หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - บทที่ 246 การพบปะครั้งที่ 2
บทที่ 246 การพบปะครั้งที่ 2
ฮ่องเต้แสร้งทำเป็นลังเลใจ
ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งสองท่านจงรักภักดีต่อพระองค์ เป็นคนที่พระองค์สนับสนุนมาเองกับมือ
ความภักดีของพวกเขา พระองค์รับรู้ถึงมันได้อย่างถ่องแท้
เหตุที่พระองค์ด่าว่าพวกเขา ก็เพราะรู้อยู่แล้วว่าพวกเขาจะต้องคร่ำครวญอย่างสุดใจ ก็เพราะพระองค์อยากจะดูว่า เทพธิดาจะลงเอยอย่างไร
“ในเมื่อฮ่องเต้คิดว่าพวกเขานั้นภักดี และพวกเขาก็คิดว่าตนเองนั้นซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ เช่นนั้นข้าก็จะถามพวกเขาสักสองสามคำถาม
หากพวกเขานั้นจงรักภักดีจริงๆ ข้าก็จะรักษาเกียรติของตนเอาไว้ ด้วยการใช้เวลาหนึ่งวัน ในการเสาะหาเบาะแสของตราหยกแห่งราชวงศ์เก่าในนามของฮ่องเต้”
ทันทีที่คำนี้พูดขึ้นมา
“วา……”
ทุกๆคนต่างลุกลี้ลุกลน ตกอกตกใจ
เทพธิดาจะหาตราหยกแห่งราชวงศ์เก่าให้เจอในนามของฮ่องเต้ และยังจะหาภายในวันเดียวอีกด้วย
นี่มัน……
จะเป็นไปได้อย่างไรกัน?
ฮ่องเต้ตามหามานานกว่าหลายสิบปี ไม่เคยพบแม้แต่ร่องรอย แต่เทพธิดาจะให้หาเจอภายในหนึ่งวันงั้นรึ?
เป็นไปไม่ได้ ยังไงก็เป็นไปไม่ได้
“ฮ่าๆๆๆ……ดี ดีๆๆ เทพธิดาถามพวกเขาได้ตามสบาย” ฮ่องเต้พูดคำว่าดีไปสองสามคำ ความสุขบนใบหน้านั้นก็สุขเกินกว่าจะบรรยาย
ได้รับการรับประกันจากเทพธิดาแล้ว
ไม่ต้องพูดถึงการถามเพียงสองสามคำ ต่อให้จะถามเยอะเป็นรถถัง จะใช้เวลาชีวิตของพวกเขาไปกว่าครึ่ง พระองค์ก็ไม่มีปัญหา
ถึงอย่างไร!
เบาะแสของตราหยกแห่งราชวงศ์เก่าก็เป็นความกังวลใจของพระองค์
เพียงได้พบเบาะแสของตราหยกแห่งราชวงศ์เก่า บัลลังก์ของพระองค์ก็จะปลอดภัย เมื่อบัลลังก์ปลอดภัย แน่นอนว่าความกังวลก็จะหายไปเป็นปลิดทิ้ง
ถึงแม้ว่าพระองค์จะไม่เชื่อเทพธิดา ว่าจะสามารถหาเบาะแสของตราหยกแห่งราชวงศ์เก่าได้ภายในวันเดียว แต่ก็เห็นความมั่นใจที่เต็มเปี่ยมของเทพธิดา
พระองค์จึงรู้สึกได้ทันทีว่า ครั้งนี้จะค้นพบตราหยกแห่งราชวงศ์เก่าอย่างแน่นอน
หลานเยาเยาพยักหน้าเบาๆ
จากนั้นก็มองไปทางคนสองคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้น พวกเขาคุกเข่าตัวสั่นระรัวอยู่บนพื้น ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา
เช่นนั้น นางจึงค่อยๆเดินไปทางพวกเขา พร้อมเผยอริมฝีปาก
“เช่นนั้นจะถามคำถามง่ายๆอุ่นเครื่องก่อนแล้วกัน”
หลานเยาเยาค่อยๆพูดอย่างสงบเสงี่ยม ด้วยน้ำเสียงอันไพเราะน่าฟัง “ขอประทานอภัยท่านทั้งสอง ข่าวคราวของตราหยกแห่งราชวงศ์เก่า แพร่มาจากที่แห่งใดของเมืองหลวงกันรึ?”
“ทางถนนทิศตะวันตกของกำแพงเมืองขอรับ”
เฉียนตุ้นและหลานเฉินมู๋เกือบจะพูดออกมาเป็นเสียงเดียวกัน
นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนรู้กันดี พวกเขาเองก็รู้อยู่แล้วว่าคงไม่ใช่สิ่งที่หลานเยาเยาสนใจ
“ด้วยเหตุที่ถูกแพร่มาจากทางทิศตะวันตกของกำแพงเมือง งั้นขอถามว่า มันมาจากคนเดินเท้าตามทางเท้าหรือว่ามันมาจากในย่านร้านค้าที่เรียงรายอยู่สองข้างทาง?”
