หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - บทที่ 333 ภาพจิตรกรรมฝาผนังสี่ภาพ
บทที่ 333 ภาพจิตรกรรมฝาผนังสี่ภาพ
ด้านในถ้ำน้ำแข็งมีรูปทรงคล้ายกับครึ่งวงกลม บนกำแพงน้ำแข็งเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังที่สีสันสดใส
ถูกต้อง
ท่านไม่ได้ฟังผิด
บนกำแพงน้ำแข็งมีรูปภาพ ในภาพนั้นมีสีสันมากมาย ภาพวาดเหมือนจริง ราวกับว่ามีชีวิตจริง ภาพเหล่านี้มีทั้งหมดสี่ภาพ
สองภาพในนี้ ก่อนหน้านี้หลานเยาเยารู้สึกเหมือนกับว่าคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด ตอนนี้เมื่อได้ดูอย่างละเอียด ก็ยิ่งคุ้นเคยมากขึ้น
หลานเยาเยาก็ยืนอยู่ด้านหน้าของหนึ่งในรูปภาพจิตรกรรมฝาผนังที่คุ้นเคย ชี้ไปที่หนึ่งในนั้น พูดอย่างไม่น่าเชื่อว่า
“เย่แจ๋หยิ่ง ข้าไม่ได้ดูผิดใช่ไหม! ที่นี่คือทุ่งทะเลดอกกระดูกขาวในหุบเขาจิ้นที่ภูเขาเห้าของชนเผ่าหยินไห่ ชนเผ่าหยินไห่กับหุบเขาจิ้นทำไมถึงได้ปรากฏอยู่บนภาพจิตรกรรมฝาผนังนี้?”
อีกทั้ง ทุ่งทะเลดอกกระดูกขาวสีแดงไม่ใช่ราชครูของราชวงศ์เก่าทำออกมาหรือ?”
นี่เรื่องเป็นมายังไงกันแน่?
หรือว่าที่นี่ก็ไม่ใช่ที่ที่ราชครูผู้นั้นทำขึ้นมา?
เป็นไปไม่ได้!
หากว่าเขาสร้างขึ้นมา ก็ต้องเข้ามาไล่ล่านานแล้ว
ดังนั้น สมองของหลานเยาเยาสับสนไปหมด
เห็นเย่แจ๋หยิ่งทำเพียงยิ้มให้นางบางๆ และไม่มีการอธิบาย นางก็รีบก้าวไปอีกสองสามก้าวไปอยู่ด้านหน้าภาพจิตรกรรมฝาผนังที่คุ้นเคยอีกภาพหนึ่งทันที
มองดูภาพจิตรกรรมฝาผนังที่เป็นงานวัดที่มีคนมากมาย รวมถึงต้นบุพเพที่เต็มไปด้วยโบแดง ดวงตาแสดงความสงสัยยิ่งทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ
“แม้แต่ทางเชื่อมใต้ต้นบุพเพกับวังหิมะก็วาดออกมาแล้ว นี่ต้องมีความหมายซ่อนอยู่เป็นแน่”
หลานเยาเยาพูดเองเออเองไปได้สองสามประโยค
ก็รีบมาด้านหน้าของภาพจิตรกรรมฝาผนังภาพที่สามทันที ภาพจิตรกรรมฝาผนังภาพที่สามนี้นางกลับไม่เคยเห็นมาก่อน ราวกับว่าเป็นทะเลทรายแห่งหนึ่งที่ไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดจบ
แต่กลับมีดอกไม้ที่แปลกประหลาด
รูปปั้นที่ลึกลับ
ทรายที่ไหลอย่างลี้ลับซ่อนอยู่
รวมถึงการสร้างปราสาทขนาดใหญ่บนโอเอซิส……
นี่ นี่ก็ชั่งน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้วมั้ง?
แต่ว่า!
จากการที่นางได้เผชิญกับด่านแต่ละชั้นในหุบเขาจิ้น ผ่านความเป็นความตายมาหลายครั้ง พอที่จะอธิบายได้ วิกฤตกาลในภาพวาดล้วนน่าจะมีอยู่จริง
ดังนั้น หลังจากที่นางดูภาพจิตรกรรมฝาผนังภาพที่สามอย่างละเอียดเสร็จแล้ว ก็รีบไปที่ด้านหน้าของภาพจิตรกรรมฝาผนังภาพที่สี่ทันที
เมื่อเห็นภาพจิตรกรรมฝาผนังภาพที่สี่ หลานเยาเยาเบิกตากว้างโพลง มองดูภาพที่รูปร่างแปลกประหลาด นางคนทั้งคนงงงันไปหมด
ภาพจิตรกรรมฝาผนังภาพนี้ชั่งน่าแปลกนัก มองภูเขาไม่เป็นภูเขา มองน้ำไม่เป็นน้ำ คนไม่ใช่คน สิ่งต่างๆไม่ใช่หมอก เป็นสิ่งของบ้าอะไรกันแน่?
