หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - บทที่ 235 คนแปลกหน้าที่พบกันอีกครั้ง
บทที่ 235 คนแปลกหน้าที่พบกันอีกครั้ง
ไปแล้ว?
หลานเยาเยาเกิดความรู้สึกไม่น่าเชื่อขึ้นมานิดหน่อย
สองปีที่ผ่านมานี้แม้ว่านางจะกลายเป็นตำนาน แต่คุณงามความดีที่โชติช่วงที่นางได้ทำทั้งหมด ก็มีทั้งด้านที่เป็นข้อดีและข้อเสีย เพราะในขณะเดียวกันที่ลงโทษและกำจัดความชั่วร้ายนั้น ก็ได้สร้างศัตรูไว้มากมาย
ดังนั้น!
พวกอุบายหลอกลวงเหล่านี้ การโจมตีแบบเปิดเผยและซุ่ม นางคุ้นชินไปตั้งนานแล้ว
ยังคิดว่าเป็นการได้รับเกียรติด้วยซ้ำ!
เพราะฉะนั้น
สำหรับเหตุการณ์การลอบสังหารเมื่อครู่นี้ที่ยังไม่ได้เริ่มก็จบแล้วนั้น นางแสดงความไม่พอใจเป็นอย่างมาก
นี่ทำอะไรเนี๊ย?
ดูถูกคนงั้นหรือ?
ไม่ว่ายังไงก็ต้องแสดงท่าทีว่าต่อสู้กันสักนิดสิ! จื่อซีและจื่อเฟิงไม่ได้ซ้อมมือยืดเส้นยืดสายมาสิบกว่าปีแล้ว
ดังนั้นจึงเปิดม่านขึ้น ผิวปากหลายครั้งให้กับพวกนักฆ่าที่ได้พุ่งไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็ว
“หวีด……หวีด……”
“เห้! ไม่รบแต่กลับหนีมีกี่ความหมายกัน? พวกเจ้าควรจะหยุดแล้วรบกันสักสามร้อยครั้ง!”
จากประเทศผึงไหลนั่งรถม้ามาด้วยความเร็วจนถึงประเทศก่วงส้า นางใช้เวลาอยู่ในรถม้าเป็นส่วนใหญ่ ไม่มีของกินอร่อยๆ ไม่มีของสนุกๆ น่าเบื่อจะตายแล้ว
ในที่สุดตอนนี้ก็มีเหตุการณ์ลอบสังหาร นางยังอยากจะรอดูฉากการต่อสู้ที่น่าสนุกนะ!
คิดไม่ถึงว่าจะอดดูแล้ว
จึงรู้สึกหดหู่ใจขึ้นมาอย่างที่สุดทันที
จื่อซีทั้งสองชินกับการที่หลานเยาเยาจะเกิดอาการประสาทเป็นระยะเช่นนี้ หลังจากที่มองหน้ากัน ก็เตรียมที่จะขับรถม้าเพื่อจากไป
ใครจะรู้……
จื่อเฟิงยกบังเหียนขึ้นมือก็ค้างไว้อยู่ในกลางอากาศ
“คุณหนู พวกเขาหยุดลงแล้ว!”
เมื่อข่าวดีนี้แว่วมา
หลานเยาเยาที่เอาหน้าต่างลงมาครึ่งหนึ่งแล้ว รีบเปิดม่านขึ้นทันที แล้วคว้าเมล็ดแตงโมที่ไม่รู้ว่าไปเอามาจากที่ไหนออกมาหนึ่งกำ และก็แทะอย่างเอร็ดอร่อย
นางทำตัวเป็นคนดูที่กินเมล็ดแตงโมอย่างเงียบๆ รอคอยการแสดงการต่อสู้
บอกให้หยุดก็หยุด นี่เชื่อฟังเกินไปรึเปล่า?
แต่ทว่า……
พวกนักฆ่าที่หยุดนั้น หันหลังให้พวกเขา
นี่ก็อธิบายได้ว่า เป้าหมายของนักฆ่าไม่ใช่พวกเขา
เมื่อสักครู่ที่ได้ล้อมพวกเขาไว้ น่าจะเป็นเพราะจำฝ่ายตรงข้ามผิดไป
พวกนักฆ่าที่หยุดลงตรงที่ไกลๆ ต้องได้ยินคำพูดของหลานเยาเยาเป็นธรรมดา แต่ละคนเหมือนกำลังมองคนโง่อยู่ก็ไม่ปาน มองไปทางพวกเขาแวบหนึ่ง
พวกเขาเป็นนักฆ่า!
ฆ่าคนได้ ทั้งยังโหดเหี้ยมชั่วร้ายที่สุดเช่นนั้น
ใครที่เจอพวกเขาแล้วไม่ยอมอ้อมไปใช้ทางเดินอื่น ก็ต้องใช้กำลังเพื่อรักษาชีวิตไว้?
พวกเขากลับลองดี ไม่เพียงแค่ไม่หลบหลีกไป ยังจะดันทุรังเข้ามาหาอีก ชั่งไม่เห็นพวกเขาที่เป็นนักฆ่าอยู่ในสายตาเอาซะเลย
อีกสักครู่เมื่อเสร็จธุระจากเรื่องตรงนี้ ค่อยไปจัดการพวกเขา
ทันใดนั้น!
