หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 41 ความกลัดกลุ้มของซู่เฉิงโหว
ตอนที่ 41 ความกลัดกลุ้มของซู่เฉิงโหว
“ท่านพ่อ ลูกไปส่งน้องหญิงสี่กลับเรือนพำนักก่อนนะขอรับ” มู่เชินกล่าว
“ไปเถิด” มู่ฉังหมิงโบกมือ จู่ๆ ก็เกิดเรื่องราวเช่นนี้ขึ้น เขาอยากจะอยู่เงียบๆ สักพักเพื่อไตร่ตรองความคิดของตัวเอง
มู่ชิงอีกับมู่เชินเดินเคียงไหล่กันออกไป รอบข้างเงียบสงัดและมืดมิด จูเอ๋อร์เดินไปข้างหน้าพร้อมกับถือตะเกียงโดยมีมู่เชินและมู่ชิงอีเดินตามติดข้างหลัง ระหว่างทาง มีเพียงเสียงย่ำก้าวของคนสามคนกับเสียงแมลงเท่านั้น
“อุบายของน้องหญิงสี่ช่างแยบยลยิ่งนัก” หลังจากเข้าไปในเรือนพำนักของมู่ชิงอีแล้ว มู่เชินก็หัวเราะออกมา
มู่ชิงอียิ้มอย่างแผ่วเบา ใบหน้านิ่งสงบ “ชิงอีไม่เข้าใจว่าพี่ใหญ่กำลังพูดเรื่องอะไรอยู่หรือเจ้าคะ”
มู่เชินจ้องมองไปยังสตรีเจ้าของใบหน้างดงามที่อยู่ด้านหน้าของเขา เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “น้องหญิงสี่ไม่จำเป็นต้องปิดบัง เรานั้นต่างก็เป็นคนกันเอง” มู่เชินไม่ใช่คนโง่ เมื่อได้รู้ถึงพื้นเพของหลานอวี้ ก็คาดเดาได้อย่างรวดเร็วว่ามู่หลิงต้องการกระทำสิ่งใด แต่สุดท้ายแล้วผู้ที่โชคร้ายกลับเป็นตัวมู่หลิงเอง
ที่วัดเป้ากั๋วแห่งนี้ คนที่อยากจัดการกับมู่หลิง นอกจากน้องหญิงสี่ผู้หยั่งรู้คนนี้แล้วจะยังมีใครอีก น่าเสียดายที่จนกระทั่งตอนนี้ แม่ลูกอนุซุนก็ยังไม่รู้ว่าน้องหญิงสี่ผู้นิ่งเงียบหาได้ใช่ลูกแมวที่ไร้พิษสงไม่
มู่ชิงอีส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “คำกล่าวของพี่ใหญ่นั้นลึกซึ้งเกินไป ชิงอีรู้สึกงุนงงยิ่งนัก หากพี่ใหญ่มีทักษะในการคาดเดาขนาดนี้ ก็ควรรีบบอกให้ท่านพ่อตรวจสอบว่ามีผู้ใดต้องการใส่ร้ายพี่รองบ้าง หรือว่า…พี่รองนั้นสติเลอะเลือนเพียงชั่วครู่จริงๆ”
ดวงตาของมู่เชินเป็นประกาย จับจ้องไปที่มู่ชิงอีแล้วเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย “เลอะเลือนเพียงชั่วครู่? พี่รองของเจ้านั้นฉลาดล้ำลึก จะเลอะเลือนได้อย่างไร”
มู่ชิงอีกะพริบตา กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “คงเป็นสิ่งใดไปได้ถ้าไม่ใช่เพราะเลอะเลือนเพียงชั่วครู่ ไม่เช่นนั้น หรือว่าพี่ใหญ่อยากจะฆ่าแกงน้องชายในสายเลือดของตัวเองหรือเจ้าคะ”
ดวงตาของมู่เชินเป็นประกาย
แท้จริงแล้ว ตนอยากจะใช้เรื่องนี้เหยียบย่ำมู่หลิงให้ตกตายไป แต่เมื่อฟังจากความหมายของน้องหญิงสี่แล้ว หากตนทำไม่สำเร็จ แน่นอนว่าเมื่อมู่หลิงยืนหยัดขึ้นได้อีกครั้ง ผู้ที่โชคร้ายคนแรกก็คงเป็นเขา
มู่ชิงอีถอนหายใจในใจอย่างช่วยไม่ได้
ไม่ใช่ว่านางไม่อยากฆ่ามู่หลิง แต่เรื่องเพียงเรื่องเดียวไม่สามารถทำอะไรได้ มู่ชิงอีค่อยๆ ก้าวเท้าเข้าไปหามู่เชิน กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “พี่ใหญ่อย่าลืมโหรวเฟยสิเจ้าคะ”
