้
เว่ยหลีเองก็ผงะไปเช่นกัน แต่ไม่นานก็ฉีกยิ้มกว้าง “ใครก็พูดจาโอหังเช่นนี้ได้ทั้งนั้น คุณชายซิ่วถิง เจ้าลองดูว่าเจ้าจะรอดออกไปจากที่นี่ได้ก่อนหรือเปล่าเถิด”
กู้ซิ่วถิงกลับไม่ได้ตื่นตระหนกอะไร เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “อย่างนั้นหรือ เช่นนั้น…แม่ทัพเว่ยอยากให้จื้ออ๋องรู้หรือไม่ว่าองค์ชายเจ็ดเอาข่าวสารและแผนการมากมายขนาดนี้มาจากไหน แม่ทัพเว่ย...อยากให้หรงเฟยจากโลกนี้ไปทั้งที่อายุไม่เท่าไร…เหมือนโหรวเฟยอย่างนั้นหรือ”
เว่ยหลีตกตะลึงขึ้นมาทันที ผ่านไปเนิ่นนานถึงกัดฟันเอ่ย “องค์หญิงหมิงเจ๋อ…เรื่องของโหรวเฟยเป็นฝีมือของเจ้าหรือ”
“ท่านพูดถึงชิงอีหรือ ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะไปรู้เรื่องอะไร” กู้ซิ่วถิงฉีกยิ้มเอ่ยเสียงเรียบ ทว่ากลับเป็นการยอมรับกลายๆ ว่าเรื่องของโหรวเฟยมีความเกี่ยวข้องกับตน เว่ยหลีอดสูดหายใจเข้าลึกไม่ได้ “เป็นไปไม่ได้” ตระกูลกู้ล่มสลายไปแล้ว จากที่เขารู้มากู้ซิ่วถิงน่าจะเป็นอิสระเมื่อไม่นานมานี้ แล้วกู้ซิ่วถิงจะมีความสามารถมากมายยื่นมือเข้าไปยุ่มย่ามเรื่องในวังได้อย่างไร
กู้ซิ่วถิงมองเว่ยหลีอย่างสงบเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แม่ทัพเว่ยไม่เชื่อหรือ เช่นนั้นพวกเรารอกันอีกประเดี๋ยว แม่ทัพเว่ยอยากเห็นมือของหรงเฟยก่อน...หรือดวงตาก่อนเล่า”
มู่หรงจ้าวสีหน้าขาวซีดพลันมองใบหน้าของกู้ซิ่วถิงที่สวมหน้ากากอยู่ด้วยท่าทีหวาดกลัว ยิ่งคนที่อ่อนโยนสง่างามพูดหัวข้อสนทนาที่แฝงไปด้วยกลิ่นคาวเลือดมากเท่าไรก็ยิ่งชวนให้รู้สึกหวาดผวามากเท่านั้น
รอยยิ้มได้ใจที่เดิมทีประดับอยู่บนใบหน้าของเว่ยหลีก็อันตรธานหายไปแล้วแทนที่ด้วยความกระวนกระวายใจและลังเล เขาไม่รู้ว่าควรเชื่อคำพูดของกู้ซิ่วถิงหรือไม่ แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่กล้าเอาชีวิตของบุตรสาวมาใช้เป็นเดิมพัน แต่หากปล่อยกู้ซิ่วถิงออกไปง่ายๆ เช่นนี้ เขาเองก็ไม่พอใจเช่นกัน
“ท่านตา” มู่หรงจ้าวสงบสติอารมณ์แล้วเอ่ย “ปล่อย…คุณชายกู้ไปเถิด”
เว่ยหลีสีหน้าหม่นลงพลางจับจ้องกู้ซิ่วถิงแน่นิ่ง น่าเสียดายที่กู้ซิ่วถิงใส่หน้ากากปิดหน้าเอาไว้เลยทำให้มองสีหน้าของเขาไม่ออก
กู้ซิ่วถิงมองไปยังเหนือกำแพงด้านนอกด้วยท่าทีสบายๆ ไพล่มือไว้ด้านหลังเอ่ยเสียงเรียบ “แม่ทัพเว่ย เดิมทีเราเองก็ไม่เคยมีความแค้นใดต่อกัน ไม่ว่าเจตนาของข้าคือสิ่งใด แต่อย่างน้อยข้าก็ช่วยองค์ชายเจ็ดและตระกูลเว่ยแล้ว แม่ทัพเว่ยทำเช่นนี้ ช่างทำให้ข้าผิดหวังนัก ความจริง…ไม่ว่าข้าจะเป็นกู้ซิ่วถิงหรือไม่ แม่ทัพเว่ยก็ไม่คิดจะปล่อยข้าไปอยู่แล้วกระมัง”