หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - บทที่ 373 เจ้าไม่เข้าใจเขาเลย
บทที่373 เจ้าไม่เข้าใจเขาเลย
ผู้คุมไม่กี่คนนั้นไม่ได้รู้สถานการณ์ด้านหลังเลย ยังคงพูดคุยกันต่อ ท่าทางน่ารังเกียจนั่นทำให้สิงปู้ช่างชูโมโหกัดฟันด้วยความโกรธ และเดินไปทันที
“ในสายตาพวกเจ้ายังมีกฎหมายปกครองบ้านเมืองอยู่ไหม?”
เสียงที่ดังกึกก้องทำให้ผู้คุมไม่กี่คนนั้นตกใจสุดขีด
ทันใดนั้นขาแต่ละคนก็อ่อนแรง ล้มลงไปอยู่กับพื้น ตัวสั่นคุกเข่าหน้าคว่ำอยู่ตรงนั้น
หลังจากที่เห็นกลุ่มใต้เท้า สีหน้าก็ขาวซีดราวกับกระดาษ มีสองคนที่รับไม่ไหว ตาขาวเป็นลมล้มลงไป
สิงปู้ช่างชูโบกแขน ไม่ให้โอกาสเหล่าผู้คุมได้ร้องขอให้ยกโทษ
“เอาสิ่งที่น่าอับอายเหล่านี้ออกไปโบยแปดสิบที”
“ขอรับ!”
โบยแปดสิบทีไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
หลังจากโบยเสร็จ แม้จะไม่ตายก็พิการ
หลังจากผู้คุมถูกจัดการเรียบร้อย
สิงปู้ช่างชูก็สั่งให้คนเอาหลานจิ่นเอ๋อไปที่ห้องไต่สวน
แม้หลานจิ่นเอ๋อจะเป็นตัวบงการเรื่องทั้งหมดแล้วก็มีพยาน แต่ก็สามารถพิสูจน์ได้เพียงว่าจุดประสงค์ของนางก็คือฆ่าองค์ชายสี่ แล้วโยนความผิดให้กับหลินเฟยหรัน
แต่เรื่องผ่านไปอย่างไม่มีใครรู้
แม้หลานเจิ่นเอ๋อจะถูกโทษประหาร แต่คดีใหญ่เช่นนี้เป็นธรรมดาที่จะต้องบันทึกทุกขั้นตอนของคดีไว้
แต่ว่า!
หลานจิ่นเอ๋อที่หลังจากถูกจับแล้วก็ไม่พูดอะไรเลย เพียงแต่พูดประโยคเดิมๆซ้ำไปซ้ำมาว่า: “ข้าต้องการพบอ๋องเย่!”
ดังนั้น!
การที่เอาหลานจิ่นเอ๋อมาที่ห้องไต่สวนนี้ เพราะวางแผนว่าวันนี้ไม่ว่าจะยังไง ก็จะต้องให้หลานจิ่นเอ๋อพูดขั้นตอนของเรื่องออกมา
สิงปู้ช่างชูตั้งใจสั่งให้คนย้ายเก้าอีกมาสองสามตัว หลานเยาเยากับเย่หลีเฉิน แล้วก็ยังมีคนอื่นๆนั่งอยู่ข้างๆ มองคนของสิงปู้สอบถามหลานจิ่นเอ๋อ
“หลานจิ่นเอ๋อ เจ้าต้องโทษประหาร แม้จะไม่พูดอะไรเลย ก็ต้องตายเหมือนเดิม
เจ้ายังไม่รู้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้หรือ?
ผลที่ตามมาจากการไม่พูดของเจ้ามันทำให้ทั้งจวนแม่ทัพจะฝังเจ้า พ่อเจ้าถูกปลดออกจากตำแหน่ง
แต่การคิดร้ายต่อองค์ชายก็ต้องลงโทษเก้าชั่วโคตร ถ้าเจ้ายืนกรานจะไม่พูด ก็จะเกิดความระแวงในการปกป้องพ่อแท้ๆของเจ้า
เมื่อถึงเวลานั้น พ่อและแม่ของเจ้าก็จะถูกตัดหัวเช่นเดียวกับเจ้า คนอื่นๆในจวนก็จะถูกเนรเทศ ถูกเอาไปขาย
เจ้าทนดูพวกเขาตายไปกับเจ้าได้งั้นหรือ?”
สิงปู้ช่างชูไต่สวนด้วยตนเอง
เพราะมีคนดูอยู่จำนวนมาก ถึงแม้จะเกลียดหลานจิ่นเอ๋อเข้ากระดูก เขาก็ต้องเก็บความคิดที่จะทรมานหลานจิ่นเอ๋อไป
อย่างไรก็ตาม!
