หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 73 การหายตัวไปของพระชายากง (5)
ตั้งแต่นั้นมา ชื่อเสียงและชีวิตของตระกูลกู้ก็กลายเป็นตราบาปที่กู้อวิ๋นเกอไม่อาจปัดความรับผิดชอบไปได้ เป็นเพราะนางเอง เป็นคู่หมั้นของนางที่ใส่ร้ายตระกูลกู้ และด้วยความไม่ทันคนของกู้อวิ๋นเกอทำให้จูหมิงเยียนมีโอกาสที่จะขโมยตราประทับจากท่านปู่ของนาง ทั้งหมดนี้เป็นตราบาปของนางโดยแท้! ในช่วงสองปีแรกทันทีที่นางหลับตาลงก็มักจะเห็นความผิดหวังของท่านปู่และท่านพ่อ รวมทั้งความโศกเศร้าและความสิ้นหวังของผู้เป็นย่า ท่านแม่และพี่สะใภ้ ดังนั้นหลังจากที่ได้ยินข่าวจากหอนางโลมชุ่ยหงว่าพี่ใหญ่ของนางเสียชีวิต นางก็เชื่ออย่างไม่ลังเล
บางที…ลึกๆ ในใจก็ยังคงตั้งตารอที่จะได้หลุดพ้นในเร็ววัน เพียงแต่น่าเสียดายที่ไฟลูกใหญ่ไม่ได้เผานางจนตายแต่กลับต้องแบกรับความผิดที่หนักหนาสากรรจ์แทน น้าหญิง ยังมีน้องหญิงอีก สาเหตุที่ทำให้ตระกูลกู้ต้องลงเอยเช่นนี้ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะนาง…กู้อวิ๋นเกอ
ในห้องที่มืดมิด ปกคลุมไปด้วยความเงียบงัน หลังจากผ่านไปนานก็ได้ยินจูหมิงเยียนแผดเสียงขึ้นมาว่า กู้อวิ๋นเกอ…กู้อวิ๋นเกอ…เป็นกู้อวิ๋นเกอสินะที่บอกเจ้า มู่ชิงอีขมวดคิ้วเล็กน้อย เสียงของจูหมิงเยียนที่เปล่งชื่อของกู้อวิ๋นเกอทั้งสามคำเสียดแหลมจนอดไม่ได้ที่จะต้องปิดหู มู่ชิงอีได้แต่พ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะพูดอย่างเฉยเมยว่า กู้อวิ๋นเกอ…ที่กู้อวิ๋นเกอหมายลอบสังหารหนิงอ๋องนั้นก็เป็นเพราะเจ้าส่งคนมาบอกนางว่า…กู้ซิ่วถิงตายแล้วใช่หรือไม่
เป็นเรื่องที่พอจะคาดเดาได้แต่แรกแล้ว นอกจากหอนางโลมชุ่ยหงจะเป็นสถานบำเรอ ยังเป็นกิจการลับๆ ของกงอ๋องอีกด้วย โดยปกติคนของมู่หรงอวี้ก็แอบจับตามองทุกย่างก้าวของกู้อวิ๋นเกออยู่แล้ว จะให้นางได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับพี่ชายของนางโดยบังเอิญเช่นนั้นได้อย่างไร แม้อาจมีหลายคนในเมืองหลวงนี้ที่รู้ว่าพี่ใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ แต่มีเพียงไม่กี่คนที่จะกล้าพูดถึงเรื่องนี้ออกมาในที่สาธารณะจริงๆ
ความจริงทั้งหมดถูกเปิดเผย แต่ในทางตรงกันข้ามจูหมิงเยียนกลับดูสงบลง นางยิ้มเยาะแล้วตอบว่า ใช่ ข้าเอง กู้อวิ๋นเกอคิดว่าตัวเองฉลาดมากแต่ก็ไม่วายถูกข้าคนนี้ปั่นหัว หลังจากสิ้นคำ นางก็ยิ้มอย่างกระหยิ่มใจ
มู่ชิงอีได้แต่ขมวดคิ้วพลางมองไปยังหญิงบ้าบิ่นที่กำลังกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ตรงหน้า ก่อนจะถามออกไปด้วยเสียงแผ่วเบาว่า กู้อวิ๋นเกอคงไม่เคยทำสิ่งใดให้เจ้าเจ็บช้ำน้ำใจใช่หรือไม่
จูหมิงเยียนตกตะลึงอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนที่นางจะแสยะยิ้มพร้อมกัดฟันพูด ใช่ นางไม่เคยทำอะไรให้ข้าเจ็บช้ำน้ำใจ แล้วอย่างไรเล่า ใครบอกว่าหากนางไม่เคยทำให้ข้าเจ็บช้ำน้ำใจแล้วข้าจะต้องไม่ทำให้นางเจ็บช้ำน้ำใจเช่นกัน ตั้งแต่เล็กจนโต…นางก็เป็นสตรีที่โปรดปรานของวังหลวง ผู้ใดต่างก็ชมเชยยกนางเป็นต้นแบบ ฝ่าบาททรงโปรดนาง พระพันปีก็ทรงโปรดปรานนาง นางได้รับแต่สิ่งที่ดีที่สุดมาตลอด แม้แต่กงอ๋องเอง…แม้แต่กงอ๋องก็ทรงโปรดนางด้วยเช่นกัน! แล้วข้าเล่า? ข้าเป็นถึงจวิ้นจู่แห่งจวนผิงหนานจวิ้นอ๋อง สถานะของจูหมิงเยียนผู้นี้ต่ำศักดิ์กว่านางเช่นนั้นหรือ ข้าดูน่าเกลียดกว่านางอย่างนั้นหรือ เป็นเพราะเหตุใด ทั้งๆ ที่ข้าก็ยืนอยู่ด้วยกันกับนางแต่ทุกคนกลับมองเห็นแต่นางเท่านั้น ข้าทำได้แค่อยู่ข้างหลังนางในฐานะตัวประกอบตัวเล็กๆ ที่ไม่โดดเด่นอะไรอย่างนั้นหรือ
มู่ชิงอีขมวดคิ้ว หากเจ้าไม่อยากเป็นตัวประกอบ เจ้าก็ถอยห่างจากนางออกมาบ้าง ถึงอย่างไรก็ใช่ว่านางจะบีบบังคับให้เจ้าเป็นตัวประกอบเสียเมื่อไร เมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์ของจูหมิงเยียน บางทีมู่ชิงอีก็อดสงสัยไม่ได้ว่าตัวเองมีการวางอำนาจบาตรใหญ่อย่างที่นางพูดจริงหรือไม่ ในตอนแรกไม่ใช่ว่าตนเป็นฝ่ายเริ่มผูกมิตรกับจูหมิงเยียนก่อนหรอกหรือ อีกทั้งยังไม่เคยมีการทะเลาะเบาะแว้งใดๆ ระหว่างคนทั้งสอง
รอยยิ้มบนใบหน้าของจูหมิงเยียนเริ่มแข็งทื่อขึ้น สีหน้าของนางเปลี่ยนเป็นดุดัน มองไปยังเงามืดตรงหน้าพลางหัวเราะออกมา น้ำเสียงของนางช่างเศร้าสลดและน่าสังเวทใจในเวลาเดียวกัน ใช่…ข้าไม่อยากยืนข้างนาง แต่…ถ้าหากข้าไม่ยืนข้างนาง ข้าก็จะไม่อยู่ในสายตาของเขาเลย!
มู่หรงอวี้ มู่ชิงอีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำพลางหรี่ตาลงเล็กน้อย จูหมิงเยียนทำทุกอย่างเพื่อมู่หรงอวี้ เพื่อเขาคนนั้น…แต่ในตอนนี้เมื่อนึกถึงชายผู้นั้น นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกคลื่นเหียนอาเจียนขึ้นมา
เสียงหัวเราะค่อยๆ ลดระดับลง ขณะเดียวกันจูหมิงเยียนก็นั่งลงบนพื้นและกอดตัวเองเอาไว้ รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความลุ่มหลงปรากฏขึ้นบนใบหน้า จากนั้นนางก็พูดด้วยเสียงแผ่วเบา ใช่แล้ว ข้ารู้ดีตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเขาแล้ว…ว่าข้าเต็มใจที่จะทำทุกอย่างเพื่อเขา กู้อวิ๋นเกอมีอะไรดีนักหนา ราวกับในโลกนี้ไม่มีใครเทียบคุณหนูใหญ่สกุลกู้ผู้นั้นได้ สุดท้ายนางก็กลายเป็นหญิงที่ใครจะมาย่ำยีก็ได้ไปแล้วไม่ใช่หรือ ส่วนข้ากลับได้เป็นพระชายากง ฮ่าฮ่า ในท้ายที่สุดแล้วข้าก็เป็นผู้ที่ชนะ!