ยังมีอีกที่หนึ่งที่ชั่งน่าพิสดารยิ่งนัก
ก็คือภาพจิตรกรรมฝาผนังทั้งสามก่อนหน้านี้ตรงด้านบนสุดล้วนมีก้อนหินรูปร่างแปลกประหลาดอยู่ และยังส่องแสงสว่าง
แต่ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่สี่ กลับมีหินประหลาดอยู่สามก้อน
นี่เป็นเพราะอะไร?
“เย่แจ๋หยิ่ง ไม่ใช่ว่าท่านมีความทรงจำเกี่ยวกับชายชุดขาวผู้นั้นหรือ? น่าจะรู้ว่าเหล่านี้คืออะไรสิ?”
หลานเยาเยาหันหน้ามามองที่เย่แจ๋หยิ่ง แต่กลับพบว่าเย่แจ๋หยิ่งได้มายืนอยู่ด้านหลังของนางนานแล้ว
สายตาของเย่แจ๋หยิ่งเคลื่อนจากร่างหลานเยาเยาไปยังภาพจิตรกรรมฝาผนัง พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“รู้นิดหน่อย!”
เห็นว่าความทรงจำของคนผู้นั้นไม่ได้มีมาก มากที่สุดก็คือความทรงจำในวังหิมะ สำหรับอย่างอื่น ความทรงจำที่เขารู้เลือนรางมาก
“รู้เรื่องไหนบ้าง?”
รู้ก็ยังดีกว่าไม่รู้
รู้นิดหน่อยก็พูดนิดหน่อย นางมีความสงสัยต่อภาพจิตรกรรมฝาผนังเหล่านี้เป็นอย่างมาก
ในเวลานี้ เย่แจ๋หยิ่งยื่นมือไปชี้ที่หนึ่งบนภาพจิตรกรรมฝาผนัง ราวกับว่าได้กอดหลานเยาเยาไว้ครึ่งหนึ่ง น้ำเสียงทุ้มต่ำและมีความดึงดูดมาก
“ภาพจิตรกรรมฝาผนังทั้งสี่นี้มีความเกี่ยวข้องกันกับก้อนหินก้อนนี้ หินมีชื่อเรียกว่าหินสยบมังกร เล่ากันว่า เป็นหินเปิดฟ้าปิดพื้นดินที่เหลืออยู่ ยังมีประสิทธิผลในการสยบสิ่งชั่วร้าย
ความจริงแล้วไม่ใช่!
ที่มันสยบไม่ใช่ผีปีศาจที่ชั่วร้าย แต่เพราะเต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นมังกร ว่ากันว่ามังกรทิพย์วนเวียนอยู่ในแผ่นดินใหญ่ผืนนี้ตัวหนึ่ง หินสยบมังกรในภาพจิตรกรรมฝาผนังสี่ภาพนี้ก็ต่างแยกกันสยบศีรษะของมังกรทิพย์ ส่วนกลางกับส่วนหางสามส่วน”
เมื่อเย่แจ๋หยิ่งพูดเช่นนี้
หลานเยาเยาก็เหมือนกับว่าคิดออกแล้วส่วนหนึ่ง เพียงแต่ยังมีความสงสัยอีกมาก
“หากว่าตำนานเป็นจริง เช่นนั้นทำไมคนที่ถือหินสยบมังกรไว้จึงต้องสยบมังกรทิพย์ตัวนี้ล่ะ? หากว่าเอาหินสยบมังกรไปแล้วจะเป็นเช่นไร?”
ในเมื่อเป็นมังกรทิพย์ เช่นนั้นก็น่าจะเต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นมังกร เอาหินสยบมังกรไป กลิ่นมังกรกระจายไปทั่ว มังกรทิพย์จะคืนชีพได้หรือไม่?
เวลานี้!
ในสมองของเย่แจ๋หยิ่งก็ปรากฏภาพหนึ่งที่โฉมหน้างามเลิศเหมือนหลานเยาเยาขึ้นอย่างฉับพลัน เฉกเช่นกับเทพเซียนในตำนาน โบกหินสยบมังกรที่ส่องแสงสว่างไสวไปทั่ว……
เขามองหลานเยาเยาที่อยู่ในระยะใกล้มาก กะพริบตาเล็กน้อย
“ไม่รู้ บางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับยาวิเศษ”
“ยาอายุวัฒนะ?” ยาวิเศษก็ไม่ใช่สิ่งของที่ราชครูเทียนเวิงกับพวกคนอื่นอีกบางคนอยากได้หรอกหรือ?
“……” เย่แจ๋หยิ่งมุมปากกระตุกเล็กน้อย กลั้นยิ้มแล้วถาม : “เจ้าเรียกยาฉางตานว่าเป็นยาอายุวัฒนะ?”
“ยาฉางตาน? ! เอ่อแฮ่แฮ่แฮ่ ที่แท้สิ่งของที่พวกเขาอยากได้แย่งชิงกันจนหัวล้านข้างแตกเรียกว่ายาฉางตานหรอ?”
