หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 30 ชิงอีออกจากเมือง
ตอนที่ 30 ชิงอีออกจากเมือง
“ชิงชิงคิดจะช่วยเหลือคุณชายใหญ่ตระกูลกู้?” หรงจิ่นเอ่ยถามชิงอีด้วยรอยยิ้ม ท่าทางราวกับไม่ได้ตั้งใจที่จะถาม เพียงแค่เอ่ยขึ้นมาอย่างลอยๆ
มู่ชิงอีคิ้วขมวด “ชิงอีไม่ได้สนิทกับองค์ชายเก้าขนาดนั้น องค์ชายเรียกหม่อมฉันว่าคุณหนูสี่เถิดเพคะ”
“ชิงชิงอย่าคิดเช่นนั้น หากชิงชิงไม่ถือสาก็เรียกข้าว่าจื่อจิ่น หรือว่า…จื่ออวี๋ก็ได้” หรงจิ่นบอกด้วยเสียงนุ่มนวล
ถึงแม้จะพบเจอกันเพียงแค่สองครั้ง ชิงอีก็รู้สึกลึกๆ ว่าองค์ชายเก้าผู้นี้ช่างเป็นคนที่เอาแต่ใจเป็นอย่างมาก คิ้วงามขมวดขึ้นเล็กน้อย เพิกเฉยต่อการหยอกล้อของหรงจิ่น เอ่ยตอบ “ผู้น้อยไม่มีอะไรที่จะสามารถแลกเปลี่ยนกับองค์ชายเก้าได้ เชิญท่านกลับไปเถิดเพคะ”
ถูกนางปฎิเสธถึงสามครั้งสามครา แต่หรงจิ่นกลับไม่โมโห หยิบหนังสือที่วางอยู่ตรงหน้าชิงอีมาพลิกไปพลิกมา พูดด้วยรอยยิ้ม “บันทึกพงศาวดาร? คงไม่ใช่ว่าสตรีแคว้นหวาทุกคนจะชอบอ่านหนังสือประเภทนี้หรอกกระมัง น่าประหลาดใจจริงเชียว หนังสือที่หาคนอ่านได้ยากเช่นนี้ ความชอบของชิงชิงค่อนข้างจะพิเศษยิ่งนัก”
อันที่จริงแล้ว หนังสือประเภทบันทึกพงศาวดารไม่ได้พบเห็นได้ยาก สามารถพูดได้ว่าเป็นหนึ่งในหนังสือที่นักวรรณกรรมชื่อดังจำเป็นต้องอ่าน เพราะเป็นบันทึกเหตุการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจ การเมือง และการทหารของแว่นแคว้นเมื่อหลายพันปีก่อน แต่สำหรับนักวรรณกรรมธรรมดาทั่วไป ก็ยังหายากที่จะเจอผู้ที่อ่านได้อย่างเข้าใจถ่องแท้ โดยปกติแล้วหนังสือประเภทนี้จึงไม่ค่อยเป็นที่โปรดปรานสักเท่าไรในหมู่สตรี
รู้จักกับชายที่ไล่อย่างไรก็ไม่ไปผู้นี้แล้ว มู่ชิงอีจึงทำได้เพียงแค่นั่งลง ถามขึ้นอย่างเอือมระอา “องค์ชายเก้าต้องการแลกเปลี่ยนสิ่งใดกับชิงอีเพคะ”
รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาของหรงจิ่น “เช่นนี้ถึงจะถูกต้อง ข้าไม่คิดอยากจะสู้กับชิงชิง ข้าสามารถช่วยเจ้า ช่วยคุณชายใหญ่ตระกูลกู้ออกมาได้”
สีหน้าของมู่ชิงอีไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย เพียงเอ่ยถามกลับ “เช่นนั้น หม่อมฉันต้องแลกเปลี่ยนสิ่งใด”
