หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 532 ทูตจากแคว้นหวา (2)
กู้ซิ่วถิงพยักหน้า “เข้าใจก็ดี หากใจดีเกินไปก็จะดูอ่อนแอ หากทำเกินกว่าเหตุไปก็จะดูโหดร้าย หลักการของนักปกครอง ชั่วร้ายแต่อย่าลืมความเมตตา การเกิดการตายเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ หลักปรัชญาและหลักการปกครองต้องไปพร้อมกันถึงจะยืนยาว”
มู่ชิงอีพยักหน้า ยิ้มกล่าว “ขอบคุณคำชี้แนะของพี่ใหญ่ ชิงอีจะจำใส่ใจไว้”
กู้ซิ่วถิงส่ายศีรษะยิ้มบางเอ่ย “ชิงอีเป็นคนฉลาด แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยทำให้ข้าต้องเป็นห่วง ต่อให้พี่จะไม่พูด ไม่ช้าก็เร็วเจ้าก็ต้องเข้าใจอยู่ดี”
มู่ชิงอีเข้าใจในทันที พี่ใหญ่ไม่ได้เป็นห่วงนางแต่เป็นห่วงหรงจิ่น แต่ด้วยนิสัยของหรงจิ่น เกรงว่าตัวเขาเองก็คงรู้ดีแต่ใช่ว่าจะอดกลั้นได้ กู้ซิ่วถิงมองนางอย่างเข้าใจดีเอ่ย “เพราะด้วยนิสัยของเขา เจ้าถึงยิ่งติดบ่วงพันธนาการ แต่ในเมื่อเจ้าเลือกเขาแล้ว พี่ก็คงไม่พูดอะไรมาก เพียงแต่พี่หวังว่าสักวันเจ้าจะไม่พลอยเดือดร้อนไปพร้อมกับเขาจนทำให้พี่ปวดใจไปด้วย” นิสัยของหรงจิ่นอดทำให้คุณชายซิ่วถิงนึกหวั่นใจไม่ได้จริงๆ
“พี่ใหญ่…วางใจเถิด” เงียบไปครู่หนึ่ง มู่ชิงอีถึงเอ่ยขึ้นเสียงเบา
กู้ซิ่วถิงถอนหายใจ “หากเลือกตามมาตรฐานฮ่องเต้ผู้ทรงปัญญา ชาติหน้าตระกูลกู้ก็ไม่มีทางเลือกคนอย่างหรงจิ่นแน่นอน แต่…ความจริงใจที่เขามีต่อเจ้านับว่าไม่เลว กระนั้นหากพูดเรื่องเป็นตัวเลือกฮ่องเต้ที่ดีข้ากลับไม่วางใจนัก เอาเถอะ…ไม่ว่าเช่นไรก็ยังมีพี่อยู่”
คำว่าฮ่องเต้ผู้ทรงปัญญาที่นึกถึงใต้หล้าจริงๆ นั้น…ทำให้กู้ซิ่วถิงไม่เชื่อหรอกว่าหรงจิ่นจะรักมู่ชิงอีเพียงคนเดียว เพราะฮ่องเต้ผู้ทรงปัญญาจะรักเพียงบ้านเมืองโดยไม่สนใจสาวงามและเพื่อใต้หล้าก็พร้อมเสียสละได้ทุกอย่าง คนประเภทนี้หากเป็นเมื่อก่อนต่อให้กู้ซิ่วถิงจะไม่ชื่นชมแต่ก็พอเข้าใจได้ แต่ตอนนี้เขากลับชอบคนที่ทำทุกอย่างเพื่อน้องสาวของเขามากกว่า
“พี่ใหญ่” มู่ชิงอีดวงตาแดงก่ำแล้วพุ่งเข้าใส่อ้อมอกของกู้ซิ่วถิงโดยไม่พูดอะไร
กู้ซิ่วถิงเหลือบมองไปยังมุมมุมหนึ่งอย่างขบขัน ก่อนจะยกยิ้มลูบกลางหลังของนางกล่าว “เอาเถอะ เป็นถึงอัครมหาเสนาบดีแห่งแคว้นแล้วยังขี้แยอีกหรือ เจ้าเก็บภาพวาดไว้เถิด ข้าจะไปหาพี่ชาย”
“เจ้าค่ะ” มู่ชิงอีรู้สึกเขินอายอยู่บ้าง ยามปกตินางไม่ได้รู้สึกอ่อนไหวง่ายขนาดนี้ กู้ซิ่วถิงลูบไหล่น้องสาวด้วยรอยยิ้มก่อนจะหมุนตัวเดินไปทางหลังจวน
เขาต้องรู้แน่ๆ ว่าข้ากำลังแอบฟังอยู่!ตรงหัวมุมทางเดิน หรงจิ่นกัดฟันกรอดมองเงาแผ่นหลังที่เดินจากไปอย่างสง่างามของคุณชายซิ่วถิงด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว เขาจงใจพูดให้ข้าได้ยินกระมัง ต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ! แต่การนินทาลับหลังนั้นต้องแอบทำลับหลังไม่ใช่หรือ!
