หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - บทที่ 129 วิกฤตของผืนดิน
บทที่129 วิกฤตของผืนดิน
อย่างไรก็ตาม!
ชายร่างใหญ่ก็ยังไม่ได้สลบล้มลงไป หลานเยาเยาก็ไม่ยอมหยุด เหล่าคนที่อยู่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหงื่อตกแทนชายร่างใหญ่
จนกระทั่งหลานเยาเยาโมโหจนอยากจะควักมีดออกมา ไม่รู้ว่าใครเป็นคนพูดขึ้น หลังจากที่พวกเขาตัดสินใจกันอย่างชัดเจนแล้ว ก็พากันหิ้วปีกคนที่สลบออกไปทางหน้าต่าง
ชายร่างใหญ่คนนั้นออกไปเป็นคนสุดท้าย
ตอนที่ออกไปนั้นเขามีท่าทีเวียนศีรษะ สั่นๆ ราวกับอีกนิดหนึ่งก็จะสลบลงไปแล้ว
น่าโมโหชะมัด!
หลานเยาเยาเพียงแค่มองพวกเขาออกไปแบบนั้น พลางถือมุกเย่หมิงเพื่อส่องแสงให้พวกเขา และนั่นทำให้พวกเขาหวาดกลัวเกินกว่าที่จะหันหลังกลับมา ทำเพียงเก็บเอาความสงสัยไว้กับตัวและหายออกไปจากสายตานางทีละคน
ยินดีต้อนรับ ไว้คราวหน้ามาใหม่นะ!
คราหน้านางจะใช้มีดฟันพวกเขาจริงๆแล้ว ไม่อย่างนั้นจะได้อับอายไปถึงต้นตระกูล!
เมื่อหลานเยาเยาสงบสติอารมณ์ลงได้แล้ว นางก็หรี่ตาลงอย่างฉับพลัน!
จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนอยากจะออกไปด้านนอก
แต่ที่มันบังเอิญมากก็คือ ในจังหวะที่นางกำลังจะออกไปนั่นเอง ก็มีเงาดำร่างหนึ่งเข้ามาในห้องที่ซึ่งควรจะเป็นที่นอนนาง
เฮอะๆ!
คืนนี้นี่มันช่างครึกครื้น ปีศาจเข้าออกเป็นว่าเล่น
ภายในห้องนั้นเงาดำได้ไปถึงที่ข้างเตียงแล้ว เล็บยาวๆสีดำของนางค่อยๆแหวกผ้าม่านคลุมเตียงให้เปิดออกช้าๆ
เมื่อเห็นว่ามีร่างหนึ่งกำลังนอนหลับสบายอยู่บนเตียง เงาดำตนนั้นก็กระตุกปากอ้าขึ้น รูปลักษณ์ดูน่าสยดสยอง น่าหวาดกลัวเป็นที่สุด นัยน์ตาของมันเต็มไปด้วยความพยาบาท
เพียงพริบตา
เล็บยาวสีดำที่เต็มไปด้วยแรงพยาบาท เตรียมที่จะตรงเข้าไปบีบจิกคอคนที่หลับใหลอยู่บนเตียงอย่างไม่ลังเล
“ปัง……”
ประตูถูกหลานเยาเยาถีบออกอย่างแรงจนแทบหลุด หลานเยาเยาเข้าไปในห้อง มุกเย่หมิงที่อยู่ในมือส่องสว่างไล่ความมืดภายในห้องทันที
เงาดำชะงักสั่น แต่นางก็ไม่ลังเลที่จะแทงเข้าไปที่ร่างนั้น
แต่แล้วนางก็จำต้องพบกับความประหลาดใจ เพราะคนที่นอนอยู่บนเตียงเมื่อครู่ได้อันตรธานหายไปแล้ว
ทันใดนั้นเอง!
เงาดำก็รู้สึกว่าแขนตนนั้นถูกคนจับตรึงเอาไว้
เมื่อหันกลับไปก็ปะทะกับใบหน้าที่ไม่คุ้นเคย และสายตาในขณะนั้นก็มองนางด้วยความเกลียดชัง “ตกใจไหมหล่ะ? แปลกใจอย่างนั้นหรือ? เจ้าเล่นผิดคนเสียแล้วหล่ะ”
สิ้นเสียง เชือกแดงเส้นหนาก็เข้ามารัดแขนของเงาดำไว้ เมื่อเห็นเล็บยาวดำของเงาดำนั่นแล้ว ดวงตาของนางก็อดหรี่ลงอย่างมาดร้ายไม่ได้
“คนของยิงจวนอีกแล้วหรือนี่ ยังชอบระรานไม่เลิกจริงๆ”
อย่างไรก็ตาม!
ฮัวหยู่อันยังไม่ได้มัดให้แน่น เงาดำก็ดิ้นหลุดออกจากพันธนาการ เดิมจะปรี่ตัวเข้าไปหาหลานเยาเยา แต่เห็นว่าที่นอกหน้าต่างจู่ๆก็ปรากฏร่างของคนคนหนึ่งโผล่เข้ามา จึงรีบถลาตัวหนีไปที่หน้าต่างอีกช่อง
หลานเยาเยาเหลือบไปมองที่นอกหน้าต่าง ก่อนจะรีบแฉลบตัวมาที่เตียงพลางถามอย่างไม่เข้าใจ
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าจะมีคนมาฆ่าข้า?”