หรงจิ่นยิ้มแล้วพูด “ข้ายังขาดสะใภ้ ชิงชิงจะเต็มใจให้เกียรติเป็นได้หรือไม่”
มู่ชิงอีจ้องมองไปยังชายรูปงามที่อยู่ด้านหน้าอย่างเงียบสงบ ชั่วครู่จึงเอ่ยปากตอบพร้อมรอยยิ้ม “คุณสมบัติของชิงอีนั้นธรรมดา ไม่คู่ควรกับองค์ชายกระมัง ยิ่งไปกว่านั้น ชิงอีไม่ได้มีเจตนาจะดูแคลนองค์ชาย แต่อำนาจขององค์ชายในแคว้นหวานี้ เกรงว่าจะไม่สามารถช่วยพี่ใหญ่…พี่ชายใหญ่ได้”
โดนคนพูดจาใส่อย่างเปิดเผยไร้ความปราณี องค์ชายหรงจิ่นก็ยังคงไม่โกรธเคือง เพียงแค่ยิ้มและพูดอย่างมีเลศนัย “อิทธิพลของข้านั้นมากมายเทียบฟ้า กระนั้น ก็ยังไม่สามารถบุกเข้าไปในจวนหนิงอ๋องได้ แต่แน่นอนว่า หากชิงชิงต้องการล่ะก็ ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต ข้าก็จะทำให้สำเร็จให้จงได้”
“องค์ชายหมายความว่า ไม่สามารถสร้างศัตรูได้ แต่สามารถใช้กลอุบายได้?” มู่ชิงอีคิ้วขมวด เมื่อหรงจิ่นพยักหน้า นางก็เผยยิ้มมุมปาก “หากเป็นเช่นนั้น ชิงอีคงไม่จำเป็นต้องให้องค์ชายช่วยหรอกเพคะ”
เห็นว่ามู่ชิงอีไม่หลงกลตั้งแต่แรก หรงจิ่นก็ถอนหายใจแล้วเอ่ยคร่ำครวญ “สตรีที่ฉลาดเกินไป…ไม่ดีเลยจริงๆ…” ใครกันที่พูดว่าคุณหนูสี่ตระกูลมู่นั้นไม่ได้เฉลียวฉลาดมากมาย เขาจะฆ่ามัน!
ใบหน้าของชิงอีปรากฏเพียงแค่รอยยิ้ม นัยน์ตาใสจ้องมองไปยังชายหนุ่มท่าทางเกียจคร้านทำตัวสบายๆ ตรงหน้า
ทันใดนั้น หรงจิ่นก็ถามขึ้นมาว่า “ไม่ทราบว่าข้า…จะสามารถบอกเจ้าให้ล่วงรู้ถึงสาเหตุการเสียชีวิตของฉินกั๋วฮูหยินได้หรือไม่”
มู่ชิงอีตะลึงงัน ทันใดนั้นสายตาที่เย็นชาก็ถูกส่งไปยังหรงจิ่น หากเป็นคนปกติทั่วไปแล้ว โดนสายตาเย็นชาเช่นนี้จ้องมองก็คงรู้สึกอึดอัด แต่หรงจิ่นกลับไม่ได้คิดสิ่งใด เพียงแค่เอนหลังพิงเก้าอี้ด้วยสีหน้าอารมณ์ดีกับแววตาที่ดูง่วงนอน
มู่ชิงอีค่อยๆ ถอนสายตาที่จ้องมองหรงจิ่นออกมา ก้มหน้าพลางครุ่นคิด ผ่านไปชั่วครู่จึงตอบอย่างนิ่ง สงบ “มือขององค์ชายช่างยืดยาวยิ่งนัก หรืออาจจะพูดได้ว่า…ความมุ่งมั่นขององค์ชายช่างแรงกล้า”
องค์ชายจากแคว้นอื่น แต่กลับมีเส้นสายในเมืองหลวงที่ห่างไกลหลายพันลี้อย่างแคว้นหวามากมายยิ่งนัก ใครเล่าจะเชื่อถ้าหากพูดว่าเขาไม่ได้มีเจตนาแอบแฝงอันใด