“ท่านคงได้ยินคำพูดของพี่ใหญ่แล้วกระมัง” มู่ชิงอีก้มหน้าก้มตาเก็บภาพวาดพลางเอ่ยถามเสียงเรียบ
หรงจิ่นยู่ปากแล้วเดินออกมาอย่างช้าๆ “ได้ยินแล้ว ก็แค่ฆ่าหนานกงเจวี๋ยกับหรงเซวียนไม่ได้มิใช่หรือ แค่ไม่ฆ่าก็ได้แล้วนี่นา”
มู่ชิงอีถอนหายใจเอ่ย “ในใจของท่านคงรู้ดีกระมัง องค์ชายเก้าเฉลียวฉลาดเหนือใคร จะต้องให้ใครมาอธิบายเหตุผลอีกเล่า” สิ่งที่กู้ซิ่วถิงพูดใช่ว่าหรงจิ่นจะไม่เข้าใจ เพียงแต่เขาไม่อยากทำแบบนั้น ในเมื่ออยากฆ่าใครทำไมต้องเก็บคนพวกนั้นไว้ด้วย
ครั้นเห็นนางมุ่นคิ้วงาม หรงจิ่นก็อดปวดใจขึ้นมาไม่ได้ ที่แท้ชิงชิงก็คอยเป็นกังวลแทนเขามาตลอด ครั้นนึกถึงคำพูดของกู้ซิ่วถิงเมื่อครู่ หรงจิ่นก็ดึงมือของนางมาแล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ข้ารู้ว่าพี่ใหญ่พูดถูก วันหน้าข้าจะระวัง ครั้งนี้ข้าก็ไม่ได้ฆ่าใครมิใช่หรือ ข้ายังอยากเป็นราชาของใต้หล้า แล้วจะทำทุกอย่างล่มกลางทางได้ที่ไหนกัน”
มู่ชิงอีมองเขาอย่างเงียบๆ ท่านไม่ได้ฆ่าใครก็จริง ท่านก็แค่จงใจไม่สนใจพวกเขา แต่รอเวลาที่พวกเขาก่อเรื่องวุ่นวายมากเท่าไรถึงจะระเบิดฆ่าทุกคนทิ้งในรวดเดียวจนเกลี้ยงต่างหาก
เมื่อเห็นเขามองใบหน้ารูปงามของตนอย่างระมัดระวัง มู่ชิงอีก็หลุดยิ้มออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ จากนั้นก็อิงแอบในอ้อมอกเขาก่อนเอ่ยเสียงเบา “จะโทษท่านก็ไม่ได้ ทั้งๆ ที่หม่อนฉันรู้…แต่ก็ไม่ได้โน้มน้าวท่านมิใช่หรือ พวกเรา…” ไม่ว่าภายนอกจะสดใสเพียงใด แต่ภายในใจของพวกเขากลับซ่อนไอสังหารไว้ พี่ใหญ่พูดถูก คนอย่างพวกเขาอาศัยปัญญาความเฉลียวฉลาดเหนือใครอาจจะแก่งแย่งแคว้นเย่ว์มาได้ แต่ใช่ว่าจะช่วงชิงใต้หล้ามาได้เสียทีเดียวการจะช่วงชิงใต้หล้ามาได้ไม่จำเป็นต้องกุมใต้หล้าได้ทั้งหมด แต่หากฆ่าคนทั้งหมดแล้ว ใช่ว่าพวกเขาจะจัดการเองได้ทุกเรื่อง อย่างน้อยๆ…ก็ต้องเก็บตระกูลหนานกงไว้ ถึงแม้เดิมทีพวกเขาวางแผนจะถอนรากถอนโคนทั้งหมดก็ตาม
ครั้นได้สัมผัสผิวเนียนนุ่มของหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมอก หรงจิ่นก็ฉีกยิ้มอย่างพออกพอใจ “เช่นนั้น…ตอนนี้ทำให้ข้าได้เห็นวิธีการกำราบคนพวกนั้นของชิงชิงได้หรือไม่ หากพวกเขาว่าง่ายละก็ ข้าก็ยินดีเป็นฮ่องเต้ผู้ทรงปัญญา แต่เรื่องนี้ค่อยว่ากันวันหน้า วันนี้ชิงชิงต้องกลับวังไปกับข้าด้วย”
มู่ชิงอีหลุดขำออกมา เกรงว่าชาติหน้าหรงจิ่นก็คงไม่มีมาดของการเป็นฮ่องเต้ผู้ทรงปัญญาเลยสักนิด แต่ไม่เป็นไร เพราะในเมื่อนางก็ไม่ได้เป็นขุนนางที่ดีเช่นกัน
“ไม่ได้เพคะ หม่อมฉันรับปากกับพี่ชายไว้แล้วว่าช่วงที่เขาอยู่ในแคว้นเย่ว์ หม่อมฉันจะอยู่จวนเป็นเพื่อนเขา” มู่ชิงอีเอ่ยปฏิเสธอย่างจนใจ
“ตกลงพี่ใหญ่ไม่พอใจข้าเรื่องใดกันแน่!” หรงจิ่นขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน มู่ชิงอีแอบหัวเราะเริงร่า จะบอกเขาไม่ได้เด็ดขาดว่าพี่ใหญ่แค่เห็นเขาแล้วขัดตาก็เท่านั้น
