หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - บทที่ 137 รอยจูบกลางฝนพรำ
บทที่ 137 รอยจูบกลางฝนพรำ
หลานเยาเยาที่นั่งอยู่บนหลังม้าด้วยตัวที่เปียกโชก สายตามองไปยังข้างหน้าที่ชายคาบ้านสองฝั่งกำลังเริ่มห่างหายไปอย่างรวดเร็ว
อีกในไม่ช้าก็จะถึงจวนอ๋องเย่แล้ว หลานเยาเยาจึงรีบเร่งความเร็วขึ้น
แต่แล้ว!
ตรงหน้าก็ปรากฏร่างของใครบางคนขึ้นมา
ให้ตายเถิด กลางค่ำกลางคืนทั้งยังฝนตกหนักเยี่ยงนี้ ใครยังช่างกล้ามายืนหาที่ตายกลางทางม้าวิ่งเช่นนี้กัน !
” นี่ คนที่อยู่ตรงหน้านั้นรีบหลบออกไป หากชนเข้า เจ้าต้องรับผิดชอบตัวเอง ไม่จ่ายค่าเสียหายนะ”
เสียงของนางนั้นดังมาก แม้จะถูกเสียงของฝนที่ตกหนักกลบไปบางส่วน แต่เสียงก็ไม่ได้เบาลงเลย ยิ่งมีเสียงฝีเท้าม้าที่ควบมาด้วย!
นอกเสียจากว่าคนผู้นั้นจะหูหนวก มิฉะนั้นก็คงได้ยินเสียงตะโกนของนางแล้ว….
แต่แล้ว !
ร่างของคนที่ยืนอยู่กลางทางม้าวิ่ง ก็นิ่งอย่างไม่ไหวติงใดๆ
” รีบหลบไปเสีย มิเช่นนั้นจะชนเจ้าแล้วจริงๆนะ ”
นางตะโกนอีกครา ด้วยเสียงที่ดังขึ้นหลายเท่า
แต่ถึงอย่างนั้นนางก็มีเสียงระฆังเตือนขึ้นมาในใจของนาง นางจึงใช้มือข้างหนึ่งถือบังเหียนเอาไว้แล้วมืออีกข้างชักดาบออกมาถือในมือ
ด้วยระยะห่างที่ค่อนข้างไกลกัน ทั้งฝนที่ตกมาค่อนข้างหนักลงมากระทบตาของนางจนมองไม่เห็นว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้านั้นคือใครกันแน่ ?
ตอนนี้พอเข้าใกล้เรื่อยๆนางถึงได้เห็นว่าคนๆนั้นเป็นคนที่นางนั้นคุ้นเคยเป็นอย่างดี
แม้แต่เสื้อผ้าเปียกโชกชุดนั้นนางเองก็เคยเห็นมาก่อนหน้านี้
เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน?
ไม่มีทาง ! คงมิใช่ว่ามีคนปลอมตัวมาหรอกนะ?
ดังนั้นแทนที่นางจะหยุดม้า แต่กลับฟาดแส้เพื่อเพิ่มความเร็วให้มากยิ่งขึ้น
แต่ทว่า….
คนที่อยู่กลางสายฝนก็ยังคงนิ่งไม่ขยับ เพียงแต่มองมายังนางอย่างเงียบๆ
เมื่อระยะใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หลานเยาเยาก็ถึงกับขมวดคิ้วหนัก พลันรัดบังเหียงม้าแน่นจนม้ายกขาหน้าขึ้นสูง พร้อมกับร้องเสียงดังขึ้นมา
หลังจากรอจนม้าหยุดนิ่ง หลานเยาเยาก็เก็บความเจ็บปวดบนแขนแล้วลงจากม้าด้วยความกังวล
“เหตุใดท่านถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
เขาควรจะอยู่กับหลานจิ่นเอ๋อมิใช่รึ?
ทั้งยังหลานจิ่นเอ๋อเพื่อช่วยเหลือถึงได้รับบาดเจ็บ แม้ว่าจะไม่จำเป็นต้องอยู่กับนางตลอดเวลา แต่ยังไงเสียเขาก็ควรที่จะอยู่ดูแลเป็นห่วงเสียหน่อยสิ !
ใครจะรู้!
เขามิได้ตอบกลับคำถามของนาง แต่กลับถามออกมาแทน
” ข้าบอกแล้วมิใช่หรือว่าให้รอข้า ”
เสียงทุ้มที่มาพร้อมกับคำถามที่ดูเอาแต่ใจ ความรู้สึกนั้นราวกับว่าเขาบอกให้นางรอ นางก็ต้องรอเสียอย่างนั้น
ท่าทางที่เอาแต่ใจนั้นทำให้หลานเยาเยารู้สึกตลก
โห คนอะไรกัน !
บอกให้นางรอ แล้วนางจะต้องรอเยี่ยงนั้นรึ?