ความเย็นเยียบลึกๆ ที่อยู่ในแววตาของหรงจิ่นค่อยๆ แผ่กระจายหายไป แทนที่ด้วยร่องรอยบางๆ ของความชื่นชม ถอนหายใจเบาๆ “ชิงชิงเฉลียวฉลาดเช่นนี้ยิ่งทำให้ข้าไม่อยากจะยอมแพ้ ชิงชิงไม่ต้องเก็บไปใส่ใจ ข้าตอนนี้ไม่ได้รู้สึกสนใจในแคว้นหวา”
มู่ชิงอียกยิ้มเย็นชาขึ้นจางๆ ตอนนี้ไม่ได้สนใจแคว้นหวา ก็เพราะว่าตอนนี้เขาไม่มีความสามารถมากพอ ชิงอีสามารถมองทะลุความมุ่งมาดปรารถนาในดวงตาของชายผู้นี้ได้ เพราะว่าเขาไม่ได้แอบซ่อนมันเลยแม้แต่น้อย
“ชิงชิง พวกเราตอนนี้แค่กำลังคุยเล่นกัน ไม่ใช่เจรจาแลกเปลี่ยนใช่หรือไม่” องค์ชายเก้าหรงจิ่นพูดอย่างน้อยใจเล็กน้อย ข่าวสารที่เขาองค์ชายเก้าผู้นี้เป็นคนนำมาส่งถึงหน้าประตูด้วยตัวเอง มีคนไม่น้อยที่ไม่สามารถมีโอกาสเช่นนี้แม้จะอ้อนวอนร้องขอเพียงใดก็ตาม แต่ชิงชิงกลับไม่ซาบซึ้งแม้แต่น้อย…
ความมืดมนแทรกขึ้นมาบนดวงตาของมู่ชิงอีเพียงชั่วครู่ ผ่านไปสักครู่ใหญ่ก็พยักหน้าตอบ “ได้เพคะ องค์ชายเก้าบอกความจริงเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายของท่านแม่ของข้ามา แล้ว…องค์ชายเก้าต้องการให้ชิงอีทำสิ่งใดเป็นการตอบแทนหรือเพคะ”
หรงจิ่นดวงตาเป็นประกาย แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็ได้รับการเตือนทางสายตาจากมู่ชิงอีเป็นนัยว่า ห้ามกล่าววาจาไร้สาระ ไม่เช่นนั้นก็อย่าหาว่านางไม่ไว้หน้า องค์ชายเก้ายู่ปากพลางยักไหล่ “ก็ได้ ข้าต้องการให้ชิงอีลงมือปรุงเครื่องหอมโยวหัน”
“เครื่องหอมโยวหัน? ร้านเหลิ่งเซียงคือกิจการขององค์ชายเก้า?” มีแสงวาบเข้ามาในหัวของมู่ชิงอี เรื่องราวมากมายมีคำตอบขึ้นมาทันที นางเป็นเพียงหญิงสาวในเมืองหลวงที่ไม่ได้รับความสำคัญ ไร้ซึ่งชื่อเสียง เพราะเหตุใดถึงได้ถูกองค์ชายเก้าแห้งแคว้นเย่ว์มาร้องขอด้วยตัวเอง ที่แท้ก็เป็นปัญหาที่ตามมาจากร้านเหลิ่งเซียงเมื่อไม่กี่วันก่อน
หรงจิ่นยกยิ้ม ไม่ได้ตอบอะไร มู่ชิงอีพูดเสียงเบา “องค์ชายเก้าควรจะทราบไว้ ว่าผู้ที่ทำเครื่องหอมคือพี่หญิงที่เป็นญาติผู้พี่ของหม่อมฉัน และหม่อมฉันก็ไม่ถนัดในเรื่องนี้”
หรงจิ่นไม่สนใจ “แต่ข้าคิดว่าชิงชิงนั้นสามารถทำได้ ไม่เช่นนั้น ชิงชิงก็นำเครื่องหอมที่เจ้าใช้ตอนนี้มามอบให้ข้าก่อนสักหน่อยเถิด ไม่แน่ว่าในเร็ววันนี้ ชิงชิงก็อาจจะสามารถทำออกมาได้เช่นกัน”