“มั่วเวิ่นฉิง”
ในสวนเงียบสงบมุมหนึ่งหลังจวนตระกูลกู้ มั่วเวิ่นฉิงกำลังนั่งจัดยาที่อยู่บนโต๊ะหินใต้ร่มไม้ ด้านข้างยังมีขวดยาหลายขนานหลายแบบและม้วนตำราเก่าๆ เห็นได้ชัดว่ากำลังวินิจฉัยการรักษาอยู่ เดิมทีมู่ชิงอีไม่อยากรบกวน แต่เห็นท่าทีใจจดใจจ่อของมั่วเวิ่นฉิงแล้วหากนางไม่ร้องทัก เกรงว่าลากยาวไปถึงคืนนี้เขาก็คงยังไม่วางมือจากงาน ถึงแม้มั่วเวิ่นฉิงจะไม่มีสายเลือดเกี่ยวข้องกับเจ้าสำนักเย่าหวังกู่ แต่หากพูดกันเรื่องความตั้งใจในการรักษา เกรงว่าตัวอดีตของเจ้าสำนักเย่าหวังกู่เองก็คงนับถือเขาไม่แพ้กัน
ความจริงตอนที่มู่ชิงอีเดินเข้ามาในสวนมั่วเวิ่นฉิงได้ยินเสียงคนเคลื่อนไหวนานแล้ว ต่อให้ฝีเท้าของนางจะเบาเพียงใดกลับไม่ใช่คนที่ฝึกวิทยายุทธมาก่อน เพียงแต่ไม่รู้เพราะเหตุใดมั่วเวิ่นฉิงถึงไม่วางมือจากเรื่องตรงหน้าแล้วหันมาทักทายนางเหมือนในยามปกติ
“มีเรื่องใดหรือ” มั่วเวิ่นฉิงเงยหน้าเอ่ยถามเสียงเรียบ
พอถูกเขาเอ่ยถามเช่นนั้น มู่ชิงอีพลันรู้สึกว่าการจงใจมาขอบคุณเขาเรื่องนั้นออกจะดูเสแสร้งเกินไป เพียงแต่คนอย่างมั่วเวิ่นฉิงมักชวนให้รู้สึกว่าต้องพูดคุยกับเขาอย่างใส่ใจ ห้ามเพิกเฉยใส่เขาเด็ดขาด
หลังจากลังเลใจครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้น “เรื่องจวนจวงอ๋อง…เมื่อครู่ ต้องขอบคุณท่านเป็นอย่างมาก”
มั่วเวิ่นฉิงหลุบตาลงเอ่ยเสียงเรียบ “ก็ช่วยเท่าที่ช่วยได้ อีกเดี๋ยวมอบตัวหลิงซูให้ข้าจัดการก็พอ”
มู่ชิงอีเงียบไปอึดใจหนึ่ง หลิงซูเป็นคนของเว่ยอู๋จี้ แต่…ก็ไม่เป็นไร พยักหน้ากล่าว “ได้ รอจบเรื่องในเมืองหลวงเมื่อไร ข้าสัญญาว่าจะเอาตัวหลิงซูมาให้ท่านตรงหน้า ท่าน…วางแผนจะกลับเย่าหวังกู่?” เวลานี้เย่าหวังกู่ไร้หัวหน้าพึ่งพิง หากจวนจวงอ๋องจงใจสืบหาตัวการขึ้นมาเย่าหวังกู่คงหนีไม่รอด หากบอกว่าใครที่พอจะจัดการเก็บกวาดเรื่องพวกนี้ได้ก็คงไม่พ้นมั่วเวิ่นฉิง หากมั่วเวิ่นฉิงไม่สนใจเย่าหวังกู่จริงๆ ก็คงไม่ติดตามเรื่องของหลิงซูขนาดนี้ ในเมื่อเขาไม่ใช่เจ้าสำนักเย่าหวังกู่แล้ว ถึงอย่างไรหลิงซูก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา
มั่วเวิ่นฉิงเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะพยักหน้าเอ่ย “เย่าหวังกู่เป็นดั่งแรงกายแรงใจของพ่อบุญธรรม”
มู่ชิงอีเข้าใจในทันที มั่วเวิ่นฉิงดูเหมือนเย็นชาไร้หัวใจ แต่ความจริงกลับให้ความสำคัญกับญาติพี่น้องเสมอ หากเขาไร้หัวใจจริง เกรงว่าตอนนั้นคงไม่สนใจความเป็นความตายของมู่หรงอวี้ สุดท้ายก็คงไม่เกิดเรื่องถูกบีบออกมาจากเย่าหวังกู่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขายังตั้งใจเดินทางรอนแรมมาไกลเพื่อเก็บศพของมู่หรงอวี้ถึงเมืองหลวงอีกต่างหาก