” ข้าก็เคยกล่าวแล้วเช่นกันว่าข้ารอท่านไม่ได้ ” ประโยคนางเองก็เคยกล่าวแล้ว เขาเคยคิดว่านั่นเป็นปัญหาของตัวเขาเองบ้างหรือไม่
” เหตุใดถึงไม่รอข้า ?”
เขาเดินทีละก้าวทีละก้าวมายังข้างกายนาง ในขณะที่ใจยังเต้นหนักไม่หยุด
เพื่อที่จะตามนางให้ทัน เขาเลยต้องใช้ลมปราณตามมาจนทันได้
เขาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดกันที่ทำให้เขารู้สึกว่าแววตาที่นางมองมายังตัวเองนั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง สายตาแบบนั้นไม่รู้ว่ามองด้วยความเฉยเมยหรือเรียบง่าย แต่มันทำให้เขารู้สึกใจไม่สงบ
” ข้ามีธุระต้องกลับไปที่จวน แล้วอีกอย่างข้าในฐานะพระชายาเย่ที่อยู่ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนั้นข้าไม่สามารถที่จะเฝ้ามองดูท่านกับหลานจิ่นเอ๋ออยู่ด้วยกันอย่างใกล้ชิดโดยไม่แยแสหรอก ! ”
แม้นางจะเป็นคนใจกว้าง แต่นางก็ยังต้องรักษาหน้า เข้าใจหรือไม่?
พอมองดูร่างกายที่เปียกชุ่มของเย่แจ๋หยิ่ง ถึงแม้จะรู้สึกว่ามีบางอย่างกระทบกับสายตา
แต่ตอนนี้นางมีเรื่องด่วน ไม่มีอารมณ์มาชื่นชมความงดงามของเย่แจ๋หยิ่ง
” เจ้ากำลังหึงอยู่งั้นหรือ? ” แววตาของเย่แจ๋หยิ่งประกายขึ้นมา
” หึง? ข้าเนี่ยนะจะหึง ? จะเป็นไปได้เยี่ยงไรกัน ? ข้าไม่หึงหรอก ! ” หลานเยาเยารีบส่ายหน้าอย่างทันควัน นางเป็นคนที่รู้จักปล่อยวาง เรื่องหึงหวงนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นได้แน่
” ข้าไม่เชื่อ ! ” น้ำเสียงสงบ
” เชื่อไม่เชื่อก็เรื่องของท่าน ข้ามีเรื่องด่วนจริงๆ รบกวนท่านอย่ามาขวางทางข้าเลย ”
เอาจริงๆ ที่ตามมาไกลเยี่ยงนี้ก็เพียงเพื่อถามคำถามเดียวเท่านั้น บ้าไปแล้ว !
พูดจบ หลานเยาเยาก็เตรียมตัวจะหันหลังกลับเพื่อกลับไปขึ้นม้า
แต่ผู้ใดจะรู้ว่า…..
แขนข้างที่ได้รับบาดเจ็บกลับถูกมือใหญ่รั้งเอาไว้ แล้วยังใช้แรงอีกเสียด้วย จนทำให้นางร้องออกมา
ฟู่….
ทันใดนั้น !
ความเย็นทะลุผ่านออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ พร้อมกับเหงื่อที่ไหลออกมาต่างก็ถูกชะล้างด้วยฝนที่ตกลงมา
เชื่อเขาเลยเสียจริง มือข้างที่ไม่เจ็บก็ไม่จับ ดันมาจับมือข้างที่ได้รับบาดเจ็บ
ข้าเป็นคนได้รับบาดเจ็บนะ !
แล้วหลานเยาเยาก็ถีบเขาทันทีพร้อมตะโกนด้วยความโมโห
” แม่งเอ๋ย เย่แจ๋หยิ่ง ทางที่ดีท่านควรจะให้คำอธิบายที่สมเหตุสมผลกับข้า มิฉะนั้น…..”
” มิฉะนั้นอันใดเล่า ? ”
” มิฉะนั้นข้ากับท่านก็จะ….อื้อ….” ยังไม่มีโอกาสได้กล่าวคำว่าตัดขาดสองคำนี้
ยังไม่ทันได้กล่าวจบ เย่แจ๋หยิ่งก็โน้มตัวลงมาจูบริมฝีปากของนางที่ถูกฝนชะล้างไปครั้งแล้วครั้งเล่า จนทำให้นางถึงกับตะลึงอย่างไม่ต้องประหลาดใจ
ฮือ······
หัวของนางว่างเปล่าไปชั่วขณะ ความคิดที่จะหนีออกจากจวนก็ควบคุมไม่ได้อีกต่อไป แต่ในไม่ช้านางก็ดึงสติกลับมาอีกครั้ง
แม่งเอ้ย !