ลมเย็นยะเยือกพัดโชยมา ลมกรรโชกที่ไร้ซึ่งร่องรอยพัดตีมาเป็นระลอกระลอก
“ตาตาตา……”
รถม้าสีดำที่แสนจะหรูหราคันหนึ่งเคลื่อนมาช้าๆ ผ้าม่านสีดำทั้งสองข้างของรถม้าโบกพลิ้วไปตามลม ทำให้รถม้านั้นยิ่งมีพลังแห่งแรงสังหารเข้าไปอีก
ในที่ไกลๆ หนุ่มคนขับรถมาได้เห็นพวกนักฆ่าเหล้านั้นแล้ว
แต่กลับไม่มีแววว่าจะหยุดรถเลย
และยัง ขับรถม้าไปข้างหน้าต่ออย่างช้าๆ ท่าที่สุขุมไม่กังวลใดๆนั่น คนปกตินั้นแสร้งออกมาไม่ได้
โอ้โห!
เพ่ยเพ่ยเพ่ย……
รถม้านี่จะใหญ่โตไปแล้ว?
และท่าทางที่น่าเกรงขามนั่น ทำให้คนที่เห็นต้องรู้สึกสะพรึงกลัว!
ในขณะเดียวกันหลานเยาเยาก็รู้สึกอิจฉา แล้วก็มองกลับมาดูที่รถม้าของตัวเอง
รถม้าของตัวเองก็ดูดียิ่งใหญ่งามสง่า แสดงให้เห็นถึงความหรูหรา แต่เมื่อเทียบกับรถม้าสีดำคันนั้น นั้นก็เหมือนกับแม่มดน้อยเจอแม่มดใหญ่เทียบกันไม่ติดเลย
ไม่ได้!
มีรถม้าสีดำนั่นอยู่ สามวันหลังจากนั้นนางจะเปิดตัวในเมืองหลวง อาจจะไม่ได้ทำให้ทุกคนตกตะลึง
ดังนั้น นางคิดว่ารถม้าคันนี้ของนางนั้นต้องเปลี่ยนแปลงสักหน่อย
หลังจากที่ตัดสินใจแผนการเปลี่ยนแปลง หลานเยาเยาก็ทอดสายตาไปยังรถม้าสีดำที่อยู่ไกลๆอีกครั้ง!
เวลานี้รถม้าสีดำได้มาถึงด้านหน้าของพวกนักฆ่าแล้ว แต่กลับยังคงเดินต่อไปไม่หยุด
แรงสังหารที่แรงกล้าของพวกนักฆ่า เพราะพลังที่ออกมาจากรถม้า ทำให้ลดลงไปอย่างมาก
“มีคนจ่ายทองมาหนึ่งหมื่นชั่งเพื่อแลกเอาชีวิตเจ้า รีบลงมารับความตายซะ”
หัวหน้านักฆ่ามองรถม้าที่ดำเนินไปอย่างช้าๆ มองดูด้วยสีหน้าที่โหดเหี้ยม
“ฆ่า!”
หนึ่งคำที่เยือกเย็นทะลุไปถึงกระดูก ดังออกมาจากด้านในรถม้าสีดำ เหมือนกับว่ามันจะกลายเป็นลมเย็นที่โจมตีไปยังก้นบึ้งของจิตใจของพวกนักฆ่าโดยตรง ทำให้พวกเขาเย็นวาบไปถึงสันหลังในชั่วพริบตา
เสียงนั่นถึงขั้นสามารถเปรียบได้ว่าน่าสะพรึงกลัวเป็นที่สุดได้!
จากนั้น พวกเขาแต่ละคนก็ตกใจกลัวจนเบิกตาโพลง
นายท่านไม่ได้บอกว่า งานที่พวกเขารับมานี้สามารถสำเร็จได้โดยง่ายดายหรอกหรือ?
แต่ทว่า…..
เสียงที่แว่วออกมาจากด้านในรถม้านี้ชัดเจนว่า……
เพียงคิดถึงเจ้าของเสียง นักฆ่าแต่ละคนก็หวาดผวาจนหน้าซีดเผือดในไปเสี้ยววินาที
จากนั้น!
ฆ่า สิ้นสุดหางเสียงของคำนั้น
ในเสี้ยวนาทีก็มีเงาร่างคนสี่คนที่ซ่อนตัวอยู่ในที่มืดปรากฏกายออกมา เข้าไปอยู่กลางกลุ่มนักฆ่าด้วยความเร็วปานสายฟ้าฟาด เพียงแค่เวลาลมหายใจเดียว นักฆ่าสิบกว่าคนก็กลายเป็นวิญญาณกลับไปยังแดนสุขาวดี
วินาทีถัดมา เงาร่างทั้งก็กลับไปซ่อนตัวอยู่ในที่มืดอีกครั้ง
หากว่าไม่มีกลิ่นคาวเลือด และศพสิบกว่าศพอยู่ ก็ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
และไม่มีใครรู้เลยสักนิด เมื่อสักครู่เวลาชั่วอึดใจเดียวที่เห็นคนตายตั้งมากมาย
ที่เห็นฉากนี้
ดวงตาของหลานเยาเยานั้นไม่ได้กะพริบเลยแม้แต่น้อย มุมปากกลับยกขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่เรื่องแปลกไปเรื่อยๆ
ผู้ที่นั่งในรถม้าแท้จริงแล้วเป็นเขา……
เหอะ!