มุมปากของชิงอีกระตุก เครื่องหอมในห้องนางเป็นคนลงมือทำเองทั้งหมด คำพูดของหรงจิ่นนั้น แท้จริงแล้วกำลังล้อเลียนคำพูดโกหกของนางที่บอกว่าทำไม่เป็น
หรงจิ่นยิ้มแย้ม จ้องมองไปยังใบหน้าเย็นชาของหญิงงามด้านหน้า “สรุปแล้ว วันที่เครื่องหอมโยวหันถูกทำขึ้น จะเป็นวันที่ชิงชิงได้รู้เรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่เริ่มจนจบของฉินกั๋วฮูหยิน”
หลังจากตกลงทำสัญญาแลกเปลี่ยนกับหรงจิ่นไปแล้ว ชิงอีจำเป็นต้องตระเตรียมการเพื่อลงมือปรุงเครื่องหอมโยวหัน แท้จริงแล้วส่วนผสมของเครื่องหอมโยวหันไม่ได้เป็นความลับ คนที่ทำเครื่องหอมต่างก็รู้ดี เพียงแต่คนที่ปรุงเครื่องหอมโยวหันได้สำเร็จนั้นกลับมีน้อยยิ่งนัก ปีนั้นที่ตระกูลกู้ยังไม่มีเรื่องราวใดๆ นางได้ส่งเครื่องหอมโยวหันไปยังร้านเหลิ่งเซียงให้ลองใช้ คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ แค่เห็นว่าเป็นโอกาสที่หายากที่จะได้เจอคนที่เข้าใจและสามารถแลกเปลี่ยนเรื่องเครื่องหอมได้ แค่คิดไม่ถึงว่า หรงจิ่นกลับมีความหลงใหลในเครื่องหอมโยวหันขนาดนี้ แม้จะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดแต่หรงจิ่นชายผู้นี้ค่อนข้างอันตราย ทำให้นางอยากหนีห่าง แต่ตอนนี้กลับถูกเขานำสาเหตุการตายของน้าหญิงมาใช้ต่อรอง ถึงแม้นางจะไม่สามารถปรุงเครื่องหอมนี้ได้ ถึงอย่างไรนางก็คงเสาะหาทุกวิถีทางปรุงมันออกมาให้ได้อยู่ดี
แต่มู่ชิงอีไม่มีเวลาปรุงเครื่องหอมที่จวนซู่เฉิงโหว เพราะเช้าตรู่ของวันถัดไป ผู้ดูแลจากเรือนเต๋ออานก็มาแจ้งให้นางเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อเดินทางออกจากเมือง เมื่อส่งผู้ดูแลที่มาถ่ายทอดคำสั่งกลับไปเรียบร้อยแล้ว มู่ชิงอีก็ยกยิ้มเย็นชา ดูแล้วมู่ฮูหยินผู้เฒ่าคงเกลียดตนยิ่งนัก แต่แสดงท่าทีรังเกียจอย่างง่ายดายเช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าผู้นี้คงจะไม่เคยกล้ำกลืนฝืนทนเรื่องลำบากอะไรกระมัง และนางก็เกียจคร้านเกินกว่าจะไปกล่าวลาที่เรือนเต๋ออาน เพียงเก็บข้าวของที่จะพกไปด้วยอย่างง่ายๆ แล้วพาจูเอ๋อร์ออกจากจวนไป