หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 3 บทเรียนของลูกอนุภรรยา
ตอนที่ 3 บทเรียนของลูกอนุภรรยา
“คุณหนู?” จูเอ๋อร์รีบยกมือขึ้นปิดปากของนางไว้และมองไปรอบด้านอย่างระแวดระวัง “คุณหนู ท่านบ้าไปแล้วหรือเจ้าคะ พูดเช่นนี้ได้อย่างไร เมื่อวาน…เมื่อวานมีเด็กสาวหลายคนในจวนพูดคุยกันอย่างลับๆ ถึงอาการบาดเจ็บของหนิงอ๋อง เกรงว่าอาจจะไม่สามารถรักษาให้หายได้ เลยถูกคุณหนูสามเฆี่ยนจนเกือบตายเชียวนะเจ้าคะ”
“มู่อวิ๋นหรง?” แม้ว่าจะไม่ได้พบกันนานกว่าสามปีแล้ว แต่กู้อวิ๋นเกอยังคงจดจำคุณหนูสามแห่งจวนซู่เฉิงโหวที่มีนามว่ามู่อวิ๋นหรงได้
จูเอ๋อร์ถอนหายใจพลางกระซิบ “คุณหนู ท่านเลิกคิดเถิดเจ้าค่ะ แม้ว่าคุณหนูสามจะอาศัยซุนฮูหยินที่รับหน้าที่ฮูหยินของนายท่านโหวเพื่อแย่งตำแหน่งพระชายาหนิง แต่นิสัยดั้งเดิมของหนิงอ๋องนั้นทรงหลายใจเจ้าค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นบ่าวได้ยินมาว่า…ชายหญิงนั้นไม่ใช่สิ่งต้องห้ามหรอกหรือเจ้าคะ ตอนฮูหยินยังมีชีวิตอยู่ท่านพูดเอาไว้ว่า พระองค์ไม่คู่ควรกับคุณหนู จนมาถึงตอนนี้ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
แม้ว่าคุณหนูของตระกูลเราจะขี้กังวลและอ่อนแอ แต่สำหรับท่านพี่หญิงกับนายน้อยและคนในตระกูลกู้ ต่างก็ให้ความเคารพนางเป็นอย่างมาก เดิมทีตนนั้นเป็นกังวลว่าหากคุณหนูได้แต่งเข้าจวนหนิงอ๋องจริงๆ นางคงอดไม่ได้ที่จะลอบสังหารหนิงอ๋องเช่นเดียวกันกับท่านพี่หญิงของนางกระมัง
“ข้าเข้าใจแล้ว จูเอ๋อร์ ข้าเหนื่อยนิดหน่อย อยากนอนสักพัก” กู้อวิ๋นเกอหลับตาลงพลางพูดด้วยเสียงที่หมดแรง
จูเอ๋อร์พยักหน้า ช่วยพยุงกู้อวิ๋นเกอกลับไปที่เตียง ประคองนางให้นอนลง ก่อนที่จะหันหลังเดินออกไป
กู้อวิ๋นเกอนอนอยู่บนเตียงแต่ยังไม่ได้ผล็อยหลับไป คนที่เคยตายไปแล้วครั้งหนึ่งจะรู้สึกว่าการนอนนั้นค่อนข้างเป็นสิ่งที่น่ากลัว เพียงแค่หลับตาลงก็ราวกับสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ถูกเผาไหม้จากไฟที่แผดเผา สิ่งที่สามารถทำให้ผู้คนยิ่งมีพลังก็คือความเคียดแค้นและความไม่ย่อท้อที่อยู่ภายในจิตใจ กู้อวิ๋นเกอไม่ใช่หญิงสาวจากตระกูลเล็กๆ นางถูกเลี้ยงดูมาโดยกู้มู่เหยียนผู้เลื่องชื่อ นางในวัยสิบแปดปีมีประสบการณ์ชีวิตมากกว่าคนทั่วไปถึงสองช่วงอายุ ใบหน้าของผู้ที่ล่วงลับไปแล้วพลันปรากฏขึ้นในจิตใจของนางทีละคน ท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านลุง ท่านน้า พี่ใหญ่ พี่สะใภ้…พี่หญิง…
ข้ากู้อวิ๋นเกอยังไม่ตาย และคนในตระกูลกู้นั้นยังไม่สูญสิ้น
ในเมื่อสวรรค์ต้องการให้ข้ามีชีวิตอยู่…ความแค้นเอย ความเกลียดชังเอย…แม้ตายเก้าครั้งก็ยากจะลืมเลือน…ความยุติธรรมหมดสิ้น…เหตุใดแคว้นยังไม่สูญสิ้น
ตั้งแต่นี้ต่อไป ข้าคือทั้งมู่ชิงอีและกู้อวิ๋นเกอ!