สามปีแล้ว
เขายังคงกระหายเลือดอยู่เช่นนั้น และนางก็ได้เปลี่ยนไปจนไม่เหลือเค้าเดิมนานแล้ว
การพบกันอีกครั้งคิดไม่ถึงว่าจะเป็นวิธีการเช่นนี้ ดียิ่งนัก ดียิ่งนัก……
นางกลับมาแล้ว กลับมาล้างแค้นแล้ว
และเมื่อจื่อซีกับจื่อเฟิงได้เห็นเงาร่างทั้งสี่คนนั้นปรากฏขึ้น ก็เบิกตากว้างขึ้นมาทันที จากนั้นก็มองไปทางหลานเยาเยา แววตาเคลือบไปด้วยความกังวล
เพียงแค่เห็นชุดของสี่คนนั้น พวกเขาก็รู้ได้ว่าคนที่นั่งในรถม้าคือใคร?
ยังดี หลานเยาเยายังเพียงแค่ยิ้ม
ไม่ได้ลงมือกระทำการใด!
แต่ว่า……
รอยยิ้มเช่นนี้ของนาง ชั่งน่ากลัวยิ่งนัก!
รถม้าสีดำยังคงไม่หยุด ตั้งแต่เริ่มจนจบยังคงเคลื่อนที่ไปอย่างช้าๆ และเข้ามาใกล้รถม้าของหลานเยาเยาขึ้นเรื่อยๆ
ด้วยเหตุนี้!
หลานเยาเยาจึงได้เอาผ้าม่านรถม้าลง นั่งอยู่ในรถม้าเงียบๆ
ท่าทีของนางตอนนี้ คาดว่าหานแสเจอแล้วก็ยังจำไม่ได้หรอก!
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่เคยรู้จักนางเลย
นางก็ไม่ได้เป็นห่วงว่าจื่อซีและจื่อเฟิงจะถูกจำได้ เพราะตั้งแต่ที่พวกเขาทั้งสองคนติดตามนางไปบุกลงใต้ขึ้นเหนือ ก็ได้ใส่หน้ากากครึ่งหน้าไว้
แม้แต่การแต่งตัว ก็ยังเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง
ดังนั้นสำหรับเรื่องว่าจะจำพวกเขาได้ในจุดนี้ นางไม่กลัวเลยสักนิด
รถม้าทั้งสองได้พบกัน หนึ่งคันหนึ่งทาง
เดิมทีก็เป็นเพียงการพบปะที่ไม่รู้จักกัน แต่ในช่วงเวลาที่รถม้าทั้งสองคันจะผ่านกันไป ลมพัดม่านเปิดออก เผยให้เห็นถึงใบหน้าทั้งสองที่ดูสง่างามอย่างยิ่ง
ใบหน้านึงเฉกเช่นเทพเซียน ใบหน้าหนึ่งเสน่ห์แพรวพราวงามกว่าสาวใดในเมือง
แต่ก็ไม่มีใครมองใคร ค่อยๆเคลื่อนผ่านเลยไปเช่นนี้……
เย่แจ๋หยิ่งในรถม้าสีดำ แอนกายพิงอย่างสบาย แววตาที่สุดแสนจะเย็นชาจับจ้องไปที่น้ำชาในมือ ที่ไม่ยอมชิมสักที
รถม้าเคลื่อนออกมาไกลมากแล้ว เหมือนกับว่าเขาเพิ่งจะดึงสติกลับมาได้!
“เมื่อครู่เป็นรถม้าของใคร?” เสียงที่ฟังดูดึงดูดดังออกมาจากในรถม้า
คนขับรถม้าตกตะลึงเล็กน้อย!
ท่านอ๋องตั้งแต่สามปีก่อน หลังจากกลับมาจากชนเผ่าหยินไห่ ก็ยิ่งเย็นชายิ่งกว่าเมื่อก่อน เย็นชาจนไม่ยอมจะปริปากพูดกับใครสักคนแม้แต่ประโยคเดียว
บางครั้งเวลายืนก็ยืนทั้งวัน
และก็ไม่รู้ว่าในใจกำลังคิดอะไรอยู่……
เขารู้สึกว่า อาจจะเพราะการสิ้นพระชนม์ของพระชายา
ท่านอ๋อง คงจะคิดถึงพระชายามากๆ!
“เรียนท่านอ๋อง ไม่เคยเห็นรถม้าคันนี้มาก่อนขอรับ”
เย่แจ๋หยิ่งพูดว่า “อืม”เบาๆออกมาหนึ่งคำ แล้วก็ไม่มีเสียงใดๆออกมาอีก….