หลังจากที่นางถามคำถามนี้ออกมา
หลานเฉินมู๋และเฉียนตุ้นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆพูดว่า:
“……คนเดินเท้าขอรับ”
“……แพร่มาจากในย่านร้านค้าขอรับ”
เมื่อพวกเขาตอบออกมา อยู่ๆก็เสียวสันหลังวาบขึ้นมา
พวกเขาเอามาจากไหนกัน ว่าแพร่มาจากทางเท้า หรือแพร่มาจากในย่านร้านค้า!
เนื่องด้วงหลังจากช่วงที่มีข่าวของตราหยกแห่งราชวงศ์เก่าแพร่ออกมา ยังไม่ทันถึงหนึ่งชั่วยาม ข่าวก็ได้สะพัดไวอย่างกับไฟป่า แพร่กระจายไปทุกซอกตรอกซอย
อีกทั้ง……
ธูปสองดอกยังไม่ทันมอด ข่าวก็ได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว
พวกเขาวุ่นตรวจสอบกันแต่ย่านร้านค้า และคนเดินเท้าแถบด้านทิศตะวันตกของกำแพงเมืองเท่านั้น
แล้วจะไปเจอแหล่งที่มาได้อย่างไรกัน?
“หึ! ไม่ทันไรก็ตอบไม่ตรงกันซะแล้ว อย่างงั้นก็ขอถามว่า ต้องใช้กำลังสักเท่าไหร่ ถึงจะสามารถแพร่กระจายข่าวได้อย่างรวดเร็วโดยมิทันมีผู้ใดสังเกตเห็นได้เลย?”
เมื่อนางพูดออกมา ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งหลายก็กระจ่างในทันใด
ใช่แล้ว!
หากมิมีอำนาจอันใด ข่าวก็ไม่สามารถแพร่ออกไปได้รวดเร็วถึงเพียงนั้น ขณะที่เพิ่งจะรู้ตัว คนทั้งเมืองหลวงเขาก็รู้กันหมดแล้ว
การกระจายข่าวออกไปไม่ใช่แค่คนคนหนึ่ง แต่เป็นกลุ่มคนที่มีอำนาจ และที่ยิ่งไปกว่านั้น มันคืออำนาจอันทรงพลังที่พวกเขามิอาจสังเกตเห็น
ดวงตาของฮ่องเต้หรี่ลงเหมือนตระหนักบางสิ่งได้
พระองค์ก็ต้องเคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อนเป็นแน่ มันก็แน่นอนว่า ตราหยกแห่งราชวงศ์เก่าจะต้องหายไปกับคนของราชวงศ์เก่า
อย่างงั้นก็ ………
การปรากฏขึ้นของมันในเพลานี้ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับราชวงศ์เก่าอย่างแน่นอน
หลังจากนั้น!
เขาก็หยุดสายตาลงที่ร่างของเฉียนตุ้นและหลานเฉินมู๋
เห็นพวกเขายืดยาดไม่ตอบกลับ ก็อดไม่ได้ที่จะใจหาย
เรื่องสำคัญถึงเพียงนี้ พวกเขาไม่เคยนึกถึงมาก่อน รู้เพียงแต่การตรวจหาสุ่มสี่สุ่มห้า ถึงว่า จะให้เวลาพวกเขาในการตรวจสอบไปสักกี่เดือน พวกเขาก็ไม่สามารถหาต้นตอได้เลย
หึ!
ไอ้พวกไร้ประโยชน์
“แม่ทัพหลาน เฉียนส้าวชิง(ส้าวชิง ชื่อตำแหน่ง) ใยเจ้าทั้งสองถึงไม่ตอบ?”
เมื่อได้ยินความหงุดหงิดของฮ่องเต้
หลานเฉินมู๋ที่ดูกังวลก็กัดฟัน ตัดสินใจพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา:
“ฮ่องเต้ขอรับ ข้าน้อยก็เคยตระหนักถึงปัญหานี้ และเคยรายงานต่อเฉียนส้าวชิงมาก่อน
แต่เฉียนส้าวชิงกลับกล่าวว่า เรื่องนี้มันเป็นไปไม่ได้ เพราะเมืองหลวงได้รับการป้องกันอย่างแน่นหนา หากมีพลังอำนาจใดแฝงอยู่ องครักษ์แห่งวังหลวงจักต้องรู้ได้
ข้าน้อยเองก็รู้สึกว่าถูกต้องแล้ว แต่ถึงอย่างไร เฉียนส้าวชิงเป็นถึงยอดฝีมือในการตัดสินคดีแห่งศาลต้าหลี่ แต่ข้าน้อยเป็นเพียงขุนนางธรรมดา ในเมื่อเขากล่าวเช่นนั้น ข้าน้อยก็มิอาจถามต่อให้มากความพระพุทธเจ้าข้า”
“แม่ทัพหลาน เจ้าอย่าพูดไร้สาระ เจ้าไม่เคยพูดเรื่องสำคัญนี้กับข้า เมื่อเทพธิดายกขึ้นมาในเพลานี้ เจ้าจึงปัดเรื่องทั้งหมดมาให้ข้า เจ้ามีเจตนาอันใดกันแน่?”
