หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 64 เสียโฉม แผนซ้อนแผน! (1)
เป็นพระมหากรุณาธิคุณของหม่อมฉันเพคะ
หลังจากจบเรื่องที่น่ายินดีแล้ว ฮ่องเต้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยมองไปยังสะใภ้ซุนที่ยืนอยู่อีกด้านอย่างไม่รู้ว่าจะกล่าวสิ่งใด เดิมทีสะใภ้ซุนนั้นมีฐานะเป็นเพียงสาวใช้ แม้ว่าจะเลื่อนขั้นเป็นเจ้านายมาหลายปีแล้วก็ตาม แต่นางก็เทียบไม่ได้กับสตรีที่ถูกเลี้ยงดูมาโดยตระกูลเก่าแก่ที่มีชื่อเสียง ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้เองจึงไม่ค่อยที่จะใส่ใจสะใภ้ซุนมากนัก ถึงแม้ว่าโหรวเฟยเกือบจะได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในพระสนมที่ทรงโปรดปรานที่สุดในวังหลัง แต่ฮ่องเต้ก็ไม่เคยคิดที่จะมอบยศบรรดาศักดิ์ให้แก่มารดาผู้ให้กำเนิดของนาง
เราจำได้ว่าการสมรสของหนิงอ๋องและมู่อวิ๋นหรงได้ถูกเลื่อนออกไป? เป็นเพราะอารมณ์ที่ค่อนข้างจะดี ฮ่องเต้จึงยังไม่ได้สั่งให้สะใภ้ซุนออกไปในทันที สะใภ้ซุนรีบตอบกลับว่า ทูลฝ่าบาท ถูกต้องเพคะ…การสมรสถูกเปลี่ยนเป็นเดือนแปดปีนี้เพคะ
ฮ่องเต้พยักหน้าและพูดว่า เป็นเช่นนั้นก็ดี ถึงตอนนั้นอาการบาดเจ็บของเจ้าแปดก็คงจะดีขึ้นแล้ว เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ไม่รู้ว่าฮ่องเต้นั้นทรงคิดอะไรอยู่จึงได้ขมวดคิ้วและหลังจากเงียบไม่พูดไม่จาอยู่สักพัก เขาก็ถามขึ้นว่า เราจำได้ว่าจวนซู่เฉิงโหวยังมีบุตรสาวอยู่อีกใช่หรือไม่
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของมู่เฟยหลวนก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย รีบร้อนเอ่ยอย่างยิ้มแย้มต่อหน้าสะใภ้ซุนว่า ทำให้ฝ่าบาททรงห่วงใยแล้ว แท้จริงแล้วหลวนเอ๋อร์ยังมีน้องสาวคนเล็กอยู่อีกหนึ่งคนเพคะ
บุตรีของฉินกั๋วฮูหยิน? แต่เหตุใดหลายปีมานี้จึงไม่ค่อยได้ยินข่าวคราวในเมืองหลวงเลยเล่า
ถูกต้องเพคะ สีหน้าของมู่เฟยหลวนซีดเซียวลงเล็กน้อย แม้แต่รอยยิ้มที่เดิมทีนั้นอ่อนโยนก็ยังแข็งทื่อขึ้น นางยิ้มอย่างฝืนใจพร้อมกล่าวว่า อุปนิสัยใจคอของน้องหญิงเล็กนั้นชอบเก็บตัว วันธรรมดาไม่ค่อยชอบออกไปข้างนอก อีกทั้งยังถูกเลี้ยงดูอยู่แต่ในเรือน แน่นอนว่าย่อมที่จะไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรเพคะ
อ้อ ฮ่องเต้พูดด้วยรอยยิ้ม แม้จะบอกว่าเป็นหญิงสาวในเรือนแต่ก็ไม่ควรที่จะกักตัวเองอยู่แต่ในนั้น แม่นางคนนั้นก็น่าจะอายุสิบหกปีได้แล้วกระมัง วันคล้ายวันพระราชสมภพของโอรสสวรรค์ครั้งนี้ก็ให้นางมาอยู่เป็นเพื่อนเล่นกับพระสนมที่รักเถิด
มู่เฟยหลวนยิ้มบางเอ่ย ขอบพระทัยฝ่าบาท หม่อมฉัน…ไม่ได้เจอน้องหญิงสี่มาหลายปีแล้ว หม่อมฉันเองก็ปรารถนาเช่นนี้อยู่เหมือนกันเพคะ
ฮ่องเต้ทรงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจพร้อมกับยืนขึ้นและพูดว่า พระสนมที่รักตั้งครรภ์อยู่ อย่าได้เหนื่อยจนเกินไป เราปล่อยให้มารดาของเจ้าอยู่เป็นเพื่อนเจ้าก็แล้วกัน