ใครจะไปรู้……
ว่าหลานจิ่นเอ๋อทำเหมือนกับไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูดยังไงอย่างงั้น เพียงแต่พูดทีละคำว่า:
“ข้าต้องการพบอ๋องเย่!”
แม้น้ำเสียงจะดูนิ่งๆ แต่ก็หนักแน่น
ประโยคนี้ไม่รู้ว่านางพูดซ้ำไปมากี่รอบแล้ว แต่ก็ยังคงพูดซ้ำอยู่อย่างนั้น
“เจ้า……ดื้อยิ่งนัก”
สิงปู้ช่างชูโมโหจ้องตา สองมือกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูด แต่เขาก็ยังพยายามอย่างสุดขีดที่จะควบคุมตนเองไว้
แต่ต่อมา
ไม่ว่าจะสอบถามอย่างไร ถึงขนาดทรมานแล้ว หลานจิ่นเอ๋อก็ยังคงกัดฟันแน่นพูดประโยคเดิมซ้ำๆ
ถามซ้ำไปซ้ำมาก็ไร้ประโยชน์
สิงปู้ช่างชูโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ จากนั้นก็สะบัดมือให้เจ้ากรมอาญามาไต่สวน เพราะเขากลัวว่าถ้ายังพูดต่อไปอีก จะบีบคอหลานจิ่นเอ๋อได้
จนเกือบจะหนึ่งชั่วยาม
แม้จะทรมานหลานจิ่นเอ๋อเบาๆ แต่ก็เป็นเวลานาน ทำให้นางรับไม่ไหวสลบไป
คนก็สลบไปแล้ว……
อยากจะทรมานให้ยอมรับผิดก็ไม่เป็นผล
ดูท่าวันนี้ก็ยังไม่สามารถทำให้หลานจิ่นเอ๋อพูดขั้นตอนของคดีออกมาได้
สุดท้าย
สิงปู้ช่างชูที่หน้าแดงก่ำก็คำนับขอตัวเทพธิดา ในเมื่อสิงปู้ช่างชูไปแล้ว คนอื่นๆก็พากันขอตัวจากไป
ในที่สุดห้องไต่สวนก็เหลือเพียงแต่หลานเยาเยากับเย่หลีเฉิน แน่นอนว่ายังมีเจ้ากรมอาญาที่ถูกสิงปู้ช่างชูทิ้งไว้ให้คอยติดตามพวกเขา
ขณะนั้น!
เย่หลีเฉินก็ลุกขึ้น พูดกับเทพธิดาว่า
“เทพธิดา พวกเราก็ไปเถอะ!”
หลานเยาเยามองหลานจิ่นเอ๋อที่ถูกมัดไว้ด้วยสายตาที่สนใจ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า:
“ข้าจะรอก่อน!”
รีบร้อนอะไรกัน
นางยังมีคำที่อยากถามนะ!
“ได้ ข้าข้าจะรอเจ้าข้างนอก”
เย่หลีเฉินมองตามสายตาของนางไปมองหลานจิ่นเอ๋อ จากนั้นก็เดินออกไปพร้อมกับเจ้ากรมอาญา
หลังจากที่พวกเขาออกไป
หลานเยาเยายกขาขึ้นไขว่ห้างอย่างเนือยๆ นางยื่นมือไปหยิบกาน้ำชาที่อยู่บนโต๊ะหมายจะเทน้ำชามาดื่ม
แต่ก็พบว่า……
ไม่เพียงแต่น้ำชาจะเย็นแล้ว แต่กลิ่นในห้องไต่สวนยังรู้สึกน่าขยะแขยง
ดังนั้นนางจึงล้มเลิกความคิดที่จะดื่มชา
แล้วเอาสายตากลับมาอยู่ที่หลานจิ่นเอ๋อ
มองเส้นผมรุงรังของนางที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ แก้มที่มอมแมมก็มีเหงื่อไหล คาดว่าความเจ็บปวดจากการถูกทรมานเมื่อครู่ยังคงเจ็บปวดอยู่ถึงตอนนี้
ดังนั้น!
จึงวางมือไว้บนพนักเก้าอี้ มือข้างเดียวยันหัวไว้แล้วพูดด้วยเสียงเรียบๆว่า:
“แกล้งสลบเป็นวิธีที่ดี แต่ช่วยทำให้มันเหมือนหน่อย”
สีหน้าและท่าทางของการเป็นลมนั้นไม่มีอะไรจะพูด แต่การสั่นนิ้วมือทุกช่วงเวลาสั้นๆนี่คิดจะทำอะไร?
