หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - บทที่ 404 ฮ่องเต้ ไม่ดีแล้ว
บทที่ 404 ฮ่องเต้ ไม่ดีแล้ว
“เจ้าสำนักเฉลียวฉลาดยิ่งนัก!”
ผู้นำสองสามคนรับคำสั่งแล้วไปทำ
หลานเยาเยาหมุนตัวกลับมามองไปรอบๆ สุดท้ายก็พูดกับคนหนึ่งว่า:
“หายู่หลิวซูกับถิงเมี่ยนเจอรึยัง?”
“เรียนเจ้าสำนัก ยังไม่พบ”
“หาต่อไป หากมีชีวิตต้องพบคน หากตายต้องพบศพ แต่ด้วยความฉลาดปราดเปรื่องของพวกเขาน่าจะไม่ตาย หาดีๆก็จะเจอเอง”
“ขอรับ”
คนผู้นั้นกำลังวางแผนจะพาคนไปหา……
“ไม่ต้องหาแล้ว ไม่ต้องหาแล้ว พวกข้าอยู่นี่แล้ว!”มีน้ำเสียงที่รีบร้อนปนตื่นเต้นดังขึ้นมา
เสียงทุ้มนั้นอยู่ใกล้ๆ แต่หลานเยาเยาไม่เห็นคน นางมองไปรอบๆอย่างสงสัย แต่ก็ไม่เห็นร่องรอยของพวกเขาเลย
ได้ยินเพียงแต่เสียง ไม่เห็นคน
แต่ฟังจากเสียงพวกเขาก็รู้ได้ว่าพวกเขาน่าจะไม่เป็นอะไร จิตใจที่เป็นกังวลของหลานเยาเยาจึงผ่อนคลายลง
“รีบออกมา ดาบมันไม่มีตานะ ที่นี่ยังมีการต่อสู้อีก!”
“พวกข้าก็อยากออกไปนะ! แต่ถูกพวกท่านเหยียบอยู่ใต้เท้า พวกข้าออกไปไม่ได้หรอก รบกวนพวกท่านช่วยขยับเท้าปล่อยพวกเราออกไปที”
ทุกคน:“……”
พวกเขาซ่อนอยู่ใต้พื้นงั้นเหรอ?
แต่ว่า เมื่อฟังเสียงอู้อี้แล้วก็ดังมาจากพื้นจริงๆ
หลานเยาเยารีบส่งสายตา ฝูงชนที่ยืนอยู่ก็รีบแยกย้ายทันที จากนั้นดวงตาทั้งสองก็จ้องมองลงไปที่พื้นอย่างสงสัย
พื้นราบเรียบปกติ เป็นฝุ่นดินทั้งหมด แล้วก็ยังมีรอยเท้าหลากหลายแบบ ถ้าบอกว่าที่พื้นนั้นขุดหลุมซ่อนคน หากไม่เห็นกับตา ก็คงไม่เชื่อจริงๆ
ทันใดนั้น!
หน้าพื้นดินที่เหมือนกับพื้นที่รอบๆก็ค่อยๆคลาย หลังจากนั้นก็เห็นแผ่นเหล็กที่เต็มไปด้วยฝุ่นดินชิ้นหนึ่งถูกคว่ำไว้
หลุมด้านในสามารถซ่อนได้ประมาณสองคน ยู่หลิวซูและถิงเมี่ยนก็มุดออกมาจากด้านในตามลำดับ
ท่าทางใบหน้าเปื้อนฝุ่นเปื้อนดินของพวกเขาแม้จะดูจนมุม แต่สีหน้าของพวกเขากลับแผ่กระจายความแวววาว
ท่าทางที่อบอุ่นดังสายน้ำของยู่หลิวซูหลังจากออกมา คำนับหลานเยาเยาอย่างนิ่งสงบ ด้านถิงเมี่ยนก็ยิ้มกว้างเห็นฟันขาว ทันทีที่ออกมาก็พูดอย่างดีใจว่า
“เทพธิดา ไม่ คุณหนู ไม่ไม่ไม่ เจ้าสำนัก ภารกิจของพวกเราสำเร็จแล้ว สำเร็จได้อย่างยอดเยี่ยมเลยใช่ไหมล่ะ? มีรางวัลหรือไม่นะ?”