เช้าตรู่ มู่ชิงอีลืมตาขึ้นท่ามกลางแสงสลัวในยามเช้า เมื่อเห็นมุ้งเก่าๆ ตรงหน้า นางก็ชะงักไปครู่หนึ่งแต่ก็กลับมานิ่งสงบอย่างรวดเร็ว หลังจากที่จูเอ๋อร์ช่วยชำระร่างกายจนเสร็จ นางก็ออกไปยังเรือนเต๋ออานซึ่งเป็นที่พำนักของฮูหยินผู้เฒ่าแห่งจวนซู่เฉิงโหวเพื่อทำความเคารพ มู่ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดมู่ฉังหมิงซู่เฉิงโหว นางได้รับการพระราชทานยศฮูหยินผู้ชอบธรรมจากราชสำนัก ในขณะเดียวกันก็ยังถือเป็นผู้ทรงเกียรติที่สุดภายในจวนซู่เฉิงโหว นับตั้งแต่ท่านแม่ของมู่ชิงอีได้จากโลกนี้ไปเมื่อสามปีก่อน จวนซู่เฉิงโหวก็ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของมู่ฮูหยินผู้เฒ่า จนกระทั่งทุกวันนี้ ซู่เฉิงโหวฮูหยินก็ทำได้เพียงขัดขาฮูหยินผู้เฒ่าเท่านั้น
เมื่อมาถึงเรือนเต๋ออานก็ช้าไปหน่อยเสียแล้ว โถงฝูโซ่วได้เต็มไปด้วยผู้คนที่นั่งเบียดเสียดกัน
“คารวะท่านย่าเจ้าค่ะ ขอให้ท่านมีแต่ความสงบสุข” มู่ชิงอียืนคำนับอยู่หน้าห้องโถง
“ลุกขึ้นเถิด ร่างกายของเจ้าดีขึ้นแล้วหรือ” มู่ฮูหยินผู้เฒ่ามองหลานสาวที่อยู่ในชุดสีจืดชืด นัยน์ตาที่เฉียบแหลมของนางหรี่ลงเล็กน้อย มู่ชิงอีจ้องมองนางแล้วพูดอย่างนอบน้อม “ขอบพระคุณสำหรับความห่วงใย หลานดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ”
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” มู่ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้าและพูดว่า “ในเมื่ออาการป่วยของเจ้าหายดีแล้ว เหตุใดเจ้าถึงยังสวมชุดสีจืดชืดเช่นนี้เล่า สะใภ้ซุน อีกครู่หนึ่งให้ใครสักคนมาจัดเสื้อผ้าที่สีสันสดใสสักหน่อยแล้วส่งไปให้คุณหนูสี่ด้วย บุตรสาวตระกูลสูงส่ง ใส่เสื้อผ้าธรรมดาเกินไปแล้ว มันไม่ควรเป็นเช่นนี้”
ซู่เฉิงโหวฮูหยินที่นั่งอยู่ทางด้านขวาของมู่ฮูหยินผู้เฒ่ากำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่นพลางพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าหรงปิ่ง เสื้อผ้าของเดือนนี้ถูกส่งไปให้ชิงอีนานแล้วเจ้าค่ะ ล้วนแล้วแต่มีสีสันและลวดลายที่ทันสมัยที่สุดเชียวนะเจ้าคะ…หากชิงอีเป็นเช่นนี้…เกรงว่าสำหรับ…พี่หญิงของนางแล้ว นี่ก็คงถือว่าเป็นน้ำใจอย่างหนึ่งกระมัง”