แต่ก็เช่นนั้น
คุณหนูที่แสนงดงามจะมาทนกับความเจ็บปวดได้อย่างไร?
หลานจิ่นเอ๋อสามารถแกล้งหมดสติหลอกไอ้เจ้าเล่ห์นั้นได้ก็ถือว่าไม่เลว
หลังจากนางพูดจบ
ก็เห็นว่าหลานจิ่นเอ๋อหมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็ค่อยเงยหน้าที่ก้มอยู่ขึ้นมาช้าๆ สบตาเข้ากับหลานเยาเยา
มีรอยช้ำที่มุมปากของนาง แต่นางกลับพูดเรียบๆว่า
“ข้าต้องการพบอ๋องเย่”
“งั้นเจ้าก็ไปสิ!” ก็ไม่มีใครขวาง บอกนางแล้วจะมีประโยชน์อะไร? นางคงไม่ไปวิ่งเต้นแทนนางหรอก
เมื่อเห็นหลานจิ่นเอ๋อกระตุกมุมปากด้วยความโมโห หลานเยาเยาก็พูดต่อว่า:
“ยืนยันที่จะอยากเจอเขาขนาดนั้น ก็คงคิดให้เขาเห็นใจเจ้า สงสารเจ้าหลังจากนั้นหล่ะ? จะทำอย่างไรได้อีก? เขาไม่ช่วยเจ้าหรอก!”
หลานเยาเยาไม่เข้าใจ
คนทั่วไปก่อนจะตาย ก็จะไม่หวังให้คนที่ตนเองชอบมาเห็นสภาพจนตรอกของตนเองหรอกหรือ
หลานจิ่นเอ๋อรู้ว่าความเป็นไปได้ที่จะได้เจอเย่แจ๋หยิ่งเป็นศูนย์
แต่จะยังยืนหยัดไปเพื่ออะไร?
“เจ้าไม่ใช่เขา เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่ช่วย?”
ในแววตาของหลานจิ่นเอ๋อไม่เพียงแต่แสดงความเป็นศัตรู แต่ยังมีความถากถาง จากนั้นก็พูดต่อว่า:
“เจ้าไม่เคยเข้าใจอ๋องเย่เลย บนโลกนี้ นอกจากข้าแล้ว ไม่มีใครเข้าใจเขาได้มากกว่าข้า
แม้แต่หลานเยาเยาพระชายาเย่ในตอนนั้นก็เหมือนกัน นางไม่เข้าใจอ๋องเย่เลย แล้วก็ไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไร
แต่ทำไมหล่ะ?
ก็เห็นอยู่ว่าข้าเป็นคนที่เข้าใจเขามากที่สุด เขาถึงกลับไม่ยอมแม้แต่จะมองข้าตรงๆ
หลานเยาเยาเจ้ามีอะไรดี?
เจ้ามีอะไรดี?
ทำไมเขาถึงเอาใจใส่พวกเจ้า หรือเพราะหน้าตา?”
ประโยคก่อนหน้ายังดีอยู่ ส่วนมากหลานจิ่นเอ๋อก็พูดกับหลานเยาเยา แต่ประโยคหลังๆ นางพูดๆไปก็เริ่มเสียใจกับความผิดพลาดของตนเอง
จากนั้นก็เหมือนกับจมเข้าไปในคำพูดของตนเอง
“หน้าตาก็เป็นจุดแข็งอย่างหนึ่ง คาดว่าอ๋องเย่ก็ชอบแบบนั้น”ใครจะไปรู้หล่ะ?
หลานเยาเยาคาดเดาหน่ะสิ!
เย่แจ๋หยิ่งเจอนางครั้งแรกก็ถูก‘ความงาม’ของนางทำให้ประทับใจ
พอสิ้นเสียงนาง
หลานจิ่นเอ๋อก็หันกลับมาทันที พูดเสียงเย็นด้วยความโกรธ:
“เจ้าพูดมั่วซั่ว เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้พูดใส่ร้ายอ๋องเย่เช่นนี้ เขาตัดสินคนจากภายนอก
เจ้าอย่าคิดว่าเจ้าเข้าใจเขา เจ้าคิดว่าเขาใกล้เจ้าก็เพราะชอบเจ้าจริงๆงั้นหรือ? ฝันไปเถอะ”
ตั้งแต่หลังจากที่โฉมหน้าที่แท้จริงของหลานจิ่นเอ๋อถูกเปิดโปงออกมา ไม่ว่าจะคำพูดหรือแววตาที่มีต่อนางก็เต็มไปด้วยความแค้น