หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - บทที่ 289 ฝ่าฝืนรับสั่งอันศักดิ์สิทธิ์
บทที่ 289 ฝ่าฝืนรับสั่งอันศักดิ์สิทธิ์
เขาแตกตื่นอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ที่มากกว่านั้นคือความฉงนสงสัย
หลานเยาเยาไม่สนใจข้อสงสัยของเขา เพียงพูดอธิบายต่อไปว่า:
“ทุกครั้งที่เขาบินไม่ได้ ล้วนเป็นเพราะถูกข้าใช้เข็มเงิน แทงเข้าที่จุดเลือดลมบนร่างกาย แม้ว่าเขาจะไม่ตาย แต่ก็ถูกข้าปิดผนึกกำลังภายในเอาไว้
หากเจ้าฝืนใช้กำลังภายในโดยไม่รู้ตัว เจ้าก็จะมีสภาพเป็นอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ทันที
องค์ชายรัชทายาท ตอนนี้เข้าใจแล้วหรือไม่ ว่าอะไรคือชิงลงมือก่อนได้เปรียบ ? ”
เมื่อพูดจบ
นางชักกระบี่ออกจากเอวของเย่หลีเฉิน ภายใต้สายตาที่จับจ้อง มองมาอย่างแปลกใจของเขา นางก็ยัดกระบี่ใส่เข้าไปในมือเขาแล้ว ……
“เข้าใจแล้ว เทพธิดาช่างฉลาดหลักแหลมเหนือคนทั่วไปจริงๆ ถึงกับรู้จักพลิกแพลงเรื่องขับคัน มีไหวพริบรู้เท่าทันเหตุการณ์ถึงเพียงนี้”
“ฮะ ฮะ” หลานเยาเยาหัวเราะด้วยสีหน้าที่ดูหดหู่ “หากว่าสามารถรู้เท่าทันเหตุการณ์ได้จริง ก็คงจะดี เทพธิดาเช่นข้า จะสอนเคล็ดลับอย่างหนึ่งให้เจ้ารู้ดีไหม?”
เย่หลีเฉินมองกระบี่ยาวในมือ แล้วหันไปมองรอยยิ้มยวนเสน่ห์น่าหลงใหล ค่อยเอ่ยปากขึ้นอย่างช้าๆว่า:
“……ดีสิ!”
ทันทีที่สิ้นเสียงของเขา
หลานเยาเยาก็ยื่นมือออกไป วางซ้อนทับบนมือที่ถือกระบี่ยาวของเขา จากนั้นจึงกระซิบกับเขาด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า “ฆ่าเขาซะ!”
“เทพธิดา?”
เขาเงยหน้าขึ้นด้วยความตกตะลึง สบตาเข้ากับดวงตาคู่งามทรงเสน่ห์ของเทพธิดา เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า เทพธิดาผู้ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของเหล่าทวยราษฎร์ จะมีด้านมืดเช่นนี้อยู่ “เสด็จพ่อมีรับสั่ง ให้จับตัวกลับไปขังคุก”
“ฝ่าบาทยังตรัสด้วยนี่ว่า ให้ฆ่าได้ไม่มีละเว้น” หลานเยาเยาแย้มยิ้มยวนเสน่ห์
“ แต่ว่าตอนนี้ เราสามารถจับตัวกลับไป…… ”
เย่หลีเฉินไม่เคยขัดขืน ไม่เชื่อฟังรับสั่งของเสด็จพ่อมาก่อน ไม่ใช่เพียงเพราะว่า เสด็จพ่อเป็นพ่อของเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะเสด็จพ่อ เป็นราชาของทั้งประเทศ
อำนาจของฮ่องเต้นั้นเป็นสิ่งสูงสุด เขาไม่กล้าฝ่าฝืนรับสั่งอันศักดิ์สิทธิ์
“เสด็จพ่อของเจ้า ไม่อาจทรงรู้ความจริง” เมื่อเห็นเย่หลีเฉินอึ้งไป นางจึงหัวเราะเบา ๆ “เฮ้อ! เจ้าเองก็ไม่ใช่ว่า ยังไม่เคยฆ่าคนมาก่อนเสียหน่อย เหตุใดจึงไม่กล้าฝ่าฝืนรับสั่งสักครั้งล่ะ?”