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
จู่ๆเย่แจ๋หยิ่งก็จูบนาง……
“ติง······”
” ยินดีด้วยเจ้านาย ระบบได้ทำรับการอัพเกรดอีกครั้ง ขณะนี้กำลังทำการเปิดให้คุณใช้ยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ระดับ 4 โปรดตรวจสอบ ! ” เสียงกลไกดังขึ้นมาในสมอง สิ่งนี้ทำให้นางค่อนข้างประหลาดใจ
นี่ ความสุขนี้มันกระทันหันเกินไปแล้ว !
และแล้วเย่แจ๋หยิ่งก็ราวกับกลัวว่านางจะขัดขืน จึงใช้มือทั้งสองกอดรัดนางไว้อย่างแน่น ไม่ให้นางเคลื่อนไหวได้
ภารกิจสำเร็จแล้ว หลานเยายาที่อยากจะผลักเขาออก
แต่ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไรก็ดิ้นไม่หลุด ทำได้เพียงรับรอยจูบจากเขาต่อไป
รอยจูบของเขานั้นดูดุดันแต่กลับไม่คล่องแคล่ว หลังจากที่ประทับจูบลงบนริมฝีปากของนางเขาก็นิ่งงันโดยไม่ขยับ
เออ….
นี่เย่แจ๋หยิ่งทำอย่างกับจะจริงจังมากแต่กลับทำได้นิดเดียว !
ในเมื่อเขาจูบไม่เป็น เช่นนั้นก็คงจะใช้เวลาไม่นานนัก เขาก็คงจะปล่อยนางเป็นแน่
เช่นนั้นก็รออีกสักหน่อย !
เพราะยังไงเสียนางก็ไม่สามารถที่จะหลุดจากการควบคุมของเขาอยู่ดี
แต่หามีผู้ใดรู้ไม่ว่า!
ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่ได้เป็นอย่างที่นางคิดไว้
หลังจากนั้น เย่แจ๋หยิ่งกลับไม่ได้ปล่อยนาง แต่กลับค่อยๆดูดริมฝีปากของนางอย่างเบาๆ ค่อยลิ้มรสทีละน้อยๆ
แต่ในเวลาต่อมา เย่แจ๋หยิ่งกลับไม่ได้ปล่อยนางแต่อย่างใด แถมยังค่อยๆดูดปากของเธอ ลิ้มรสทีละน้อยๆ แล้วยังสนุกกับมันไม่หยุด
ความรู้สึกมึนงงเข้ามาบีบอัดอยู่ในใจ จูบจนนางรู้สึกสับสน
ทันใดนั้นนางก็รู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อย !
ในสมองราวกับว่ากำลังมีบางอย่างกำลังจะพังทลายลง…..
ทว่า นางที่คิดจะต่อต้านเย่อจ๋หยีงก็ยิ่งกอดรัดนางไว้แน่นกว่าเดิม ไม่ให้นางขัดขืนได้ แล้วอย่างค่อยๆเพิ่มแรงดูดปากนางทั้งค่อยๆดูดดื่มอย่างลึกซึ้ง
หลานเยาเยาที่ค่อยๆถูกจูบจนตะลึง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความต้องการที่ไม่มีสิ้นสุดของเขา สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าเมื่อใดกันที่นางเริ่มตอบโต้เขา
การกระทำเช่นนี้ยิ่งทำให้เย่แจ๋หยิ่งมีความรู้สึกโล่งใจมายิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันเขาก็เริ่มโลภกับการครอบครองริมฝีปากของนาง ราวกับว่ามีสิ่งของล้ำค่าที่ล่อตาล่อใจให้เขาอยากเข้าไปสำรวจซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หลังจากได้รับการตอบโต้จากหลานเยาเยา ความบ้าบิ่นของเขาก็เพิ่มมากขึ้นพร้อมกับรุกหนักอย่างรุนแรง
ท่ามกลางสายฝนห่าใหญ่ ทั้งสองคนยิ่งนานก็ยิ่งก็กอดกันแน่นยิ่งขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้
ในเวลาต่อมา
หลานเยาเยาที่ถูกจูบก็ถึงกับร่างกายอ่อนลง อากาศในปากก็ราวกับว่าถูกแย่งไปจนหมด เย่แจ๋หยิ่งถึงได้ยอมปล่อยนางอย่างไม่ค่อยเต็มใจ
ทั้งสองคนสบตากัน ต่างก็ถอนหายใจต่ำๆ ทั้งที่ตามจริงแล้วหากร่างกายเปียกฝนในฤดูใบร่วงจะต้องรู้สึกหนาวถึงจะถูก
ทว่า !
ในเวลานี้ใบหน้าและแก้มของหลานเยาเยากลับแดงก่ำ ตัวร้อน ส่วนเย่แจ๋หยิ่งนั้นก็หูแดงไปจนถึงคอ