“ไม่ใช่ว่าท่านให้ข้าเก็บเสื้อผ้าหรอกหรือ? ตอนเก็บเสื้อผ้าก็พบว่ามันไม่ใช่ที่อยู่บนตัวท่าน มันเป็นกลิ่นที่ข้าคุ้นเคยดังนั้นจึงรู้ว่ามีคนคิดจะทำร้ายท่าน…” ฮัวหยู่อันราวกับพูดกับอากาศ
เหมือนจะโอ้อวด : เห็นมั้ยหล่ะ? ข้าช่วยชีวิตท่านไว้!
“กลิ่นอายที่คุ้นเคยอย่างนั้นเหรอ?”
เป็นไปไม่ได้มั้ง?
ฮัวหยู่อันเป็นตัวอะไรกัน?
“ใช่หน่ะสิ กลิ่นอายของศัตรูหมายเลขหนึ่งของชาวหยินไห่อย่างพวกเรา”
ให้ตายเถอะ!
นี่มันอะไรกันเนี่ย?
ชาวหยินไห่……
หลานเยาเยาค่อนข้างไม่แน่ใจ
“แล้วพวกศัตรูกลุ่มใหญ่สุดก็คือยิงจวนอย่างนั้นเหรอ?” เมื่อกี้เหมือนนางจะได้ยินคำว่ายิงจวน
“ท่านรู้ได้อย่างไร?” ฮัวหยู่อันดูออกจะตกใจหน่อยๆ
“เมื่อครู่เจ้าเป็นคนพูดออกมาเอง!”
จะตกใจหาพระแสงอะไรเล่า
เหมือนนางจะเป็นคนพวกที่เก็บอะไรไม่อยู่ เอาไว้ข้างกายจะดีหรอ? คิดเอานางไปขายอีกครั้งดีไหม?
“ถ้าท่านบอกอย่างนั้นก็คงจะพูดนั่นแหล่ะ! เป็นอย่างไรหล่ะ? ข้าสุดยอดเลยใช่ไหมท่าน? หากข้าช้าไปเพียงนิดพวกมันก็จะจับตัวท่านไปได้แล้วนะ”
“แล้วครั้งที่แล้วใครหน้าไหนโดนศพตายซากของยิงจวนกวดไล่จนหนีหัวซุกหัวซุน”หลานเยาเยาเหลือบมอง
“นั่นเพราะข้าบาดเจ็บ จริงๆข้าหน่ะเก่งสุดยอด ท่านอย่าดูถูกข้าเชียว” นางเถียงเพื่อป้องตัว
นางเก่งจริงๆ
เมื่อครู่นี้นางยังไม่ได้ใช้เคล็ดวิชาอะไรมากมาย! พวกนั้นก็เผ่นหนีกันไปแล้วไม่ใช่เหรอ?
หลานเยาเยามองนางนิ่งๆ ราวกับคนโง่อย่างไรอย่างนั้น
จากนั้นจึงเหลือบไปมองเชือกแดงเส้นหนาที่แตกเป็นเสี่ยงๆอยู่กับพื้น ถามขึ้นเงียบๆ “อาวุธวิเศษของเจ้าอย่างนั้นเหรอ?”
“เหอะ ไม่ใช่ ไอ้ของที่โดนตัดออกง่ายๆแบบนี้จะมาเป็นอาวุธวิเศษของข้าได้อย่างไร?”
ฮื่อๆๆ……
เชือกแดงเมื่อครู่เป็นอาวุธประจำตระกูลของนาง ซึ่งก็นับว่าเป็นอาวุธที่ร้ายกาจมากแล้ว นางต้องซื้อมาในราคาสูงลิบถึงจะได้มา จู่ๆก็กลายเป็นของถูกตัดขาดง่ายไปเสียเฉยๆ
ไม่สบอารมณ์เอาเสียเลย!
นี่มันเป็นอาวุธที่ดีที่สุดของตระกูลนางแล้วนะ อยากจะร้องไห้
หลานเยาเยากระชับมือ พลางมองไปทางที่เงาดำจากไป ก่อนจะถามขึ้นเรียบๆ “รู้ไหมว่านางเป็นใคร?”
รู้อยู่แล้วแล้วยังจะมาถามอีก ฮัวหยู่อันตอบแบบไม่คิด ตอบกลับไปอย่างชัดเจนและมั่นใจ
“เป็นคนของยิงจวน แล้วยังเป็นพวกที่ใช้ยาพิษได้เก่งกาจที่สุดของยิงจวน คนพวกนี้แช่ตัวด้วยยาพิษมาตั้งแต่ยังเล็ก ก็เลยกลายเป็นแบบนั้น
คนของยิงจวนเป็นศัตรูกับคนจากนอกแผ่นดินโดยกำเนิด ส่วนพวกข้าชาวหยินไห่นั้นก็อยู่เพื่อที่จะดูแลคนจากนอกแผ่นดิน ดังนั้นพวกข้าจึงรู้จักพวกเขาดี”
พูดมาถึงตอนนี้ ฮัวหยู่อันดูจะมั่นอกมั่นใจ นางค่อนข้างคาดหวังที่จะให้หลานเยาเยาเยินยอนาง
“เจ้ารู้ว่านางเป็นฮองเฮาของประเทศก่วงส้าอย่างนั้นเหรอ?”