เย่หลีเฉินส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
“ เทพธิดาไม่ใช่คนของประเทศก่วงส้า จุดจบของผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ของประเทศก่วงส้า สามารถใช้ศาลเตี้ยจัดการตามบุญคุณความแค้นได้
แต่ข้าทำไม่ได้ ข้าไม่เพียงแต่เป็นคนของประเทศก่วงส้า ทั้งยังเป็นองค์ชายรัชทายาทของ ประเทศก่วงส้าอีกด้วย หากกระทั่งข้าเองก็ยังไม่สนใจกฎหมาย ขัดขืนไม่ทำตามรับสั่ง
เช่นนั้น ความศักดิ์สิทธิ์ของอำนาจแห่งราชานี้ จะไปมีความหมายอะไร? ”
จุ๊ จุ๊ !
แต่ก่อนตอนที่เป็นคุณชายเจ้าสำราญ ทำสำอางเป็นลูกผู้ลากมากดี เขาไม่ใช่ว่าหยิ่งยโส กำเริบเสิบสาน อาละวาดอวดเบ่งไปทั่วหรอกหรือ ?
ทำไมพอมาเป็นเรื่องอำนาจของฮ่องเต้ กลับกลายเป็นเต่าหดหัวหดหาง ไม่กล้าทำกร่างไปเสียแล้วล่ะ?
“ช่างเป็นหนูน้อยแสนดีที่เชื่อฟัง ตั้งอกตั้งใจเรียนทุกวี่วัน หมั่นพัฒนาตนให้เปลี่ยนแปลงไปทางที่ดีขึ้นเสียจริงๆ แต่น่าเสียดาย … ในราชสำนักนี้ จะมีสักกี่คนที่ปฏิบัติตามกฎจริงๆ”
เวลานี้เอง
เย่หลีเฉินนิ่งเงียบไม่เอ่ยคำแล้ว
นางพูดได้ถูกต้องแล้ว มีไม่กี่คนหรอก ที่เชื่อฟังปฏิบัติตามกฎหมายจริงๆ
มีพวกผู้ดีจอมปลอมมากมาย ไม่รู้ว่ากี่คนต่อกี่คน ทำเรื่องชั่วช้าที่ไม่อาจให้ใครล่วงรู้อย่างเป็นการส่วนตัวโดยไม่มีความละอายใจ
เมื่อเห็นเช่นนั้น!
หลานเยาเยากล่าวต่ออีกว่า: “ฆ่าคนหนึ่งคนเป็นอาชญากร ฆ่าคนทั้งเมืองเป็นมารร้าย ฆ่าคนนับหมื่นๆกลับเป็นถึงพระราชา เจ้าว่านั่นเป็นเพราะอะไร?”
“เป็นเพราะว่า….”
ไม่ใช่ว่าเขาตอบไม่ได้ แต่เป็นเพราะไม่กล้าตอบ
หลานเยาเยาหัวเราะพรืดออกมาเลยทีเดียว
“ข้าพากเพียรใช้เวลาสามปีสร้างชื่อเสียง จนผู้คนต่างแซ่ซ้องชื่นชม ถูกยกย่องให้เป็นเทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ ชื่อเสียงเกียรติยศความรุ่งโรจน์เหล่านี้ ล้วนต้องใช้เลือดเนื้อ และกองซากกระดูกแลกเพื่อให้ได้มาทั้งสิ้น
เย่แจ๋หยิ่ง ท่านอ๋องผู้เปี่ยมอำนาจแห่งประเทศก่วงส้า ผู้ทำคนทั่วทั้งแผ่นผืนทวีปต้องตกตะลึงด้วยฉายาเทพแห่งสงคราม เขาเพียงพลิกฝ่ามือก็เรียกเมฆเรียกฝนได้แล้ว หรือเจ้าจะบอกว่าความรุ่งโรจน์เหล่านี้ ล้วนได้มาเปล่าๆอย่างนั้นหรือ?
ไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่น แค่พูดถึงในประเทศก่วงส้า เจ้าคงเป็นคนที่ไม่กล้าฝ่าฝืนรับสั่งที่สุดแล้วล่ะ!
เจ้าคิดว่าบัลลังก์ของเขาได้มาอย่างไรกันล่ะ?
อย่าบอกเทพธิดาเช่นข้าล่ะว่า มันเป็นอุบัติเหตุเภทภัย ที่สวรรค์บันดาลให้เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน เป็นไฟสวรรค์ดลบันดาล ให้เผาผลาญเลือดเนื้อเชื้อไขของราชวงศ์ก่อนหน้าจนหมดสิ้นโดยสุดแสนจะบังเอิญ แล้วก็เป็นเรื่องบังเอิญอีกเช่นกัน ที่เขาได้เข้าครอบครองบัลลังก์ ”
คำพูดเหล่านี้ที่คนอื่นไม่กล้าพูด
ถูกนางพูดสาธยายอย่างตรงไปตรงมาจนหมดเปลือก ทำเอาสีหน้าเย่หลีเฉิน เปลี่ยนเป็นซีดเผือดขึ้นมาเลยทีเดียว
เขาอ้าปากครั้งแล้วครั้งเล่า แต่กลับพูดอะไรไม่ออก
ใช่แล้วล่ะ!