อุณหภูมิในแววตาของมู่ชิงอีค่อยๆ ลดต่ำลง เหลือเพียงความเย็นยะเยือกไม่รู้จบท่ามกลางความมืดมน ในความมืดมิดนี้ นางได้กล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน โอ้? ในท้ายที่สุดเจ้าก็ชนะแล้ว ทำอย่างไรก็ได้แม้กระทั่งกู้อวิ๋นเกอต้องตายสินะ การเห็นนางถูกกดขี่โดยคนมากมาย ยิ่งมีความสุขอย่างนั้นหรือ
จูหมิงเยียนกอดตัวเองไว้แน่นแต่ก็ยังยับยั้งอาการสั่นเทาของร่างกายเอาไว้ไม่อยู่ ขณะเดียวกันนางก็กรีดร้องออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ หุบปาก! หุบปากซะ! แม้ว่ามู่หรงอวี้จะยังไม่สามารถลืมกู้อวิ๋นเกอได้แล้วอย่างไรเล่า ข้าชนะแล้ว! กู้อวิ๋นเกอก็ตายไปแล้ว! และก็คงกลับมามีชีวิตไม่ได้แล้ว! ฮ่าฮ่า แม้แต่ร่างกายของนางก็ถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน…สุดท้ายแล้วข้าก็เป็นผู้ชนะ อีกทั้งข้าก็ได้เป็นพระชายากง…
เมื่อมองไปที่หญิงบ้าคลั่งที่อยู่ตรงหน้านาง มู่ชิงอีก็รู้สึกทั้งน่าขันและน่าสังเวท ยิ่งไปกว่านั้นคือความเกลียดชังที่คุกรุ่น
หญิงคนนี้…นางเคยเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดแต่เพื่อผู้ชายแล้วสามารถทำลายตระกูลของตนและทำลายทุกคนที่รักตนมากที่สุดลงได้ เพียงเพราะ…ผู้ชายที่ไม่ได้รักนางเลย!
จูหมิงเยียน…
จูหมิงเยียนจ้องไปในความมืดอย่างระแวดระวัง กู้หลิวอวิ๋นคนนั้นบอกว่าเขาจะไม่ฆ่านาง แต่เขาก็ไม่ได้บอกว่าเขาจะไม่ทรมานนาง ในตอนที่มู่หรงอวี้ทรมานกู้ซิ่วถิงนางเองก็เคยได้เห็นกับตาตัวเองมาแล้ว
มู่ชิงอีมองดูนางอย่างขบขันและพูดขึ้นเบาๆ ว่า บอกข้ามาว่ามู่หรงอวี้และจวนผิงหนานจวิ้นอ๋องใส่ความตระกูลกู้อย่างไร รวมทั้ง…ทุกอย่างที่เกี่ยวกับจวนกงอ๋อง แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป
เพ้อเจ้อ! จูหมิงเยียนพูดอย่างหนักแน่น เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อฟังเจ้าอย่างนั้นหรือ
มู่ชิงอีกล่าวด้วยเสียงหัวเราะ เช่นนั้น เจ้าก็ตั้งใจแน่วแน่ที่จะตายตั้งแต่แรกแล้วอย่างนั้นสินะ หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็จะให้เกียรติแก่ความสูงส่งของเจ้า มอบความตายที่สะอาดและสมเกียรติแก่เจ้า
จูหมิงเยียนมองไปยังร่างที่มองไม่เห็นในความมืดด้วยความหวาดผวา ใบหน้าของนางซีดเผือด นางถูกเอาอกเอาใจตั้งแต่ยังเด็กไม่เคยต้องลำบาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความทรมาน นางไม่อยากตายและกลัวตายอย่างยิ่ง
เจ้า…เจ้าจะฆ่าข้างั้นหรือ
มู่ชิงอีเลิกคิ้วแสยะยิ้ม คิดว่าข้ามัดเจ้าเล่นๆ หรืออย่างไร
ข้า…ข้าคือ…
ข้ารู้ว่าเจ้าคือพระชายากง มิฉะนั้นข้าจะมัดเจ้าไว้ทำไม มู่ชิงอีมองไปยังหญิงสาวตรงหน้าที่ใบหน้าซีดเผือดพร้อมทั้งกล่าวอย่างใจเย็น ข้าไม่ได้ให้คนทรมานเจ้าแต่ไม่ได้หมายความว่าข้าจะไม่ทรมานเจ้า ดังนั้น เจ้าควรรีบรับข้อเสนอ อย่างไรเสียเจ้ายังมีเวลาให้พิจารณาอีกสองชั่วยาม ไม่เกินสองชั่วยามมู่หรงอวี้ก็น่าจะหาที่นี่พบ
เมื่อเห็นดวงตาของจูหมิงเยียนเป็นประกาย มู่ชิงอีก็กล่าวต่อ ดังนั้น ข้าคงต้องรีบออกจากที่นี่ หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม หากข้าไม่มีข่าวที่เป็นประโยชน์ล่ะก็ ข้าก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทรมานเจ้า
ครั้นเห็นสีหน้าที่หวาดผวาของจูหมิงเยียน มู่ชิงอีก็ไม่แยแส ก่อนจะหันหลังกลับไปเปิดประตูและเดินออกไป
คุณหนู ที่หน้าประตู อู๋ซินและเฝิงจื่อสุ่ยมองไปยังหยาดน้ำตาที่เปียกปอนอยู่บนใบหน้าของชายหนุ่มในชุดขาวด้วยความประหลาดใจ แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่ามู่ชิงอีและจูหมิงเยียนพูดถึงเรื่องอะไรกันบ้าง แต่เพียงแค่มองดูท่าทางของมู่ชิงอีเขาก็รู้ได้ทันทีว่านั่นต้องเป็นเรื่องที่ไม่น่ายินดีเป็นแน่
ตอนต่อไป