ทันใดนั้น ใบหน้าของมู่เชินก็เปลี่ยนสีอย่างรวดเร็ด มู่ชิงอีหันหลังกลับด้วยรอยยิ้มและกล่าวขึ้น “ท่านพ่อต้องการให้บรรดาบุตรชายและบุตรีนั้นสามัคคีกันเสมอ ถ้าพี่ใหญ่ใจร้ายเกินไป ก็อย่าลืมว่าจวนซู่เฉิงโหวนั้นมีบุตรชายมากกว่าสองคน พี่ใหญ่ส่งเพียงเท่านี้ก็พอ ชิงอีขอตัวลาก่อน”
เมื่อเห็นประตูห้องปรากฏขึ้นที่ด้านหน้า สีหน้าของมู่เชินก็เปลี่ยนไป หลังจากฟังคำกล่าวของมู่ชิงอีแล้ว เหงื่อก็ไหลซึมออกมาอย่างห้ามไม่ได้
ถ้าเขาใช้เรื่องนี้เหยียบย่ำมู่หลิง…ถ้ามู่หลิงโดนสังหารจริงๆ เกรงว่าโหรวเฟยและอนุซุนคงไม่ปล่อยตนไปแน่ ไม่เพียงเท่านั้น เขายังฝังประทับความโหดร้ายลงในใจท่านพ่ออีกด้วย เกรงว่าน้ำหนักของตนในใจของท่านพ่อจะน้อยกว่าน้องสามมู่เคอที่อายุเพียงสิบเอ็ดขวบปีเสียอีก
ภายในเรือนพำนัก มู่ชิงอีเดินผ่านโถงรับรอง ตรงไปยังห้องนอนของนาง ทันทีที่เดินเข้ามา ภายในห้องก็มีเสียงปรบมือดังขึ้นอย่างเนิ่บนาบ มู่ชิงอีคิ้วขมวดแต่นางคาดเดาเอาไว้อยู่แล้วว่าเป็นเพราะคืนนี้มีละครเช่นนี้
หรงจิ่นไม่ได้รบกวนนางแค่เพียงครั้งสองครั้ง จนนางเริ่มชินชาไปแล้ว
ทันทีที่หันหน้ากลับมา ก็พบหรงจิ่นนอนเอนกายอยู่บนเก้าอี้ท่าทางเกียจคร้าน ดวงตาสะลึมสะลือดูราวกับว่าเขาพึ่งจะตื่นจากการนอน
“ละครคืนนี้ช่างสนุกเสียจริง กลอุบายที่เรียบง่ายแต่ได้ผลดีเยี่ยมเช่นนี้ ข้าผู้นี้ขอนับถือ” หรงจิ่นกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เพคะ?” มู่ชิงอีเลิกคิ้วขึ้น
หรงจิ่นพูดพึมพำ “หัวใจของหญิงสาวเปรียบเสมือนยาพิษร้าย คำกล่าวของคนรุ่นก่อนๆ นี้ ไม่ได้หลอกลวงจริงๆ” แม้จะกล่าวเช่นนี้แต่ใบหน้ากลับเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม
มู่ชิงอีไม่ได้ใส่ใจมากนัก พูดด้วยรอยยิ้มแผ่วเบา “ต้องขอบพระทัยองค์ชายเก้า สำหรับความช่วยเหลือเพคะ”
เดิมที มู่ชิงอีจะต้องลงมือตระเตรียมการมากมายเพื่อจัดการกับมู่หลิง และอาจจะทิ้งเบาะแสบางอย่างให้สาวมาถึงตัวนางได้ เพราะไม่ว่านางจะฉลาดสักเพียงไร แต่ทุกคนล้วนมีจุดอ่อน ทว่าองค์ชายหรงจิ่นนั้นเป็นผู้ที่เก่งในด้านการตอบแทนบุญคุณ ทำให้มู่ชิงอีที่กำลังไม่สบายใจอยู่นั้นคลายกังวล เขาได้จัดสรรคนของตัวเองให้มู่ชิงอีใช้งาน นี่เป็นเหตุผลว่าเหตุใดหลานอวี้ไม่เพียงแต่ไปไม่ถึงห้องของมู่ชิงอี แต่ยังพลาดพลั้งวิ่งเข้าไปในห้องของมู่หลิงได้
“ชิงชิงล่วงรู้ได้อย่างไรหรือว่าองค์หญิงหมิงเวยพำนักอยู่ในวัดเป้ากั๋ว” หรงจิ่นเอ่ยถามด้วยความสงสัย
ถ้าคนส่วนใหญ่ในจวนซู่เฉิงโหวไม่รู้เรื่องนี้ บุตรีผู้ไม่เป็นที่โปรดปรานของจวนซู่เฉิงโหวก็ไม่ควรจะล่วงรู้ได้ และมู่ชิงอีไม่เพียงรู้เท่านั้น ยังทำสิ่งที่องค์หญิงใหญ่ชื่นชอบที่สุดอย่างเครื่องหอมกั๋วเซ่อได้
มู่ชิงอีหลุบตามองต่ำ กล่าวอย่างแผ่วเบา “เมื่อหลายปีก่อน หม่อมฉันเคยมายังวัดเป้ากั๋ว ยามนั้น…ได้บังเอิญเห็นองค์หญิงใหญ่อยู่ที่นี่ อีกทั้ง…ยังใช้เครื่องหอมกั๋วเซ่อด้วยเพคะ”