จะไปมีเรื่องบังเอิญราวสวรรค์บันดาลเช่นนั้นได้อย่างไร จะมีบัลลังก์ฮ่องเต้ที่ได้มาอย่างง่ายดายเช่นนั้นอยู่ที่ไหนกันล่ะ? เบื้องหลังของเรื่องราวเหล่านี้ ล้วนแต่ต้องเหยียบย่ำข้ามผ่านซากศพอาบเปื้อนเลือดผู้คนมาทั้งนั้น
“ว่าอย่างไรล่ะ พูดไม่ออกอย่างนั้นหรือ? ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวข้าจะบอกความจริงที่เจ้าไม่กล้าเผชิญหน้าให้เองก็แล้วกัน
หากเจ้าปล่อยเขาไป เขาไม่มีทางกลับตัวกลับใจมาประพฤติตัวเป็นคนใหม่ได้ เขาจะยังคงมีสันดานเดิมไม่เปลี่ยน และจะทำร้ายผู้บริสุทธิ์ต่อไปมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
หากเจ้าต้องการจับเขากลับไป สิ่งที่รอเขาอยู่นั้น ไม่ใช่อะไรที่ง่ายดายดังเช่นการนั่งรอความตายอยู่ในคุกไปวันๆ แต่เป็นความทรมานในขั้นที่เรียกว่า มีชีวิตอยู่ไม่สู้ตายไปให้พ้นๆ
ทางเลือกที่ถูกต้องที่สุดก็คือ ใช้กระบี่ที่เจ้ากุมไว้ในมือจนแน่นเล่มนั้น แทงกระบี่เดียวให้ทะลุหน้าอกของเขาไปเสีย เพื่อรักษาอำนาจของฮ่องเต้ที่อยู่ในใจเจ้า ไม่ใช่อำนาจของฮ่องเต้จากเสด็จพ่อของเจ้า ”
รักษาอำนาจของฮ่องเต้ที่อยู่ในใจเจ้า ไม่ใช่อำนาจของฮ่องเต้จากเสด็จพ่อของเจ้า……
ประโยคนี้สัมผัสซึมซาบเข้าไปในใจของเย่หลีเฉินอย่างลึกล้ำ ทำให้หัวใจที่สับสนวุ่นวายจนไร้ขอบเขตของเขาเปิดออกโดยพลัน เสมือนได้พบเสาหลักที่ยึดเหนี่ยวจิตใจให้ตนเองมีความหมายในการดำรงชีวิตต่อไป
กระแสเลือดลมสูบฉีดในทรวงอก ค่อยๆทวีความร้อนเร่า จนเดือดปุดผุดพรายขึ้นมาช้าๆ
เขารู้สึกตื่นเต้นอยู่ชั่วขณะ ยื่นมือออกไปวางทับซ้อนบนมือของเทพธิดาตรงๆ เมื่อเขาสัมผัสมือที่ขาวละเอียดบอบบางของนาง หัวใจของเขาก็พลันสั่นสะท้าน
จากนั้นจึงแย้มยิ้ม เอ่ยพูดอย่างหนักแน่นว่า:
“ข้าเข้าใจแล้ว!”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” หลานเยาเยาพยักหน้าด้วยความปลาบปลื้มใจ
พูดเป็นพันคำเป็นหมื่นคำ ถ้าเขายังไม่เข้าใจอีกล่ะก็ นางจะเอาเต้าหู้มาทุบหัวแทนกำแพงแล้ว
เพียงแต่ว่า……
เขาเข้าใจแล้วจริงๆ หรือแกล้งว่าเข้าใจแล้วกันล่ะนี่?
ลงมือทำให้เห็นหน่อยมั้ย!
มาลูบมาคลำนางอยู่ทำไมไม่ทราบ?