เมื่อครู่พวกเขาอยู่ใต้พื้น แต่ก็รู้เรื่องเทพธิดาคือเจ้าสำนัก
“ไม่เลวจริงๆ!” หลานเยาเยาพยักหน้า “ต้องมีรางวัลแน่”
สำหรับพวกเขาสองคนที่รู้เรื่องว่านางเป็นเจ้าสำนัก นางนั้นไม่เห็นด้วย
อย่างไรจะช้าจะเร็วก็ต้องรู้ จะรู้เร็วหรือรู้ช้าก็ไม่ต่างอะไรมาก
หลังจากที่ได้ยินนางตอบยืนยัน ถิงเมี่ยนก็ชนไหล่ของยู่หลิวซูอย่างดีใจ เล่นหูเล่นตากับเขา
“เป็นยังไง? ข้าบอกแล้ว เจ้าสำนักหน่ะพูดง่ายมาก”
“อื้ม!”
ยู่หลิวซูพยักหน้าน้อยๆ แสดงถึงความเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูด ด้วยนัยน์ตาที่มีความสุข
ความสุขนี้ไม่ใช่เพราะพวกเขาทำภารกิจสำเร็จ แต่เพราะเทพธิดาถือว่าเขาเป็นลูกน้องจากใจจริง ไม่ใช่พวกที่ใช้แล้วทิ้งแบบนั้น
ขณะนั้นเอง!
ผู้นำคนหนึ่งก้าวมาข้างหน้าด้วยรอยยิ้ม และรายงาน
“เรียนเจ้าสำนัก ควันที่ทำให้คนสลบจำนวนมากได้ถูกปล่อยไปข้างในแล้ว คนด้านในพยายามจะวิ่งออกมา แต่พวกเราสำนักหงอีไม่ใช่พวกกินเจ ปิดตายพวกเขาไว้
เพียงครู่เดียว คนด้านในก็จะต้องสลบทั้งหมด”
“ดี ดีมาก คนพวกนี้ล้วนเป็นคนที่ซื่อสัตย์ของฮ่องเต้ อยากจะดึงเอามาเป็นพวกนั้นเป็นไปไม่ได้ หากสามารถจับเป็นได้ ก็พยายามจับเป็น ถ้าจับเป็นไม่ได้ ก็จัดการในคราเดียว”
“ขอรับ!”
คนที่มีชีวิตรอดนั้น นางไม่สามารถปล่อยให้พวกเขามาสวามิภักดิ์ตนเอง เดิมวางแผนว่าจะทำลายพวกเขาให้ราบ
แต่พอคิดๆไป บางที เอาคนที่มีชีวิตรอดพวกนี้ไปยกให้ใครบางคน บางทีอาจจะมีประโยชน์ก็ได้!
สุดท้าย พลทหารและม้าทั้งหมดในหมู่บ้านนี้รวมกันแล้วก็เป็นหมื่นกว่าคน หลังจากโจมตีหมู่บ้านแล้ว ก็ได้ยึดอาวุธ อาหาร สมุนไพรชั้นยอดมา
แต่พลทหารและม้าที่หลานเยาเยาพาไปนั้นมีเพียงไม่กี่พันคน ไม่ถึงครึ่งของจำนวนคนในหมู่บ้านเลยด้วยซ้ำ และก็เก็บกวาดหมู่บ้านให้สะอาดหมดจด
ฟ้าใกล้จะสางแล้ว สนามรบที่น่าเวทนาเกินจะมองก็ถูกทำความสะอาด ร่องรอยส่วนมากก็ถูกลบไป มีร่องรอยบางอันที่ไม่สามารถลบได้ก็อำพรางเอาไว้ แม้ฮ่องเต้จะรู้ และส่งคนมาตรวจสอบ เมื่อตรวจเจอร่องรอยพวกนี้ก็ไม่เป็นปัญหาใหญ่อะไร
เมื่อเรื่องนี้แพร่ไปถึงวัง ก็เป็นช่วงบ่ายของวันที่สองแล้ว
“ฮ่องเต้ ฮ่องเต้ ไม่ดีแล้ว เกิดเรื่องใหญ่ไม่ดีแล้ว……”
มีตาเฒ่าคนหนึ่งได้รับข่าว ก็รีบร้อนวิ่งมาจากประตูวังมาจนถึงห้องหนังสือ และพุ่งตรงเข้ามา ลืมแม้กระทั่งเคาะประตู
เมื่อเห็นฮ่องเต้นั่งอยู่หน้าโต๊ะสีหน้าไม่ชัดเจน มองภาพวาดจนน้ำลายไหล
ตาเฒ่าก็ตัวสั่นเทานั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น