เพคะ น้อมส่งฝ่าบาท
น้อมส่งฝ่าบาทเพคะ
จนกระทั่งร่างเงาของฮ่องเต้ได้ลับหายไปที่ประตูพระตำหนัก มู่เฟยหลวนจึงได้ลุกขึ้นและนั่งลงบนตั่งนุ่มอันเหยียดยาว สีหน้าของนางประเดี๋ยวก็เขียวประเดี๋ยวก็ขาวแต่ก็ยังมีความงดงามแฝงไว้อยู่
สะใภ้ซุนตกใจกลัว พระสนม เป็นอะไรไปเพคะ
มู่เฟยหลวนจับตัวสะใภ้ซุนแน่นพร้อมเอ่ยถามว่า ชิงอีตอนนี้โฉมหน้าเป็นอย่างไรบ้าง
สะใภ้ซุนชะงักอยู่ครู่หนึ่ง พอมาคิดอีกทีก็เข้าใจความหมายของมู่เฟยหลวน สีหน้าที่ไม่น่าดูก็พลันปรากฏขึ้น พระสนม เกรงว่าฝ่าบาท…หากเป็นเมื่อก่อนเด็กคนนั้นไม่มีสิ่งใดต้องกังวล แต่ว่าตั้งแต่นางฟื้นจากอาการบาดเจ็บครั้งล่าสุด เด็กคนนั้นกลับยิ่งเติบโตงดงามขึ้นเรื่อยๆ
มู่เฟยหลวนนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา นางรู้ได้เองโดยธรรมชาติ เมื่อตอนที่นางนั้นจากจวนมามู่ชิงอีอายุได้สิบเอ็ดปี แม้ว่าอายุยังน้อยแต่ก็ดูออกว่านางนับเป็นหญิงงามผู้หนึ่ง ใบหน้าเล็กๆ นั่นคล้ายกับจังฮูหยินมารดาผู้ให้กำเนิดเป็นอย่างมาก เพียงแต่จังฮูหยินนั้นสุขุมเยือกเย็นราวกับต้นโบตั๋นสีขาว ในขณะที่มู่ชิงอีนั้นตั้งแต่เล็กร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง อีกทั้งอุปนิสัยใจคอยังอ่อนแอดูเหมือนกับว่าเป็นเพียงต้นกระวาน[1]ที่แสนธรรมดาเท่านั้น กระนั้นก็ไม่สามารถทำให้ความงามที่มีนั้นลดลงได้เลย
พระสนม…พระสนมอย่าได้ร้อนใจไปเพคะ ฮ่องเต้ทรงให้ความสำคัญกับพระสนม คงจะไม่ไปสนใจเด็กนั่น เมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่น่าดูของมู่เฟยหลวน สะใภ้ซุนก็รีบเอ่ยปลอบประโลม
มู่เฟยหลวนส่ายหัวและพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ให้ฝ่าบาทเห็นนางไม่ได้ ไม่ได้อย่างเด็ดขาด
เช่นนั้น…
มู่เฟยหลวนกุมมือมารดาเอาไว้แล้วกล่าวว่า ท่านแม่ ท่านกลับไปบอกท่านพ่อ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ในวันคล้ายวันพระราชสมภพของฮ่องเต้นั้นไม่สามารถให้มู่ชิงอีเข้าร่วมได้ ท่านพ่อจะเข้าใจเอง
สะใภ้ซุนพยักหน้าเอ่ย เอาล่ะ ได้ ไม่ต้องร้อนใจไป ข้าจดจำไว้แล้ว กลับไปแล้วจะบอกท่านพ่อให้ เพียงแต่ทุกวันนี้ท่านพ่อของเจ้าเอนเอียงไปทางเด็กนั่นอยู่บ้างเล็กน้อย เกรงว่าคงจะไม่ฟังข้าหรอก
มู่เฟยหลวนค่อยๆ สงบลงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า กลับไปบอกท่านพ่อถึงท่าทางของฮ่องเต้ ไม่…ข้าจะเขียนจดหมายกลับไปถึงท่านพ่อ ท่านพ่อจะรู้ว่าต้องทำอย่างไรแน่นอน
ได้ ข้าจะกลับไปประเดี๋ยวนี้
หลังจากส่งสะใภ้ซุนออกไป มู่เฟยหลวนก็นั่งอยู่ตัวคนเดียวในพระตำหนักหวาหยางที่กว้างขวางและว่างเปล่าอย่างเลื่อนลอยอยู่เป็นเวลานาน ใบหน้าที่ดูอ่อนช้อยงดงามของนางที่ปรากฏให้เห็นก็ได้ถูกชะล้างออกไป แทนที่ด้วยความโหดเหี้ยมและความดุร้าย
น้องหญิงสี่ อย่าโทษว่าเป็นเพราะพี่หญิงใหญ่โหดร้ายเลย! หากจะโทษก็โทษที่เจ้านั้นเกิดมาในจวนซู่เฉิงโหวเถิด!