“ทะ ท่านพูดอะไรหน่ะ?”
คำพูดนี้ทำให้ฮัวหยู่อันตกใจขึ้นมา
พวกยิงจวนเข้าไปแทรกซึมในเมืองหลวงแล้วอย่างนั้นหรือ?ดูจากที่นางได้ข่าวมา มันไม่ควรจะไวเช่นนี้นี่?
ประเทศก่วงส้าอยู่ในผืนทวีปนี้ก็เป็นดั่งประเทศที่แข็งแกร่งที่สุด คนของยิงจวนได้เข้าไปแทรกซึมในราชอาณาจักรประเทศก่วงส้าแล้ว
นั่นมันสามารถที่จะจินตนาการได้เลยหล่ะว่า……
ทุกๆราชวงศ์ในแต่ละประเทศ
น่าจะถูกแทรกซึมไปแล้วเกือบหมด รอเพียงแค่ให้ถึงเวลาเท่านั้น ผืนแผ่นดินนี้ก็เหมือนกับตกลงไปในนรกอย่างไม่มีวันสิ้นสุด
ไม่ได้ นางจำต้องแจ้งให้แก่เผ่าต่างๆ ไม่เช่นนั้นมันอาจจะเกิดอะไรที่ไม่อาจจะคิดได้
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ฮัวหยู่อันก็เตรียมจะออกเดินทาง แต่แล้วก็กลับต้องตกใจกับประโยคหนึ่งของหลานเยาเยา!
“ดูเหมือนมีเผ่าอะไรสักอย่างหมายจะฆ่าเจ้า! เผ่าของพวกเจ้ากำลังมีความขัดแย้งกันภายใน!”
“ท่าน ท่านรู้ได้อย่างไร?”
ชาวหยินไห่ของพวกเขาเกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของเผ่าเล็กใหญ่ หลังจากมีการตายของหัวหน้าเผ่าสูงสุด ตอนนี้ก็ยังไม่มีการตัดสินหัวหน้าเผ่าอย่างแน่ชัด
ดังนั้น ชาวหยินไห่จึงมีความขัดแย้งกันภายใน ซึ่งก็มีสัญญาณของการล่มสลาย
“เมื่อครู่มีคนแต่งชุดประหลาดหมายจะฆ่าเจ้า หัวหน้าของพวกนั้นเป็นชายร่างใหญ่คนหนึ่ง เหมือนเป็นประเภทพวกฟันแทงไม่เข้าอะไรพวกนั้น
โชคดี ที่ข้าช่วยเจ้าขับไล่พวกนั้นไปหมดแล้ว ไม่ได้รู้สึกเป็นเกียรติอะไรหรอกนะ!”
เมื่อนึกถึงชายร่างใหญ่ หลานเยาเยาก็เกิดโมโหขึ้นมาในใจยิบยิบ
ตอนนี้
ก็ทำให้ฮัวหยู่อันรู้สึกหน้าร้าวทันที
เมื่อครู่ยังคิดไปว่าตนช่วยชีวิตหลานเยาเยาไว้อยู่เลย นางโอ้อวดได้เพียงครู่ หลังจากนั้นความรู้สึกนั้นก็ถูกทำลายไป นางเพียงแค่อยากที่จะโดดเด่นกว่านาง ไม่ให้นางมาดูถูกได้
ตอนนี้ดูท่าก็เพียงแค่เปลี่ยนผลัดสลับกันไม่ได้เป็นใครช่วยใครคนใดคนหนึ่ง
“เหอะ!”
ฮัวหยู่อันเหอะขึ้นมาเบาๆ เด็กน้อยกระทืบเท้าอย่างเอาแต่ใจ เตรียมที่จะเดินหนี แต่หลานเยาเยาก็พูดขึ้นมาอีก
“ก่อนที่เจ้าจะไปทำเรื่องอื่น ก็ช่วยจัดการเปลี่ยนสิ่งที่เจ้าทำสกปรกไว้ก่อนด้วย” ทั้งน้ำมูกน้ำลายฮัวหยู่อันที่เปื้อนอยู่บนที่นอนนั้นนางจำได้เป็นอย่างดี
ฮัวหยู่อันเหลือบมองแล้วเหลือบมองอีก จนสุดท้ายก็หยิบผ้าจากตู้มาเปลี่ยนให้
หลานเยาเยาถอนหายใจออกมาแผ่วเบา จากนั้นก็เหลือบมองไปที่หน้าต่าง
เมื่อครู่มีใครอยู่ที่นั่นนะ?