ทันทีที่สะใภ้ซุนพูดจบ คุณหนูสามมู่อวิ๋นหรงที่นั่งอยู่ข้างๆ สะใภ้ซุนก็ก้มหน้าลงแล้วหัวเราะเบาๆ “น้องหญิงสี่ช่างจิตใจดีเสียจริง แม้แต่แม่นางจากหอคณิกาที่ตายไปแล้วก็ยัง…ผู้ที่รู้นั้นคงจะคิดว่าน้องหญิงสี่ยังคงไม่ลืมมิตรภาพเก่าๆ แต่สำหรับผู้ที่ไม่รู้นั้นจะคิดว่าน้องหญิงสี่มีความไม่พอใจต่อหนิงอ๋องเอาได้ ในเมื่อ…ตระกูลกู้ นังสารเลวหว่านอวิ๋นกล้าถึงขั้นลงมือทำร้ายหนิงอ๋อง!” เมื่อกล่าวมาถึงประโยคนี้ ใบหน้าสวยงามของมู่อวิ๋นหรงก็แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าแสนเกรี้ยวกราดที่น่าสยดสยอง เห็นได้ชัดว่าการที่หนิงอ๋องถูกทำร้ายนั้นทำให้นางเกลียดชังกู้อวิ๋นเกอเป็นอย่างมาก
“หุบปาก!” มู่ฮูหยินผู้เฒ่าพูดขึ้นอย่างฉุนเฉียว พลางชำเลืองมองสะใภ้ซุนและมู่อวิ๋นหรงอย่างเคร่งเครียด จากนั้นจึงพูดขึ้นว่า “พี่หญิงอะไรกัน พวกเจ้าช่วยเตือนความจำข้าให้ชัดเจนหน่อยสิว่าคุณหนูสี่ไม่มีลูกพี่ลูกน้องหญิง!”
มู่อวิ๋นหรงเม้มริมฝีปาก ตอบกลับเสียงเบา “ท่านย่า หรงเอ๋อร์ผิดไปแล้วเจ้าค่ะ เพียงแต่ว่า…หนิงอ๋องได้รับบาดเจ็บสาหัสจากนังชั่วนั่น หรงเอ๋อร์…หรงเอ๋อร์…” มู่ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจเบาๆ “เจ้าต้องการจะเป็นพระชายาหนิง แต่เหตุใดถึงไม่รู้กาลเทศะเอาเสียเลย เรื่องใดควรพูด เรื่องใดไม่ควรพูด เจ้าก็ยังไม่รู้อีกหรือ”
มู่อวิ๋นหรงกะพริบตาอย่างงุนงง “นังสารเลวนั่นตายไปแล้ว เหตุใดจึงไม่ควรพูดเจ้าคะ”
“ในเมื่อเจ้าช่วยเตือนความจำข้าแล้ว ตั้งแต่วันนี้ไปเรื่องความสัมพันธ์กับตระกูลกู้ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าพูดขึ้นมาอีก พวกเจ้าก็ด้วย เข้าใจหรือไม่” เสียงของมู่ฮูหยินผู้เฒ่าทุ้มต่ำ กวาดตามองทุกคนในห้อง
“พวกเราเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ/ขอรับ” ทุกคนตอบกลับอย่างเชื่อฟัง
มู่ชิงอียืนเงียบๆ ในห้องโถง หรี่ตาลงเล็กน้อยเพื่อปกปิดความเกลียดชังที่ปั่นป่วนอยู่ในดวงตาของตน มู่ฮูหยินผู้เฒ่าคิดว่านางสวมเสื้อผ้าสีจืดชืดเพื่อกู้อวิ๋นเกอ แต่กลับไม่รู้เลยว่าวิญญาณของมู่ชิงอีตัวจริงนั้นได้จากไปที่อื่นแล้ว แม้ว่าจะเป็นเพียงชั่วข้ามคืน แต่มู่ชิงอีก็ยอมรับสถานการณ์ปัจจุบันได้อย่างรวดเร็ว ในสถานการณ์เช่นนี้ ตามหนังสือแล้วส่วนมากคือการฟื้นคืนชีพกลับมาหรือไม่ก็เป็นการถูกแทนที่ด้วยอีกวิญญาณหนึ่ง หากมันคือการแทนที่ของวิญญาณ…ถ้าเช่นนั้น น้องหญิงของตนได้ตายจากไปแล้วจริงๆ อย่างนั้นหรือ การตายที่ถูกผลักดันจากบิดาของนาง?