เมื่อฮ่องเต้ออกจากพระตำหนักหวาหยาง เดิมทีรอยยิ้มที่มีความสุขบนใบหน้าของเขาก็จางหายไปทันที เหลือเพียงความเยือกเย็นและโหดเหี้ยม เมื่อมองย้อนกลับไปที่พระตำหนักหวาหยางอันงดงามที่อยู่ข้างหลัง สายตาของฮ่องเต้ก็ดูแปลกประหลาดแฝงด้วยเลศนัย
ฝ่าบาท ขันทีก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวังเพื่อรอรับคำสั่ง
ฮ่องเต้สะบัดแขนเสื้อ เดินตรงไปยังพระตำหนักฉินเจิ้งที่ซึ่งฮ่องเต้อาศัยอยู่พลางตรัสถามว่า กู้ซิ่วถิงยังไม่นำมันกลับมาอีกหรือ ขันทีก้มศีรษะลงไม่กล้าแม้แต่มองดูสีหน้าของฮ่องเต้ ตอบอย่างสั่นเทา ทูล…ทูลฝ่าบาท คนที่ส่งไปยังจวนหนิงอ๋องกลับมารายงานว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนกู้ซิ่วถิง…หลังจากได้ยินว่ากู้อวิ๋นเกอเผาตัวเองตาย…เขาก็จบชีวิตตัวเองตามไปด้วยแล้วพ่ะย่ะค่ะ
ฮ่องเต้หัวเราะเยาะและสะบัดแขนเสื้อเดินจากไปโดยไม่ได้ไตร่ตรองในคำพูดของขันที ขันทีที่คุกเข่าอยู่บนพื้นลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะลุกขึ้นยืนและเดินโซซัดโซเซตามไป
เมื่อกลับมายังพระตำหนักฉินเจิ้ง ฮ่องเต้ก็ทรงกวาดน้ำชาที่นางกำนัลได้ยกขึ้นมากระจัดกระจายลงบนพื้น ขันทีและนางกำนัลทั่วทั้งโถงตำหนักล้วนมีสีหน้าซีดขาวด้วยความตกใจ รีบคุกเข่าลงบนพื้นทันที
ฮ่องเต้ตรัสอย่างเยือกเย็น เรียกกงอ๋องเข้าเฝ้า!
น้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ
ฮ่องเต้หอบหายใจนั่งลงบนบัลลังก์มังกร ในดวงตาเต็มไปด้วยความดุร้าย
ฝ่าบาททรงระงับโทสะ ขอฝ่าบาทโปรดรักษาสุขภาพด้วยพ่ะย่ะค่ะ ลู่หมิงผู้ดูแลเขตพระราชฐานชั้นในที่อยู่ด้านข้างพูดโน้มน้าวอย่างระมัดระวัง ฮ่องเต้พ่นลมหายใจแล้วเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา รักษาสุขภาพ? ลูกไม่รักดีเหล่านั้นแทบอยากจะให้เรารีบตายไปกระมัง!