เฉียนตุ้นเป็นกังวลอย่างทันท่วงที
ไม่มีปัญหาขึ้นมาก็ดี แต่เมื่อมีขึ้นมาพวกเขาก็ไม่ควรปัดความรับผิดชอบ
ไม่คิดเลยว่าหลานเฉินมู๋จะปัดความรับผิดชอบทั้งหมดให้กับเขา
หมดหนทาง!
“ข้าพูดไร้สาระงั้นรึ?”
หลานเฉินมู๋ชี้นิ้วมาที่ตนเอง จากนั้นเขาก็ก้มหัวกระแทกพื้นต่อฮ่องเต้ รวมทั้งสาบานต่อฟ้าดิน:
“ฮ่องเต้ คำของข้าน้อยนั้นเป็นความจริง องครักษ์ที่ไปตรวจสอบกับข้าน้อยต่างก็ได้ยินกันหมด
อีกทั้งเฉียนส้าวชิงก็ยังไม่ได้รวบรวมคำให้การของพยานส่งต่อแก่ศาลต้าหลี่ แต่นำทั้งหมดกลับมาที่จวน ข้าน้อยรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าสงสัยมากขอรับ”
ในช่วงเพลาเช่นนี้ หลานเฉินมู๋รู้สึกว่า หากมีน้ำเน่า สาดได้ก็ต้องสาด
เมื่อเฉียนส้าวชิงมีปัญหา เช่นนั้นความผิดในหน้าที่ของเขาก็จะยิ่งลดลงไป
“เจ้า……แม่ทัพหลาน คำให้การเหล่านั้นมีนับพันนับหมื่นคำ ในช่วงนั้นเราทุกคนต่างมึนงงกันไปหมด
ศาลต้าหลี่อยู่ห่างจากที่ที่เราอยู่อย่างไกลโข และจวนของข้าก็อยู่ใกล้ๆ จึงได้นำกลับมาที่จวนเพื่อให้ดูได้ง่ายขึ้น
ตอนนั้น ก็ย่อมผ่านการยินยอมของเจ้าด้วยเช่นกัน ด้วยการปัดความรับผิดชอบ เจ้าจึงได้แว้งกัดข้า ไอ้คนใจคด”
มองดูพวกเขาที่ตอกกลับกันไปตอกกลับกันมา
ใบหน้าของหลานเยาเยาก็เผยรอยยิ้มขึ้นมามากกว่าเดิม
หลานเฉินมู๋ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของตนเป็นที่สุด ไม่ทำให้นางผิดหวังเลยจริงๆ
ใช่แล้ว!
เมื่อเป็นเช่นนี้กันต่อไป คนที่จะอับอายขายขี้หน้าก็คือฮ่องเต้
ไม่ได้เห็นหน้าของฮ่องเต้ ไม่รู้ว่าหน้าจะยาวเหมือนหน้าม้าไปรึยัง? พวกเขายังเถียงกันไปเถียงกันมาอยู่ตรงนั้น
และแล้ว!
พวกเขาก็เถียงกันอย่างดุเดือดมากขึ้น ดั่งกับว่ามิมีผู้ใดนั่งหัวโด่อยู่ด้วยเลย……
“ปัง……”
ฮ่องเต้กริ้วโกรธถึงขั้นตบลงบนบัลลังก์มังกร พวกเขาทั้งสองจึงหุบปากเงียบ
เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งหลาย ต่างรีบคุกเข่าลงด้วยความยำเกรง พลางพูดเสียงดังลั่น: “ฮ่องเต้โปรดเย็นพระทัย”
มองเหล่าข้าราชบริพารทั้งหลายที่คุกเข่าอยู่ แล้วก็หันไปมองหน้าที่คล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มของเทพธิดา ฮ่องเต้โกรธหน้าดำหน้าแดงไปหมด
นี่คือขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งสองที่ภักดีต่อพระองค์งั้นรึ?
ด้วยปัญหาอันน้อยนิด กลับมาเถียงกันไม่หยุดหย่อนอยู่กลางพระตำหนักกระดิ่งทอง ที่ยิ่งไปกว่านั้น ยังมาทำต่อหน้าเทพธิดาที่เพิ่งจะมาเยือนประเทศก่วงส้าเป็นครั้งแรกอีก
แล้วพระองค์จะเอาหน้าไปไว้ที่ใดกัน?
ภายในห้องโถง จู่ๆก็มีบรรยากาศเสียวสันหลังอันเงียบสงัด ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่งถึงกับผายลมออกมาเพราะกลั้นไว้ไม่อยู่ จึงได้ยินเสียงกันอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
ฮ่องเต้จะทำเหมือนไม่ได้ยินก็ไม่ได้ จึงหันหน้าหนีไปทางอื่นแทน
เขายังปั้นหน้าได้อยู่อีกไหมนะ?
หลานเยาเยาอดไม่ได้ที่จะบีบจมูกของตน แล้วเดินห่างออกมาจากแหล่งที่มาของลมเน่านั่