คิดไม่ถึงจริงๆว่าฮ่องเต้ผู้สง่าผ่าเผย จะมีท่าทางที่เจ้าชู้ไร้ศีลธรรม
เมื่อฮ่องเต้เห็นว่ามีคนพังประตูเข้ามา ก็รีบคลุมภาพแล้วเก็บสายตาละโมบ สีหน้าก็รีบเปลี่ยนเป็นเย็นชา
เขาตบโต๊ะอย่างโมโห:
“ลุกลี้ลุกลนอะไร? คนอยู่ไหน! มาเอาหมารับใช้ที่มันไม่รู้กฎ ลากออกไปโบยห้าสิบที”
ได้ยินดังนั้น
ตาเฒ่าก็ตกใจหน้าถอดสี “ปึ้ก” เสียงคุกเข่าลงกับพื้น รายงานหน้าซีดว่า:
“ฮ่องเต้โปรดอภัย ฮ่องเต้โปรดอภัย เกิดเรื่องใหญ่แล้ว ข้าน้อยมีเรื่องร้ายแรงมารายงาน และรีบร้อนจนลืมมารยาท โปรดฮ่องเต้ให้อภัย”
ตาเฒ่าร้อนรนเหงื่อออกเต็มหัว หลังจากที่ได้ยินฮ่องเต้จะโบยห้าสิบที สีหน้าก็ซีดเผือด
แต่เขาก็ต้องพูดเรื่องสำคัญออกมาก่อน
“รีบพูดมา เรื่องอะไรกันที่ทำให้เจ้าไม่เข้าใจแม้กระทั่งกฎ ถ้าพูดไม่ออก ข้าก็จะเอาหัวเจ้า”
“ฮ่องเต้ หมู่บ้าน……หมู่บ้านที่ใกล้กับศาลาชีลีเกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
ทันทีที่พูดออกไป
คิ้วฮ่องเต้ขมวด สีหน้าครึ้มราวกับหมึก:
“เจ้าว่าอะไรนะ? ที่ไหนเกิดเรื่องอะไร?”
นั่นเป็นที่บ่มอำนาจลับของเขา ไม่เคยเกิดเรื่องใดมานานหลายปี ถ้าที่นั่นเกิดเรื่องนั่นมันไม่ปกติ
ฮ่องเต้เดินอ้อมโต๊ะมาไม่กี่ก้าว พอมาหยุดอยู่ตรงหน้าของตาเฒ่า ก็คว้าคอเสื้อของตาเฒ่าที่คุกเข่าอยู่กับพื้น และยกเขาขึ้นมาด้วยความโกรธ
นัยน์ตาเย็นชามืดสลัว พูดทีละคำทีละประโยคว่า:
“รีบพูด ว่าเกิดเรื่องอะไรกันแน่”
“คะ……คน……คนในหมู่บ้านถูกฆ่า ฆ่าจนหมด แม้แต่บ้านก็ถูกเผาจนหมด……”
“อะไร? คนหล่ะ? คนในนั้นหล่ะ?” ประโยคสุดท้ายฮ่องเต้แทบจะคำราม
“ตาย……แล้ว ตายหมดเลย……”
แต่ไหนแต่ไรมา ตาเฒ่าไม่เคยเห็นฮ่องเต้มีท่าทางเช่นนี้ ในตอนที่พูดพวกนี้ จิตวิญญาณเขาไม่มีความทรงพลัง
“เจ้ากล้าพูดอีกรอบสิ เชื่อไหมว่าข้าจะฟันหัวเจ้าซะ?”
“ฮ่องเต้โปรดไว้ชีวิต ฮ่องเต้โปรดไว้ชีวิต! ที่ข้าน้อยพูดนั้นเป็นความจริง ข้าน้อยเพิ่งได้รับรายงานมา ก็รีบมารายงานต่อท่าน
นายอำเภอตงเฉาตายแล้ว คนข้างกายเขาก็ตายหมด เรื่องนี่ถูกพบโดยองครักษ์ที่ไปยังหมู่บ้าน เพื่อส่งนางบำเรอของขุนนางวันนี้”
ตอนนี้ฮ่องเต้ปล่อยตาเฒ่า ใจลอยอดไม่ได้ก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว และส่ายหัวไม่หยุด
รู้ไหมว่านี่เป็นพลทหารและม้าชั้นยอด ที่เขาเลี้ยงมาหลายปี
จะมาหายไปภายในคืนเดียวได้อย่างไร?
“เป็นใคร? ใครเป็นคนทำ? ใครให้ความกล้าพวกมันขนาดนั้น? ถึงกล้ามาทำอะไรคนของข้า ไปตรวจสอบมาให้ข้า ตรวจสอบให้ละเอียด ข้าจะต้องให้พวกมันชดใช้อย่างเจ็บปวด”