คำพูดคาดโทษเช่นนี้ถึงแม้ว่าลู่หมิงจะได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้มากแค่ไหนก็ไม่กล้าตอบรับ ทำได้เพียงก้มหน้าแล้วเอ่ยว่า เหล่าองค์ชายล้วนกตัญญูต่อฝ่าบาท คำพูดของเขาฮ่องเต้ไม่ได้ออกความเห็นใดเมื่อสามปีก่อนมู่หรงอวี้ได้ลดขั้นกู้อวิ๋นเกอแล้วนำตัวนางไปที่หอนางโลมและส่งกู้ซิ่วถิงไปยังจวนหนิงอ๋องเขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก คิดว่ามู่หรงอวี้เพียงโกรธชั่วขณะจึงต้องการทรมานลูกหลานตระกูลกู้เพียงเท่านั้น หากไม่ใช่เพราะตำแหน่งฮ่องเต้ไม่สามารถลงมือทำบางอย่างได้โดยเปิดเผย เขาก็ไม่ต้องการให้กู้มู่เหยียนตายไปอย่างง่ายดายเช่นนี้หรอก แต่ตอนนี้มีเรื่องจิ่วจ่วนหลิงหลงปรากฏออกมา อีกทั้งกู้ซิ่วถิงและกู้อวิ๋นเกอยังมาสิ้นชีพในช่วงเวลานี้อีก ทำให้ฮ่องเต้อดเคลือบแคลงใจไม่ได้ว่า…มู่หรงอวี้รู้ว่าตระกูลกู้มีสมบัติล้ำค่าเช่นนี้มานานแล้วใช่หรือไม่
ถ้าหากว่าโอรสองค์นี้มีความทะเยอทะยานอย่างมากจริงๆ เช่นนั้นล่ะก็…
สีหน้าของฮ่องเต้ดูเย็นชาไร้ความรู้สึก
ในฐานะฮ่องเต้นั้น สิ่งที่เขาต้องการมอบให้ใครคนหนึ่ง ใครคนนั้นก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ และสิ่งที่เขาไม่ต้องการมอบให้ ผู้ใดหน้าไหนก็ไม่สามารถมาช่วงชิงไปได้!
ถวายบังคมเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ มู่หรงอวี้เดินเข้ามาในตำหนักและโค้งคำนับฮ่องเต้ท่าทางเคารพ
ลุกขึ้นเถิด เมื่อมองลงไปยังโอรสที่กำลังอยู่ในช่วงเวลารุ่งเรืองของชีวิต บุคลิกดีมีความสามารถมากมาย ภายในสายตาของฮ่องเต้ก็ฉายแววเกลียดชังเพราะความริษยาและความเย็นชาซึ่งมีเพียงเขาเท่านั้นที่เข้าใจ มู่หรงอวี้กล่าวขอบพระทัยจากนั้นก็ยืนขึ้นมองฮ่องเต้อย่างนอบน้อมและระมัดระวังพร้อมกล่าวว่า ไม่ทราบว่าเสด็จพ่อทรงเรียกลูกเข้าพบ มีสิ่งใดต้องการรับสั่งหรือพ่ะย่ะค่ะ คนนอกล้วนบอกว่ามู่หรงอวี้เป็นพระโอรสที่เป็นที่โปรดปรานและมีความสำคัญมากที่สุด แต่แท้ที่จริงแล้วเมื่อได้อยู่ร่วมกับฮ่องเต้ มู่หรงอวี้ไม่ได้มีความสุขอย่างที่คนนอกคิด กลับกันมีแต่ต้องระมัดระวังไปทุกที่เพราะเขานั้นรู้ดีกว่าใครๆ ว่าชายที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรผู้นี้ไร้น้ำใจและเฉยชายิ่งนัก
ในบรรดาพี่น้องนั้น พี่รองน่าจะเป็นเพียงคนเดียวที่ยังคงคาดหวังความรักแบบครอบครัวจากเสด็จพ่ออยู่ แต่จุดจบของมู่หรงซีนั้นเป็นเช่นไร องค์ชายทั้งหมดก็ล้วนได้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว
————————————–
[1]ต้นกระวาน เป็นต้นไม้เขียวชอุ่มตลอดปีที่มีกลิ่นหอมหรือไม้พุ่มขนาดใหญ่ที่มีสีเขียวใบเรียบเกลี้ยงอยู่ในวงศ์ Lauraceae ของไม้ดอก มีถิ่นกำเนิดในแถบเมดิเตอร์เรเนียน
ตอนต่อไป