นอกจากความโศกเศร้าและความรู้สึกผิดต่อน้องหญิงของตัวเองแล้ว การฟื้นคืนชีพขึ้นมาในจวนซู่เฉิงโหวนั้นสำหรับนางกลับถือว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง ในตอนแรกจวนซู่เฉิงโหวมีส่วนในการใส่ร้ายคนจากตระกูลกู้หลายคน หากตนต้องการทำเพื่อตระกูลกู้ เพื่อน้าหญิง เพื่อแก้แค้นให้น้องหญิงล้วนต้องวางแผนอย่างรอบคอบ ถึงอย่างไรก็ตาม…การที่ตนเคยสัมผัสกับการฟื้นคืนชีพจากความตายมา แม้กระทั่งไฟที่โหมกระหน่ำก็สามารถผ่านมาได้ แล้วจะมีสิ่งใดที่ทนไม่ได้อีกเล่า
“เจ้าหนูสี่?”
“หลานผิดไปแล้ว ท่านย่าโปรดอภัยให้หลานด้วยเจ้าค่ะ” มู่ชิงอีทำความเคารพอย่างสง่างามพร้อมกับพูดขึ้นเบาๆ
มู่ฮูหยินผู้เฒ่าคลายคิ้วที่ขมวดมุ่น พยักหน้าเล็กน้อย “ไม่เป็นไร เจ้าสำนึกผิดก็ดีแล้ว ในเมื่อเจ้าเป็นถึงบุตรีของจวนซู่เฉิงโหว ย่ากับพ่อของเจ้าจะไม่รักเจ้าได้อย่างไรกัน”
“หลานเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นท่าทีของนางเช่นนี้ มู่ฮูหยินผู้เฒ่าก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ แม้จะรู้สึกว่าหลานสาวอ่อนแอผู้นี้ค่อนข้างแตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อย คงเพราะประสบพบเจอเรื่องเช่นนี้ไป นางจึงรู้กาลเทศะขึ้นกระมัง
มู่ชิงอียิ้มอย่างเย็นชาอยู่ในใจ รัก? ผลของความรักคือ น้องหญิงของนางที่เป็นถึงบุตรีของตระกูลแต่กลับต้องอาศัยอยู่ในเรือนที่คับแคบจนไม่คู่ควรกับฐานะ รักคือได้รับบาดเจ็บหนักแต่กลับไม่มีผู้ใดสามารถเข้าเยี่ยมเยียนได้? รักคือการตายไปอย่างคลุมเครือของอีเอ๋อร์? ช่างเป็นความรักที่เจ็บปวดเสียจริง รัก…
พูดคุยกับมู่ฮูหยินผู้เฒ่าสักพัก มู่ฮูหยินผู้เฒ่าก็รู้สึกเหนื่อยจึงบอกให้ทุกคนกลับออกไป
หลังจากออกจากเรือนเต๋ออาน มู่ชิงอีและจูเอ๋อร์ก็เตรียมจะกลับเรือนจื่อเถิงซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของนาง เพิ่งจะก้าวเท้าออกไปเพียงไม่กี่ก้าว ก็ถูกมู่อวิ๋นหรงที่ตามมาจากด้านหลังเรียกให้หยุด “มู่ชิงอี หยุดนะ!”