นางรู้ที่ไหนว่ายาวิเศษนั่นมีชื่อเรียกว่าอะไร รู้เพียงสามารถทำให้อายุยืนไม่แก่ โฉมหน้าไม่เปลี่ยน ดังนั้นก็เรียกไปชื่อหนึ่งตามใจไปเช่นนั้น
แม้ว่าจะเชยไปหน่อย แต่ความหมายก็ชัดเจนอย่างมาก
“เรื่องเหล่านี้ ท่านรู้มาจากความทรงจำของชายชุดขาวหมดเลยหรือ?”
เย่แจ๋หยิ่งพยักหน้า
“ไม่น่าล่ะ! เขาเป็นใครกันแน่นะ? รู้เยอะขนาดนั้น คงไม่ใช่เทพเซียนหรอกนะ? ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ จากนี้ไปก็เรียกเขาว่าเซียนชุดขาวแล้วกัน”
บนโลกนี้มีผู้ชายใส่เสื้อผ้าสีขาวเยอะขนาดนั้น และเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของเทพเซียน สูงส่งจนทำให้คนเอื้อมไม่ถึง ทั้งยังเป็นเพียงผู้เดียวที่มีโฉมหน้าดั่งเทพเซียนเหมือนเย่แจ๋หยิ่ง
ไม่เรียกเขาว่าเซียนชุดขาวจะเรียกว่าอะไร?
อีกทั้งชื่อนี้ก็น่าฟังมาก!
“เซียนชุดขาว?” เย่แจ๋หยิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย
เขาไม่ชอบให้หลานเยาเยาเรียกชายอื่นเช่นนี้ รู้สึกว่าสนิทสนมกันเกินไปหน่อย
“ถูกแล้ว! น่าฟังมากล่ะสิ? ที่สำคัญคือหน้าตาของเขาเหมือนกับท่าน ไม่เช่นนั้นข้าก็จะเรียกว่าคนผู้นั้นไปส่งๆแล้วกัน”
เมื่อได้ยินหลานเยาเยาพูดเช่นนี้ คิ้วที่ขมวดอยู่ของเขาก็คลายออกทันที
“ก็สามารถถูๆไถๆไปได้”
“ถูกแล้ว ยาฉางตานมีอยู่จริงหรือ?”
มีคนมากมายขนาดนั้นอยากได้ ก็เพียงแค่อยากมีชีวิตอมตะไม่แก่ชรา บำเพ็ญฌานเป็นเซียน
สมองของคนปกติ ก็ควรจะเข้าใจว่าทั้งหมดนี่เป็นเรื่องไร้สาระ
แต่ว่า……
เช่นเดียวกับราชครูเทียนเวิง ไทเฮาคนเหล่านี้ ก็ล้วนผ่านเรื่องราวอุปสรรคเรื่องจริงเท็จมาตั้งนานแล้ว วิธีการกับการมองการณ์ไกล คนปกติก็ไม่สามารถเทียบทันได้
ทำไมพวกเขาถึงได้ไม่มีความสงสัยและเชื่อต่อสิ่งนั้นเป็นอย่างมาก ทั้งยังสืบหามาโดยตลอด?
หรือว่ามีอยู่จริงๆ?
“หากว่าภาพจิตรกรรมฝาผนังเป็นความจริง ยาฉางตานก็มีตัวตน”
“จากที่ท่านพูดเช่นนี้ ภาพจิตรกรรมฝาผนังสี่ภาพ ก็มีสองภาพที่นางได้พบเห็นด้วยตาของตัวเอง เช่นนั้นก็อธิบายได้ว่ายาฉางตานก็มีตัวตนอยู่จริงแล้ว”
แต่ว่าที่นี่ไม่มีภาพจิตรกรรมฝาผนังของยาฉางตาน
บางทียาฉางตานอาจจะโดนทำลายไปแล้วจริงๆ ไม่ว่ายังไง ในจินตนาการของนางที่เกิดจากต้นบุพเพ ได้เห็นกับตาว่ายาฉางตานโดนทำลายแล้ว
ดังนั้น…….
บนโลกนี้ไม่มียาฉางตานอีก!
เย่แจ๋หยิ่งสัมผัสภาพจิตรกรรมฝาผนังเหล่านั้นเบาๆ หลับตาลงเงียบๆ ไปค้นหาความทรงจำของเซียนชุดขาว
แต่ว่า ณ ตอนนี้ ความทรงจำของเซียนชุดขาวกลับว่างเปล่า
เมื่อเขาเปิดตาขึ้น หลานเยาเยาก็ได้กลับมายืนอยู่หน้าจิตรกรรมฝาผนังของวังหิมะอีกครั้ง ค้นหาอยู่นาน ในที่สุดก็ส่งเสียงดีใจออกมา
“ฮ่าฮ่า ที่แท้ทางออกก็เกี่ยวข้องกับเตียงหยก!” หลานเยาเยาหันหน้ากลับมา ตะโกนเรียกเขาอย่างดีใจ “เย่แจ๋หยิ่ง พวกเราสามารถออกไปได้แล้ว”
“อืม!”
จุดนี้ ขณะที่เขาเข้าไปในถ้ำน้ำแข็งครั้งแรก ก็รู้อยู่แล้ว……