“ชิงชิงมั่นใจได้อย่างไรว่านั่นเป็นสิ่งที่องค์หญิงใหญ่ชื่นชอบ?” อันที่จริง เครื่องหอมกั๋วเซ่อนั้นเป็นกลิ่นที่สตรีทั่วไปนิยม มู่ชิงอีกล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ ว่า “หากผู้ปฏิบัติธรรมไม่อาจปล่อยวางได้ ก็คงจะโปรดปรานจริงๆ เพคะ”
“นั่นก็สมเหตุสมผล” หรงจิ่นพยักหน้า ยกมือขึ้นลูบคางแล้วมองไปที่มู่ชิงอีอย่างครุ่นคิด
มู่ชิงอีขมวดคิ้วยกถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นจิบอย่างใจเย็น คืนนี้แม้ว่านางจะไม่ต้องลงแรงอะไร แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเกิดจากการคำนวณที่แม่นยำของนาง ซึ่งหากมีข้อผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย แผนการทั้งหมดก็อาจจะถูกคนอื่นมองออกได้ หากเป็นเช่นนั้น ไม่เพียงแต่มู่ฉังหมิงจะไม่สามารถอดทนอดกลั้นต่อนางได้ แต่ยังจะทำให้องค์หญิงใหญ่ขุ่นเคือง อีกทั้งยังดึงดูดความสนใจของมู่อวิ๋นหรงและคนอื่นๆ อีกด้วย
มู่ชิงอีไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกมา หรงจิ่นเองก็ไม่ได้ชวนคุยอีก เหยียดกายบนที่นั่งพลางสังเกตหญิงสาวที่อยู่ตรงข้ามอย่างพินิจพิเคราะห์
การแสดงของมู่ชิงอีในค่ำคืนนี้ทำให้ตนประหลาดใจอยู่ไม่น้อย นางเล่นละครได้อย่างแนบเนียนหมดจด กล้าหาญโหดเหี้ยม การลงมือของมู่ชิงอีในครั้งนี้ถือว่าเป็นการทำลายมู่หลิงจนหมดสิ้น ถูกจับได้ว่าร่วมรักกับบุรุษในวัดต่อหน้าองค์หญิงใหญ่ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ แม้แต่โหรวเฟยในวังก็คงไม่สามารถยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือมู่หลิงได้ ความสามารถของมู่หลิงนั้นไม่ได้เหนือกว่าคนอื่น เขาจะก้าวมาถึงจุดนี้ไม่ได้หากไร้ซึ่งชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลคอยหนุนหลัง และถ้าหากซู่เฉิงโหวไม่ต้องการทำลายชื่อเสียงนี้ เกรงว่ามู่ฉังหมิงคงจะต้องพิจารณาอย่างจริงจังในเรื่องของผู้สืบทอดอำนาจของเขาเสียแล้วกระมัง
“มู่ฉังหมิงจะปกป้องมู่หลิงหรือไม่” หรงจิ่นเอ่ยถามด้วยความสงสัย
อย่างไรแล้วเขาก็เป็นถึงบิดาของชิงชิง นางคงจะรู้จักเขาเป็นอย่างดี
ไม่เลว!
มองดูสาวงามที่โหดเหี้ยมเยือกเย็นตรงหน้า ในใจของหรงจิ่นก็นึกชื่นชมอย่างหลงใหล เป็นเพราะในตอนแรกองค์ชายเก้าหรงจิ่นไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะสนใจหญิงสาวตรงหน้าฉันท์ชายหญิง แต่ในยามนี้เขากลับรู้สึกขึ้นมาว่าหญิงสาวตรงหน้าช่างเป็นสตรีที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเจอ ภายใต้ใบหน้าที่ใสซื่อสะอาดดุจธารใส แต่หัวใจกลับเย็นชา เฉียบแหลมและเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น สง่างามดุจดอกไป่เหอ[1] ทั้งที่เป็นดอกลำโพง[2] ซ่อนเร้นเจตนาสังหารเอาไว้
[1]ดอกไป่เหอ หรือดอกลิลลี่
[2]ดอกลำโพง เป็นดอกไม้ชนิดหนึ่งที่มีพิษ