ช่างเถอะ
บางที นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่ทำเรื่องที่ฝ่าฝืนคำสั่ง ของคนที่ไม่อยากฝ่าฝืนที่สุดก็ได้ อาจยังรู้สึกลังเลสับสน คลำทางไม่ถูกอยู่บ้าง เช่นนั้นนางจะช่วยเขาอีกสักครั้งก็แล้วกัน
เมื่อเป็นดังนั้น
หลานเยาเยายื่นมืออีกข้างออกไป โบกมือครั้งหนึ่ง พลันปรากฏเส้นด้ายสีเงิน เส้นยาวบางละเอียด พุ่งเข้าไปรัดพันเข้าที่ชายผู้ซึ่งพยายามจะแอบหนีไปอย่างเงียบ ๆ เอาไว้ทันที
จากนั้นจึงดึงเพียงครั้ง
ได้ยินเสียงดัง “อา” เพียงเสียงหนึ่ง คนที่แอบลอบหนีอยู่ก็ถูกลากไปด้านหน้า ชายคนนั้นตกใจจนวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง
แต่ทว่า!
เมื่อรู้ว่าเขาไม่สามารถหลบหนีได้ เขาจึงทำได้เพียง ยอมรับชะตากรรมของตัวเอง
หากจะต้องรอตายไปในสภาพที่อยู่ไม่สู้ตายล่ะก็ เขายอมถูกดาบเดียวฟันตายไปให้พ้นๆเสียยังดีกว่า
เพียงแต่……
“พวกเจ้า ….. พวกเจ้าจะทำเกินไปแล้ว ” ชายคนนั้นโกรธสุดขีด ส่งเสียงร้องตะโกนดังก้อง:
“เมื่อครู่มาถกกันเสียใหญ่โตถึงวิธีการตายของข้า มาทำให้ข้าเกิดบาดแผลทำร้ายจิตใจกันอย่างไม่มีเหตุไม่มีผล เคยคิดถึงความรู้สึกของข้ากันบ้างไหม?
ไม่ใช่ว่าคุยกันแล้วหรือว่า จะให้ข้าตายเสียโดยไวไม่ต้องทนทุกข์ นี่ข้ากลัวจนหัวใจแทบจะพุ่งทะลุออกมาจากอกอยู่แล้ว ไหนล่ะที่ว่าไม่ต้องทนทุกข์น่ะ!? ”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น!
หลานเยาเยาเอามือสัมผัสที่หัวใจ แอบถามตัวเองเพื่อหาคำตอบ
อือฮึ!
การถกเถียงเช่นนี้ของพวกเขา แน่นอนว่า จะต้องทำให้เกิดเงามืดขนาดใหญ่ขึ้นในใจของเป้าหมายอยู่แล้ว
เพียงแต่ว่า……
ตอนนี้นางกำลังสอนภาคปฏิบัติอยู่ ผู้รับการสอนสั่งคือองค์ชายรัชทายาทเย่หลีเฉิน ส่วนคนที่แอบลอบหนีคือเป้าหมายของการสอน
นี่คืออำนาจของฮ่องเต้ภายในใจ ที่เย่หลีเฉินเฝ้าปกป้องเอาไว้ตลอดมา นับจากที่เขาคิดจะขัดขืนรับสั่งอย่างลับๆนั่น จึงนับได้ว่านั่นคือก้าวแรกในชีวิต ที่เขาออกเดินด้วยความตั้งใจของตัวเอง
สิ่งนี้สำคัญมาก
“เจ้าควรจะรู้สึกเป็นเกียรตินะ เพราะเจ้าคือบันไดก้าวแรก สู่การตัดสินใจใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระ เป็นนายของตัวเองขององค์ชายรัชทายาท เจ้าจะถูกจดจำไว้ในใจตลอดไป”
เย่หลีเฉิน: “….. ”
ชายหนุ่ม: “….. ” ว่าไปแล้วก็ฟังดูมีเหตุผล จะตายทั้งที่ยังดูมีค่าใหญ่โตสูงส่งสินะ?”
ในขณะที่เขาอยู่ในอารมณ์โอนเอนหวั่นไหว กระบี่คมกริบก็แทงทะลุเข้าที่หน้าอกของเขา
เขารู้สึกถึงความตายที่คืบคลานเข้ามา แต่ยังดีที่ ความเจ็บปวดนั้นอยู่เพียงชั่วครู่ เทพธิดาไม่ได้หลอกลวงจริงๆด้วย
ชายคนนั้นล้มลง กระบี่อันคมกริบก็ถูกดึงออกมาเช่นกัน
เขาฆ่าคนแล้ว
ถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาฆ่าคน และเขาก็ไม่ได้เป็นฝ่ายริเริ่มที่จะฆ่า แต่เขารู้ว่าเทพธิดาชักจูงให้เขาทำเช่นนี้ และเขาเองก็ไม่ได้ต่อต้านแม้แต่น้อย …
เขาฝ่าฝืนรับสั่งของเสด็จพ่อไปแล้วจริงๆ …